บทที่ 121 นกกระสากระดาษบินเต็มนภา…
เมื่อเป่ยหันเลี่ยฝึกวิชาอภินิหารได้สำเร็จไปส่วนใหญ่แล้วจึงมาท้ารบกับป๋ายเสี่ยวฉุนที่เวทีประลองแห่งนี้ เมื่อลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือได้ยินข่าวคราวก็พากันเคลื่อนไหว รีบตามมาดู ไม่นานก็ยิ่งมีคนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ล้อมรอบด้านจนแน่นขนัด
เป่ยหันเลี่ยยืนอยู่บนเวทีประลองอย่างทะนงองอาจ เลือดร้อนในกายโหมไหม้ ครั้งนี้เขาต้องการแก้แค้น ต้องการล้างความอัปยศ เขาจะทำให้ชายฝั่งทิศเหนือทุกคนรู้ว่าเขาเป่ยหันเลี่ยยังคงเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ!
“ข้าล้มจากตรงไหนก็ต้องลุกขึ้นมาจากตรงนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าจะต้องกลายมาเป็นหินรองฝ่าเท้าของข้า!” นัยน์ตาเป่ยหันเลี่ยฉายความบ้าคลั่ง เขารอคอยวันนี้มานานมากเหลือเกินแล้ว ยามนี้เขาเชื่อว่าด้วยคาถารวิอัสดงของตัวเอง ย่อมสามารถเอาชนะป๋ายเสี่ยวฉุนได้อย่างแน่นอน!
แม้ว่าภายหลังเขาจะได้ยินเรื่องราวการรบระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนและกุ่ยหยาก็ตาม แต่เขาก็ยังคงมีความมั่นใจ ทั้งหมดนี้มาจากความบ้าคลั่งและความพยายามอย่างสุดกำลังของเขาตลอดหลายปีมานี้ เขาจะต้องรบให้ชนะป๋ายเสี่ยวฉุนก่อน แล้วค่อยรบกับกุ่ยหยา
“ป๋ายเสี่ยวฉุน โผล่หัวมาสิ!” เลือดร้อนในใจของเป่ยหันเลี่ยโหมซัดสาด เงยหน้าคำรามเสียงดัง พลังอำนาจยิ่งแกร่งกร้าว ก่อให้เกิดเสียงตกตะลึงจากคนนับไม่ถ้วนรอบด้าน ตบะของเขาแผ่ซ่าน คล้ายว่าได้กลายมาเป็นระลอกน้ำวนกระจายไปทั่วสี่ทิศ
“ศิษย์พี่เป่ยหันเลี่ยเยี่ยมมากเลย! โค่นล้มป๋ายเสี่ยวฉุน!”
“ฮ่าๆ พวกเราเองก็รอวันนี้มานานมากแล้วเช่นกัน!”
ขณะที่ทุกคนกำลังไชโยโห่ร้อง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในป่ากำลังนั่งอยู่บนหลังตัวลิ่น คลอเพลงน้อยๆ เตร่ไปมา ทันใดนั้นมีรุ้งยาวเส้นหนึ่งพุ่งมาจากไกลๆ ก่อเกิดเป็นแสงสีเลือดหนึ่งระยะ อบอวลไปด้วยไอดุร้าย คล้ายว่าสามารถกระตุ้นความฮึกเหิมและปรารถนาในการสู้รบที่มีอยู่ในใจคนได้ ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองดูด้วยความตกใจ แสงสีเลือดเส้นนี้ก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา กลายร่างเป็นนกกระสากระดาษหนึ่งตัว
“ลูกศิษย์ฝ่ายในป๋ายเสี่ยวฉุน เป่ยหันเลี่ยแห่งชายฝั่งทิศเหนือ รวมลมปราณขั้นเก้า ใช้คะแนนคุณความดีสามหมื่นเจ็ดพันคะแนน ต้องการท้ารบกับเจ้า ระยะเวลามีผลครึ่งปี หากเจ้าชนะ จะได้รับคะแนนคุณความดีทั้งหมด หากเจ้าแพ้ ตามกฎของเวทีประลอง เจ้าไม่ต้องสูญเสียสิ่งใด” เสียงที่เหมือนไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ใดๆ ดังลอยออกมาจากนกกระสากระดาษตัวนี้ ขณะที่มันดังสะท้อนไปรอบด้าน ความรู้สึกเลือดร้อนและวู่วามที่ออกมาจากในร่างกายก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างควบคุมไม่ได้ ภายใต้อิทธิพลของเสียงนั้น ราวกับว่าในร่างกายมีจิตสำนึกหนึ่งกำลังคำรามอย่างบ้าคลั่ง
รบ! รบ! รบ!
