Skip to content

A Will Eternal 91

บทที่ 91 ชายฝั่งทิศเหนือที่คลุ้มคลั่ง

เมื่อการประลองรอบแรกสิ้นสุดลงจึงตามมาด้วยเวลาสามก้านธูปสำหรับพักผ่อน ชั่วขณะนี้ลูกศิษย์ทุกคนของชายฝั่งทิศเหนือล้วนมีท่าทางโหดเหี้ยม จ้องเขม็งมาทางชายฝั่งทิศใต้ จ้อง…ป๋ายเสี่ยวฉุน!

พวกเขาล้วนรอคอยให้การประลองรอบที่สองเริ่มต้นขึ้น เพื่อจะได้ใช้สารพัดวิธีโค่นล้มป๋ายเสี่ยวฉุน ถึงขั้นที่ว่าครั้งนี้ชายฝั่งทิศเหนือจะชนะหรือไม่นั้นทุกคนล้วนเลิกสนใจแล้ว เวลานี้สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจก็คือจะเอาเลือดออกมาล้างความอัปยศก่อนหน้านี้ได้อย่างไร!

“ป๋ายเสี่ยวฉุน รอบที่สองนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าความอัปยศที่เจ้าสร้างให้แก่ชายฝั่งทิศเหนือของเรา พวกเราจะให้เจ้าต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาสม!”

“คนประเภทนี้ควรจะโดนสัตว์รบทั้งฝูงกระโจนเข้าใส่ถึงจะหายแค้น รอบที่สองนี้ต้องทำให้เขาเจ็บปวดไปตลอดชีวิต!”

“โค่นล้มป๋ายเสี่ยวฉุน โค่นล้มคนไร้ยางอายผู้นี้!”

เสียงของชายฝั่งทิศเหนือดังลอยมา จิตใจที่ต้องการกำจัดป๋ายเสี่ยวฉุนของพวกเขา เวลานี้ล้วนมารวมกันอยู่บนตัวของแปดคนสุดท้ายที่มีสิทธิ์ต่อสู้ แปดคนที่รบชนะเหล่านี้ นอกจากกุ่ยหยาที่หลับตานิ่งสงบแล้ว เจ็ดคนที่เหลือล้วนถูมือกำหมัดพร้อมรบเต็มที่

พวกเขารู้ว่าตัวเองเป็นตัวแทนความต้องการของลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือทุกคน ยามนี้ขณะที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาจึงเปล่งประกายดุเดือด ในใจของแต่ละคนต่างใคร่ครวญถึงรายละเอียดการสู้รบเมื่อครู่นี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่นานก็เริ่มมีความมั่นใจ หาวิธีพิชิตอีกฝ่ายพบแล้ว

“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ก็แค่มียาเท่านั้น ขอแค่ไม่เปิดโอกาสให้เขาใช้ยา ทุกอย่างก็ง่ายดาย!”

“ใช้ยาคว้าชัยชนะได้ก็ช่างเถอะ แต่เมื่อไม่มียา การกำจัดเขาก็ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก รอบสองนี้เขาต้องแพ้แน่ แถมยังแพ้อย่างอเนจอนาจด้วย!”

‘เกินไปแล้วนะ!’ ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความอึดอัดคับข้องใจ เขารู้สึกว่าชายฝั่งทิศเหนือรังแกกันเกินไป ตนก็แค่ชนะครั้งเดียวเองนะ จำเป็นต้องโหดร้ายต่อกันขนาดนี้ไหม…เขาอยากจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่กังวลว่าหากตัวเองพูดออกไป คาดว่าอีกฝ่ายอาจระเบิดกันขึ้นมาได้

ขณะเดียวกันกับที่ฝ่ายชายฝั่งทิศเหนือกำลังเดือดดาลกันอยู่นั้นเอง ทางฝ่ายชายฝั่งทิศใต้ก็เปล่งเสียงไม่ยอมกันขึ้นมาเช่นกัน พลังอำนาจค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น พลันคำพูดของโอวหยางเจี๋ยก็ดังลอยมา

“เวลาสามก้านธูปผ่านไปแล้ว เข้าสู่รอบที่สองของศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ เลือกหกคนสุดท้าย!”

