บทที่ 39 บดขยี้…
“เฉินเฟย?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตา สายตากวาดมองไปยังเฉินเฟยและอีกสองคนที่โอบล้อมอยู่ด้านหลังตัวเองอย่างรวดเร็ว หลังสัมผัสได้ถึงตบะของพวกเขา เขาเองก็เกิดความมั่นใจเช่นกัน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้ตอนนี้เจ้าคุกเข่าขอร้องก็สายไปแล้ว ตอนแรกเป็นเพราะความคิดของเจ้า ทำให้พวกข้ารับเคราะห์กลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอก ข้าเฉินเฟยรอคอยวันนี้มานานมากแล้ว!” เฉินเฟยหัวเราะเสียงดัง ยกมือขวาขึ้นมาโบก ทันใดนั้นตบะของการรวมลมปราณขั้นที่ห้าก็ระเบิดตูมออกมาทันที พัดเอาใบไม้ที่หล่นร่วงอยู่รอบด้านให้ลอยขึ้น มองดูแล้วไม่ธรรมดาทีเดียว
“ข้าเฉินเฟยหลังจากเข้าไปอยู่ฝ่ายนอกแล้ว เวลาทั้งหมดก็ใช้ไปกับการบำเพ็ญตบะ ในที่สุดก็บรรลุการรวมลมปราณขั้นที่ห้า ป๋ายเสี่ยวฉุน วันนี้ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้เลยว่า ข้าต้องการรังแกเจ้า ทำให้เจ้ากระดูกหักเอ็นฉีก!”
เสียงหัวเราะของเฉินเฟยแฝงไว้ด้วยความยโสลำพองใจ มือขวาเขาทำมุทรา เสียงตูมดังหนึ่งที ด้านหน้าก็ปรากฏกระบี่บินสีเขียวหนึ่งเล่ม กระบี่เล่มนี้มีขนาดประมาณครึ่งฉื่อ มองดูแล้วธรรมดามาก กระจายรัศมีเย็นเยียบอ่อนๆ
สองคนที่อยู่ด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุนก็แสยะยิ้ม แผ่ตบะออกมาพร้อมกัน ในมือแต่ละคนปรากฏกระบี่บินหนึ่งเล่ม
ภายใต้การโอบล้อมของทั้งสามคน พวกเขามีความมั่นใจอย่างยิ่งยวด สามต่อหนึ่งต้องบดขยี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้แน่นอน โดยเฉพาะตอนนี้ความสามารถของพวกเขาไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว วิเคราะห์ได้นานแล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีพลังยกหนักเสมือนเบา
“หากเจ้าอยู่บนเขาตลอดไม่ลงมาก็ว่าไปอย่าง แต่ในเมื่อลงมาแล้ว ออกจากสำนัก วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่า ความผิดที่ล่วงเกินข้าไว้ในปีนั้น ต้องจ่ายค่าตอบแทนมากขนาดไหน!” เฉินเฟยรู้สึกถึงลมโกรธที่อัดอั้นอยู่ตรงหน้าอก เวลานี้ได้พูดประโยคนี้ออกมา ลมที่ว่าก็ระบายออกมาเกินครึ่ง
“พวกเจ้ามาขวางทางข้าแบบนี้ ไม่กลัวกฎสำนักรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเฉินเฟย ถามด้วยความแปลกใจ
“กฎสำนัก? ฮ่าๆ ตรงนี้อยู่นอกสำนักแล้ว อีกอย่างฝีมือของเจ้าก็อ่อนด้อย กระดูกหักเอ็นฉีกขึ้นมาก็โทษคนอื่นไม่ได้ อย่างมากพวกข้าแค่เอ่ยขอโทษภายหลังเท่านั้นก็จบเรื่อง!” เฉินเฟยพูดพลางหัวเราะด้วยความลำพองใจ เขาถึงขั้นจินตนาการถึงสีหน้าต่อมาของป๋ายเสี่ยวฉุนว่าจะต้องน่าเกลียดอย่างมาก และเขาก็เตรียมคำเสียดสีเอาไว้แล้วด้วย
แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล ป๋ายเสี่ยวฉุนสงบนิ่งเกินไป เผชิญหน้ากับการโอบล้อมของพวกเขาสามคน สีหน้าไม่เพียงแต่ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างที่ตนเองคิดเอาไว้ ทั้งยังฉายความแปลกประหลาด วางท่าราวกับยอดฝีมือ เอ่ยปากพูดด้วยประโยคโอหังว่า
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าเช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว”
ดวงตาทั้งคู่ของเฉินเฟยหดตัวลง ยิ่งรู้สึกไม่เข้าที แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามัวมาคิดมากอีกแล้ว จึงคำรามเสียงต่ำหนึ่งครั้ง