“พวกเจ้ามีกันสิบเอ็ดคน จะมีหนึ่งคนที่ได้ผ่านเข้ารอบต่อไปโดยตรง สิบคนที่เหลืออยู่จัดลำดับตามฉลาก ประลองครั้งละสองคน!” ขณะที่เสียงของโหวหยางเจี๋ยดังสะท้อนนั้นเอง ทันใดนั้นบนเวทีประลองแห่งนี้ก็ปรากฏแสงเส้นหนึ่งขึ้นมา แสงเส้นนี้รวมตัวกันกลายเป็นลูกกลมขนาดพอครึ่งจั้ง ขณะที่กำลังลอยอยู่นั้น เม็ดกลมที่อยู่ในมือของคนจากชายฝั่งเหนือใต้ทั้งสิบเอ็ดคนซึ่งรวมป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ด้วยก็เหมือนถูกเรียก พริบตานั้นจึงหลุดมือออกไปหลอมรวมเข้ากับลูกกลม

สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อเม็ดกลมเหล่านี้หลอมรวมเข้ากับลูกกลมแล้ว ตัวเลขด้านบนถูกเปลี่ยนให้เป็นหนึ่งถึงสิบเอ็ด และมีอีกหนึ่งลูกที่ว่างเปล่า

เม็ดกลมสิบเอ็ดลูกหมุนวนอยู่ด้านในอย่างต่อเนื่อง เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมองเห็นได้ไม่ชัดอีกต่อไป ลูกกลมนี้ก็เริ่มเลือนราง

“ด้วยเวทคาถาลึกลับ ปกปิดบัญชาจากสวรรค์ก็เพื่อความยุติธรรม แม้แต่ตัวข้าเองก็มิอาจเข้าไปวุ่นวายกับเม็ดกลมที่อยู่ในลูกกลมนี้ได้ ดังนั้นพวกเจ้าสามารถวางใจได้เลย ตอนนี้ทุกคนเข้ามาเลือกอันดับของตัวเอง” เสียงของโอวหยางเจี๋ยดังกังวานออกไป สวีซงแห่งชายฝั่งทิศเหนือจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างดุดัน เอ่ยปากด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าขอพรเข้าเถอะว่ารอบนี้อย่าให้เจอข้าผู้แซ่สวี มิเช่นนั้นล่ะก็ เจ้าอนาถหนักแน่!” พูดจบ เขายื่นมือออกมาหยิบเม็ดกลมเม็ดหนึ่งเอาไว้ในมือ

“ไม่ว่าเจ้าเจอกับใคร รอบที่สองนี้เจ้าก็ต้องแพ้แน่ อีกทั้งแพ้อย่างน่าสังเวชด้วย!” ขณะที่ลูกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้หนึ่งของชายฝั่งทิศเหนือกัดฟันพูดเสียงเย็น มือขวาของทุกคนล้วนยกขึ้นมา ยื่นมือเข้าไปในลูกกลมนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เอื้อมหยิบพร้อมรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม

พริบตาเดียวเม็ดกลมที่บินวนอยู่อย่างรวดเร็วสิบเอ็ดลูกก็แยกกันไปตกอยู่ในมือของทุกคน

“ข้าลำดับที่สาม!”

“ข้าลำดับที่เจ็ด!”

“ข้าลำดับที่หนึ่ง!” ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือทุกคนเมื่อหยิบมาแล้วก็เอ่ยปากทันที พูดลำดับเลขของตัวเองออกมา ความน่าเกรงขามพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วตามลำดับแต่ละประโยค หลังจากที่พวกเขาพูดเสร็จก็มองไปทางป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาอาฆาตมาดร้าย กุ่ยหยาก้มหน้าลงมองเม็ดกลมที่อยู่ในมือตัวเองหนึ่งที เอ่ยปากราบเรียบออกมาเช่นกัน

“ลำดับที่เก้า”

ครู่เดียวลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือทั้งหมดที่อยู่นอกเวทีประลองก็ค้นพบอย่างน่าตกใจว่า ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทั้งแปดคนของพวกเขากลับไม่มีสักคนที่จับได้ลูกเปล่า ตัวอักษรสิบตัว ตอนนี้ขาดแค่เลขสี่และสิบเท่านั้น แต่ละคนพากันตื่นเต้นขึ้นมาทันที มองไปทางชายฝั่งทิศใต้

“ข้าลำดับที่สี่!” ซ่างกวานเทียนโย่วเอ่ยปากราบเรียบ

“ลำดับที่สิบ!” โจวซินฉีสีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย ตอนที่พูดออกมายังมองไปยังกุ่ยหยาแห่งชายฝั่งทิศเหนือหนึ่งที

นอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ทุกคนล้วนพูดลำดับของตัวเองออกมา คนแต่ละคนของชายฝั่งทิศใต้สีหน้าพลันแปลกประหลาดขึ้นมา โดยเฉพาะศิษย์ฝ่ายนอกที่ได้ดูการประลองเล็กแห่งเขาเซียงอวิ๋นของป๋ายเสี่ยวฉุนในครั้งนั้น ทุกคนเบิกตากว้าง

“ไม่จริงมั้ง…” พวกเขารู้สึกไม่อยากเชื่อเล็กน้อย

และที่ยิ่งไม่อยากเชื่อมากกว่าพวกเขาก็คือฝูงชนของชายฝั่งทิศเหนือที่ถูมือกำหมัด เตรียมตัวว่าคราวนี้จะต้องสั่งสอนป๋ายเสี่ยวฉุนสักทีให้ได้ แต่ละคนมองเซ่อกันไปทันที พริบตาเดียวสายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนในที่แห่งนี้ก็ไปรวมอยู่ที่ตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียง

บนใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนปกปิดความลำพองใจเอาไว้ไม่มิด เมื่อครู่นี้เขาก็เห็นแล้วว่าบนเม็ดกลมเล็กที่ตัวเองถือไม่มีเลขใดๆ ทั้งสิ้น เขายังนึกว่าตัวเองดูผิดไป จึงมองอย่างละเอียดอีกรอบถึงได้แน่ใจ เวลานี้สายตาของทุกคนรอบด้านล้วนมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ความรู้สึกที่ถูกสายตาคนนับหมื่นจับจ้องมาเช่นนั้น ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าชีวิตคนช่างน่าเบื่อ… ดังนั้นจึงสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที วางมาดยอดฝีมือผู้เงียบเหงา เงยหน้ามองเมฆขาวบนท้องฟ้า ปากก็เอ่ยเสียงหดหู่ออกมาเนิบนาบ

“ขอโทษด้วยนะ ข้าได้เข้ารอบต่อไปแล้ว คิดจะสู้กับข้า พวกเจ้าต้องพยายามกันต่อไป”

หลังคำพูดประโยคนี้ดังลอยมา รอบด้านปรากฏความเงียบในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ผ่านไปประมาณสี่ห้าลมหายใจ ทางฝ่ายชายฝั่งทิศเหนือพลันเกิดเสียงคำรามอย่างโกรธแค้นอึงอล

“เป็นไปไม่ได้ สมควรตาย ดันเข้ารอบไปเสียได้! ทำไมเขาถึงได้เข้ารอบ ป๋ายเสี่ยวฉุนจอมหน้าด้านผู้นี้ ทำไมถึงเป็นเขา!!”

“นี่มันโชคอะไรของเขากัน คนตั้งสิบเอ็ดคนดันได้เข้ารอบไปเสียได้!! คนประเภทนี้ทำไมถึงได้โชคดีถึงเพียงนี้ ไร้ความยุติธรรมยิ่งนัก!”

“ข้าทนไม่ไหวแล้ว วางท่ามากเกินไปแล้ว ข้าจะไปจัดการเขา!!”

ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของชายฝั่งทิศเหนือเดิมทีคิดว่าครั้งนี้จะได้ใช้เลือดล้างความอัปยศ แต่กลับพบว่าเขาได้เข้ารอบต่อไป แต่ละคนแทบจะกระอักเลือดออกมา ระเบิดเสียงคำรามโกรธแค้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดออกมา ทำให้ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของชายฝั่งทิศเหนือที่เข้าร่วมการประลองแต่ละคนก็รู้สึกเหมือนชกลงไปบนปุยฝ้าย ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้ในใจของพวกสวีซงอัดอั้นอย่างถึงที่สุด ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนก็แทบอยากจะใช้สายตาฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ

แม้แต่คนของชายฝั่งทิศใต้เองก็มีสีหน้าแปลกประหลาด พูดไม่ออก พวกเขามองเห็นถึงความปรารถนาในการสู้รบกับป๋ายเสี่ยวฉุนของชายฝั่งทิศเหนืออยู่นานแล้วว่าดุเดือดเกินเปรียบเพียงใด แต่การเปลี่ยนแปลงในตอนนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าความอัดอั้นคับข้องใจของชายฝั่งทิศเหนือโหมซัดสาดอบอวลไปหมดแล้ว

“นี่ยังกระจอกนะ ตอนที่อาจารย์อาป๋ายประลองเล็ก…ได้ผ่านเข้ารอบตั้งสองครั้ง!” มีลูกศิษย์ฝ่ายนอกเขาเซียงอวิ๋นทนไม่ไหวพูดเบาๆ ออกมา คนข้างๆ พอได้ยินเข้า แต่ละคนก็เบิกตากว้าง เผยความไม่อยากเชื่อ