“ลงมือ!” คำพูดนี้เปล่งออกมา ขณะที่มือทำมุทรากระบี่บินก็ทะยานดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนทันควัน และในเวลาเดียวกันนั้น สองคนที่อยู่เบื้องหลังป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำมุทราเช่นนี้ กระบี่บินที่อยู่ด้านหน้าพุ่งออกไป
มองเห็นว่ากระบี่บินสามเล่มเข้ามาใกล้ตนเอง ใบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเผยรอยยิ้ม เขาไม่ได้เอาอาวุธออกมาด้วยซ้ำ ถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว พวกเฉินเฟยสามคนรู้สึกเพียงด้านหน้าพร่าเลือน ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หายวับไปแล้ว
ยามที่ปรากฏตัวอีกครั้งก็โผล่พรวดมาอยู่ซ้ายมือของชายร่างใหญ่ผู้มีพลังการรวมลมปราณขั้นที่สี่ ชายร่างใหญ่คนนี้เบิกตากว้าง ยังไม่ทันรู้ตัว มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กำหมัดง้างกระแทกลงมา
หมัดนี้มาเร็วเกินไป ตกลงไปบนท้องของชายร่างใหญ่โดยตรง เสียงตุ้บดังหนึ่งครั้ง ชายตัวใหญ่สั่นไหวไปทั้งร่าง กระอักเลือดสดๆ ออกมาคำหนึ่ง ร่างโค้งงอลง ทันใดนั้นก็ลอยออกไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง ประหนึ่งถูกพละกำลังมหาศาลพุ่งโจมตี
ต้นไม้ใหญ่สั่นไหวอยู่สองสามที ชายตัวใหญ่ผู้นี้ก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้งแล้วสลบไป
ภาพการเปลี่ยนแปลงนี้มาเร็วเกินไป ชายตัวใหญ่ที่มีพลังรวมลมปราณขั้นที่สี่อีกคนซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง หันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนทันใด ในสมองมีเสียงดังเลือนลั่นราวกับมีสายฟ้าจำนวนไม่ถ้วนฟาดผ่าน แม้แต่ฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุน…จะเร็วได้ถึงขนาดนี้ อีกทั้งพละกำลังยังมหาศาล อยู่ในระดับที่น่าตกตะลึง
เฉินเฟยหน้าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว สูดหายใจเฮือกแล้วถอยไปข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว เมื่อมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ใบหน้าก็เผยแววไม่อยากเชื่อออกมา
“เจ้า…”
“อ่อนแอเสียจริง” ป๋ายเสี่ยวฉุนวางท่าราวกับเป็นยอดฝีมือผู้โดดเดี่ยวอยู่ในใต้หล้าเพียงลำพัง หาคู่ต่อสู้ไม่เจอ ขณะที่ทอดถอนใจก็เดินออกไปหนึ่งก้าว ไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของชายตัวใหญ่ที่มีพลังขั้นสี่อีกคนหนึ่ง
ชายร่างใหญ่คนนี้เปล่งเสียงคำรามบ้าคลั่ง ตบะทั้งหมดระเบิดออกมา กระตุ้นกระบี่บินด้านหน้าให้พุ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเร็วยิ่งกว่า หลังจากที่ฝึกผิวหนังเหล็กคงกระพันของวิชาอมตะมิวางวายได้สำเร็จ ผิวเนื้อและความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในขั้นที่สร้างความตื่นตะลึงอย่างมากแล้ว ในเวลานี้แค่เบี่ยงตัวก็หลบกระบี่บินได้ และยังคงใช้หมัดข้างขวาต่อยลงไปหนึ่งทีเช่นเดิม
เสียงตุ้บดังขึ้น ชายร่างใหญ่คนนั้นกรีดร้องโหยหวน กระอักเลือดสดๆ ออกมา ร่างกายม้วนงอโดยพลัน เบื้องหลังเขาไม่มีต้นไม้ใหญ่ขวางกั้น ตัวจึงม้วนงอกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้งแล้วร่วงลงบนพื้นดิน ตับไตไส้พุงสั่นสะเทือนไปหมด ลุกขึ้นไม่ไหว ลมหายใจแทบรวยริน
“อ่อนแอมาก” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว มองไปยังเฉินเฟยที่เวลานี้ขาทั้งสองข้างกำลังสั่นพั่บๆ
“เจ้า…เจ้า…” เสียงในหัวของเฉินเฟยดังอื้ออึง แทบจะยืนเซ่อเข้าไปทุกที เขาคิดไม่ถึงเลยว่าก่อนหน้านี้ตนเองยังเหมือนกำชัยชนะอยู่ในมือ แต่แค่พริบตาเดียวกลับพบว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เทียบเคียงกับสัตว์ดุร้ายได้เลย
สองหมัดนั้นต่อยเสียจนคนทั้งสองสลบไปทั้งอย่างนั้น เขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่านั่นต้องใช้พละกำลังมากมายแค่ไหน เวลานี้จึงกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายถอยหลังกรูด ไม่มีความคิดอยากจะต่อสู้กับอีกฝ่ายอีกแล้ว ทั้งสมองมีอยู่ความคิดเดียวเท่านั้น นั่นคือหนี
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะถอยไปได้ไกลเท่าไหร่ ป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ตามทัน มือขวายังคงยกหมัดขึ้นมา จังหวะที่หมัดนี้กำลังจะกระแทกลงไป ทันใดนั้นร่างของเฉินเฟยก็เกิดประกายแสงวาบขึ้น โล่เล็กหนึ่งชิ้นปรากฏตัวขึ้นสกัดกั้นหมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้
เสียงตึงดังหนึ่งที ป๋ายเสี่ยวฉุนอุทานโอ๊ะเบาๆ หนึ่งครั้ง ร่างกายหยุดชะงักไปเล็กน้อย ขณะเดียวกันโล่เล็กอันนั้นก็สั่นสะท้าน พลังวิญญาณสลายวูบ พอถูกกระแทกด้วยหมัดนี้เข้าก็บินกระดอนออกไป
เฉินเฟนตกใจเสียจนอกสั่นขวัญหนี โล่เล็กชิ้นนี้เขาจ่ายคะแนนคุณความดีไปไม่น้อยเพื่อซื้อมา ต่อให้เป็นการรวมลมปราณขั้นหกก็มิอาจทำให้แตกออกได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ตอนนี้แค่โดนกระแทกด้วยหมัดเดียวของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับตัดสัมพันธ์กับตนเองไปเสียสิ้น
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้า…เจ้าอย่ารังแกกันเกินไปนัก!!” เฉินเฟยเปล่งเสียงโหยหวนแหลมสูงออกมาทันที
“หึ วันนี้ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้เลยว่า ข้าต้องการรังแกเจ้า ทำให้เจ้ากระดูกหักเอ็นฉีก!” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกบานเสียจนแทบจะมีดอกไม้ผลิบานแล้ว มองเห็นความหวาดกลัวของอีกฝ่าย เรื่องที่ทำให้ตัวเองสบายอารมณ์ได้ขนาดนี้ เขาไม่เคยปล่อยผ่านไปอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่เพียงย้อนคำพูดของอีกฝ่าย ยังแผ่กระจายตบะตลอดร่าง พลังจากการรวมลมปราณขั้นที่หกจึงระเบิดออกมาในบัดดล ก่อให้เกิดลมพัดอย่างบ้าคลั่งรอบทิศ แม้แต่ผมของเขาก็ยังโบกสะบัดตามไปด้วย อานุภาพน่าตกตะลึง
“การรวมลมปราณขั้นหก…” ลูกตาของเฉินเฟยแทบจะถลนออกมา หนังศีรษะชาหนึบ ขณะที่โซซัดโซเซถอยหลัง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตามมาทัน เขาออกหมัดอีกที คราวนี้ไม่มีโล่กีดขวาง หมัดจึงกระแทกลงไปบนร่างของเฉินเฟยโดยตรง
ทั้งร่างของเฉินเฟยสะท้านไหว กระอักเลือดออกมา ขณะที่ร้องโหยหวนร่างกายก็ม้วนงอ แต่เนื่องจากร่างกายของเขาใหญ่โต อีกทั้งฝึกได้ถึงการรวมลมปราณขั้นห้าจึงไม่ได้สลบไป แต่รวมรวบกำลังหนีตายสุดชีวิต เวลานี้ใจเขาเจ็บปวดรวดร้าวจนถึงขีดสุด อีกทั้งยังแอบเกลียดตัวเองที่ทำไมต้องเลือกที่นี่ ที่แห่งนี้ค่อนข้างจะ…ห่างไกลจากสำนัก
เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกระโจนเข้ามาหาอีกครั้งราวกับสัตว์ร้าย เฉินเฟยจึงเปล่งเสียงแหลมทันที
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าไม่กลัวผิดกฎสำนักรึ!!”