“เมื่อก่อนก็เคยผ่านเข้ารอบมาแล้ว? ความโชคดีของอาจารย์อาป๋ายนี่…ช่างไร้คำบรรยายเสียจริง!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมแห้งๆ หนึ่งที ยังคงวางมาดยอดฝีมือผู้เบื่อหน่ายอยู่เช่นเดิม กวาดสายตาผ่านชายฝั่งทิศเหนือพลางส่ายหัวน้อยๆ คล้ายกับว่าเสียดายอย่างมาก ทำให้ชายฝั่งทิศเหนือคลุ้มคลั่งกันอย่างสมบูรณ์แบบ

แต่ต่อให้บ้าคลั่งมากแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้ ศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจรอบที่สองจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความอัดอั้นตันใจนี้

เพียงแต่ว่าเมื่อไม่มีป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนว่าศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว โดยเฉพาะในสิบคนนี้ ชายฝั่งทิศใต้มีเพียงแค่สองคน ซึ่งก็หมายความว่ามีสามสนามที่ชายฝั่งทิศเหนือสู้รบกันเอง

สนามแรกของรอบที่สองก็เป็นเช่นนี้ เมื่อกงซุนหว่านเอ๋อร์และอีกคนหนึ่งของชายฝั่งทิศเหนือที่ติดสิบคนสุดท้ายเดินขึ้นมาบนเวที แทบไม่ได้แสดงฝีมืออะไรมากมาย ลูกศิษย์สิบคนสุดท้ายผู้นั้นก็พ่ายแพ้ลงมาจากเวทีแล้ว ทำเอาชายฝั่งทิศใต้ที่มองดูอยู่รู้สึกซับซ้อนอย่างมาก

ยังดีที่สนามที่สองเป็นคราวของซ่างกวานเทียนโย่วลงประลอง แต่เขาก็โชคดีมากเช่นกัน คู่ต่อสู้ไม่ใช่ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจหนึ่งในสี่ที่ยังอยู่ ณ ที่แห่งนี้ แต่เป็นลูกศิษย์ที่ติดสิบคนสุดท้ายผู้หนึ่ง การประลองครั้งนี้ซ่างกวานเทียนโย่วไม่ต้องออกแรงอะไรก็คว้าชัยชนะมาได้อย่างง่ายดาย ทำให้ทุกคนของชายฝั่งทิศใต้คลายใจลงได้บ้าง อย่างน้อยก็…ชนะแล้วหนึ่งครั้ง

แต่สนามที่สามและสี่ที่ตามมาติดๆ ล้วนเป็นการช่วงชิงกันเองของชายฝั่งทิศเหนือ แม้ว่าจะดุเดือด แต่ความรู้สึกที่ว่าการสู้รบของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจนั้นไม่เกี่ยวกับชายฝั่งทิศใต้ ทำให้ชายฝั่งทิศใต้เงียบงันอยู่กับความขมขื่น

จนกระทั่งสนามสุดท้าย เมื่อโจวซินฉีเดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เสียงไชโยโห่ร้องจากชายฝั่งทิศใต้ถึงได้ดังขึ้นมา แต่ถึงแม้จะเป็นลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้ก็ยังไม่หวังกับการประลองครั้งนี้

เพราะคู่ต่อสู้ของโจวซินฉี…คือกุ่ยหยาผู้ที่น่ากลัวที่สุดแห่งชายฝั่งทิศเหนือ ซึ่งเขาเคยชี้ทีเดียวก็แทบจะสังหารหลู่เทียนเหล่ยได้แล้ว

“เจ้ากับเจ้าคนที่ใช้สายฟ้าก่อนหน้านี้ ใครแข็งแกร่ง?” ขึ้นมาบนเวทีประลอง กุ่ยหยามองโจวซินฉีแล้วถามอย่างจริงจัง

“ศิษย์พี่หลู่แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย” โจวซินฉีไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายกำลังสบประมาทตนเองอยู่ จึงตอบกลับไปอย่างจริงจังเช่นกัน

“แบบนี้เองเหรอ…ก่อนหน้านี้ข้าใช้พลังเจ็ดส่วน คราวนี้ข้าใช้พลังสี่ส่วนก็แล้วกัน ไม่น่าจะฆ่าเจ้าได้” กุ่ยหยาพึมพำ ตอนที่เสียงดังออกมา คนรอบด้านที่ได้ยินล้วนรู้สึกฝาดเฝื่อน พวกเขาเชื่อว่าถึงแม้สิ่งที่กุ่ยหยาพูดจะเป็นเรื่องจริง แต่ความเป็นจริงเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขาสิ้นหวัง