“กฎสำนัก? ฮ่าๆ ตรงนี้อยู่นอกสำนักแล้ว อีกอย่างฝีมือของเจ้าก็อ่อนด้อย กระดูกหักเอ็นฉีกขึ้นมาก็โทษคนอื่นไม่ได้ อย่างมากข้าแค่เอ่ยขอโทษภายหลังเท่านั้นก็จบเรื่อง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมแห้งๆ หนึ่งที หลังจากพูดประโยคของอีกฝ่ายซ้ำรอบหนึ่งแล้ว ก็ตวัดเท้าเตะออกไปข้างหน้า
เท้านี้เตะจนทั้งตัวเฉินเฟยลอยขึ้นกลางอากาศ เฉินเฟยกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ดวงตาฉายแววสิ้นหวัง ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน ยังไม่ทันที่เขาจะร่วงลงมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถลาเข้าไปทั้งใช้มือต่อยเท้าเตะ
เฉินเฟยหวาดผวา เสียงโหยหวนดังออกมาไม่ขาดระยะ จนถึงท้ายที่สุดเขาก็บวมปูดไปทั้งเนื้อทั้งตัว แม้แต่เสียงร้องโหยหวนก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลง
ร่างทั้งร่างกระดูกหักเอ็นฉีก สีหน้าขาวเผือด นอนกองอยู่ตรงนั้นไม่มีความรู้สึกใดๆ อีกแล้ว ขณะที่มองป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาเผยแววหวาดกลัวถึงขีดสุด
ในสายตาของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตัวค่อนข้างเล็กผอมขาวสะอาดสะอ้านคนนี้ แท้จริงแล้วคือสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ โดยเฉพาะตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ใช้อาวุธใดๆ เลยด้วยซ้ำ อาศัยเพียงความเร็วที่น่าตะลึงและร่างกายที่แข็งแกร่งก็สามารถบดขยี้พวกเขาได้แล้ว
ชายร่างใหญ่สองคนที่มีพลังรวมลมปราณขั้นที่สี่ซึ่งอยู่ไกลออกไป เวลานี้ก็ล้วนฟื้นคืนสติกันขึ้นมาแล้ว มองเห็นภาพนี้จะๆ ตา รู้สึกเพียงว่าหนังหัวชาหนึบ อกสั่นขวัญแขวน รีบแสร้งทำท่าสลบลงไปอีกครั้ง ไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว ด้วยกลัวว่าจะเป็นการดึงดูดความสนใจจากป๋ายเสี่ยวฉุน
เห็นว่าเฉินเฟยหายใจแผ่วๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าน่าเบื่อจึงเก็บพลังวิญญาณกลับมา ภายใต้ความหวาดกลัวของทั้งสามคน เขาพลิกดูถุงเก็บของของพวกเขาอยู่รอบหนึ่ง หลังจากฮุบเอาของทั้งหมดไป แม้แต่โล่อันเล็กก็เอาไปด้วย ถึงได้ร้องเพลงคลอต่อ เดินไปบนทางกลับสำนัก
“สมควรตายเอ้ย ใครมันบอกวะว่าเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่ชนะการประลองเล็กมาได้ด้วยความบังเอิญ!!” มองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน เฉินเฟยอยากร้องแต่ก็ร้องไม่ออก หากเขารู้แต่แรกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนน่ากลัวถึงเพียงนี้ ให้ตายยังไงเขาก็ไม่มีทางมาหาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุนเด็ดขาด
ชายร่างใหญ่สองคนที่มีพลังรวมลมปราณขั้นที่สี่หน้าเบ้ ขณะที่มองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าเผยความหวาดผวาสุดขีด
“ศิษย์พี่เฉิน จะทำยังไงดี…ข้าว่าเราอย่าไปหาเรื่องเขาเลย จบๆ กันไปเถอะ ข้าได้ยินว่าขนาดสวีเป่าไฉเองก็ยังไปขจัดความเข้าใจผิดกับเขาเลย” ทั้งสองคนมองเฉินเฟยตาปริบๆ
เฉินเฟยเองก็เจ็บปวดรวดร้าวในใจ หลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่งก็กัดฟัน
“แน่นอนว่าข้าอยากแก้แค้นอยู่แล้ว แต่สู้ไม่ได้จะทำยังไง… เรื่องนี้ให้ข้าคิดดีๆ ก่อน…”
————-