โจวซินฉีสูดลมหายใจเข้าลึก มือทั้งคู่ยกขึ้นทำมุทราทันที พลันรอบกายก็มีแสงสีฟ้าจำนวนมากบินไสว แล้วจึงกลายเป็นแพรต่วนสีฟ้ามากมายสุดจะนับอยู่รอบด้าน รวมตัวประกอบเข้าด้วยกันเป็นดอกไม้สีฟ้าดอกหนึ่ง ดอกไม้ดอกนี้พอปรากฏตัวขึ้นมาก็แผ่แรงดึงดูดเป็นระลอกทันที!

“คาถาร้อยเปลี่ยนพืชหญ้า!” ทุกคนของชายฝั่งทิศใต้จำคาถานี้ได้ในทันที พากันจิตใจสั่นสะท้าน คาถาร้อยเปลี่ยนพืชหญ้านี้แม้ว่าจะเทียบขบวนภูตรัตติกาลกับเขตแดนธาราไม่ได้ แต่ก็เป็นหนึ่งในสิบมหาเวทลึกลับเช่นกัน

เน้นในเรื่องการใช้เวทแปลงพืชหญ้าออกมาต่อกรกับศัตรู การเปลี่ยนแปลงมีเยอะอย่างยิ่ง แปลกประหลาดยากคาดเดา เมื่ออยู่ในมือของหลี่ชิงโหวถึงขั้นสามารถเปลี่ยนให้ในรัศมีหนึ่งร้อยลี้กลายมาเป็นโลกมายาแห่งพืชหญ้าได้ เมื่อถึงท้ายที่สุดก็คือคาถาลับที่แท้จริง…พืชหญ้าแปลงกองทัพ!

โจวซินฉีสีหน้าซีดขาว สำหรับนางแล้วการใช้คาถานี้เผาผลาญพลังไปไม่น้อย นางรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่ในโลกของนางไม่มีคำว่าเป็นฝ่ายยอมแพ้บัญญัติไว้

ขณะที่โบกมือ ดอกไม้สีฟ้าดอกนี้ก็สั่นไปตลอดทั้งดอกทันที แล้วจึงยืดขยายอย่างไร้ที่สิ้นสุดตรงดิ่งเข้าหากุ่ยหยา ดอกไม้บานอ้ากว้างคล้ายต้องการกลืนกิน

พลังอำนาจอบอวล มองดูแล้วไม่ธรรมดา ป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องมองแน่วนิ่ง เผยความสนใจต่อคาถานี้ของโจวซินฉีเช่นกัน แต่เวลานี้กุ่ยหยากลับเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้านิ่งสงบ มือขวายกขึ้นชี้ไปเช่นเดิม

ไม่ได้ชี้ไปที่ท้องฟ้า แต่ชี้ไปที่โจวซินฉี พลันความว่างเปล่าฝั่งขวามือของเขาก็เกิดเสียงดังตูมตามมาติดๆ ถึงกับมีมือปีศาจสีดำขนาดยักษ์มือหนึ่งแปลงออกมาและพุ่งตรงเข้าต่อย!

หมัดนี้ใหญ่เท่าพื้นที่ครึ่งเวทีประลอง บดบังการมองเห็นเกินครึ่งของทุกคน หมัดเดียวกระแทกตูมเข้ากับดอกไม้สีฟ้า ดอกไม้นี้สั่นสะเทือน พริบตาเดียวก็แตกกระจายกลายเป็นฝุ่นผง ส่วนมือปีศาจของกุ่ยหยากลับไม่ได้หยุดลงแม้แต่นิด บุกตะลุยจนปรากฏอยู่ด้านหน้าของโจวซินฉี ต่อยกระแทกลงไปโดยตรง

เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดิน โจวซินฉีกระอักเลือดสด ร่างถูกต่อยจนกระเด็นลอยออกไปนอกเวทีประลอง หลังจากร่วงลงพื้นก็ยังถอยไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง กระอักเลือดสดๆ ออกมาติดๆ กันอีกเจ็ดแปดครั้งกว่าจะยืนได้มั่นคง สีหน้าซีดเผือด เงยหน้ามองกุ่ยหยาที่ยามนี้กำลังหมุนกายเดินไปทางชายฝั่งทิศเหนือ นัยน์ตาของนางเผยความแข็งกร้าว

รอบด้านเงียบสนิท มีเพียงแค่เสียงสูดลมหายใจที่ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง…

———

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!