“รบกะผีน่ะสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบหน้าอกหนึ่งที ตีความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ซึ่งได้รับอิทธิพลจากเสียงนี้ให้แตกกระเจิงไป ช่วงที่ผ่านมาเขาศึกษากฎระเบียบของชายฝั่งทิศเหนือ เวทีประลองนี้จึงไม่ใช่สิ่งแปลกสำหรับเขา อีกทั้งยังเข้าใจกฎกติกาของมันเป็นอย่างดี
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นใครกัน ข้าคือลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติ คือศิษย์น้องของท่านเจ้าสำนัก เรื่องตีรันฟันแทงแบบนี้ข้าไม่เอาด้วยหรอก” ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดสายตามองนกกระสากระดาษหนึ่งที ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง สะบัดปลายแขนเสื้อ…ลมระลอกหนึ่งพัดขึ้นมาม้วนเอานกกระสากระดาษนั้นบินออกไปไกล
เขาคลอเพลงต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่งอยู่บนหลังตัวลิ่น เดินห่างออกไปไกล
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทุกคนที่อยู่รอบเวทีประลองรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เสียงไชโยโห่ร้องก็เบาลงไปไม่น้อยเช่นกัน
อีกหนึ่งชั่วยามต่อมา คนมากมายเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา เป่ยหันเลี่ยที่อยู่บนเวทีประลองเองก็ยังตัวสั่นเทิ้ม
“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนั่นคงจะไม่เลี่ยงการต่อสู้หรอกมั้ง? ไม่จริงมั้ง…เขาคือผู้ชนะศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเชียวนะ เขา เขา…เขาจะไม่สนใจชื่อเสียงตัวเองสักนิดเลยเหรอ?”
“คงไม่ใช่หรอกมั้ง ไม่ว่าจะเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนใดก็ตาม พอถูกท้ารบแล้ว ต่อให้ไม่รับคำท้าทันที ก็จะต้องบอกเวลาต่อสู้ให้รู้ ทำไมเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่ถึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเลยสักนิดเดียว?”
สองชั่วยามผ่านไป พระอาทิตย์ตกดิน สายัณห์เยื้องกรายมาถึง แต่ทางฝ่ายป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยังคงไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ ลูกศิษย์แต่ละคนของชายฝั่งทิศเหนือตะลึงงันกันไปหมด
“สมควรตายเอ๊ย ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ไรมาเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่ก็ไร้ยางอายอยู่แล้ว นี่เขายังถึงขนาดหนีการต่อสู้ด้วย!!”
“เกินไปแล้ว เขาเป็นตัวแทนของชายฝั่งทิศใต้มาอยู่ที่นี่ แบบนี้มีแต่จะทำให้ชายฝั่งทิศใต้ขายขี้หน้า!!”
ขณะที่คนรอบด้านวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้นเอง เป่ยหันเลี่ยจ้องเขม็งไปยังทิศทางของหอร้อยสัตว์ เขาก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะถึงขนาดหนีการต่อสู้ เขาไม่ยอมง่ายๆ เขารู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นถึงผู้ชนะศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ หากลองเปลี่ยนตำแหน่งกัน ให้เขาเป่ยหันเลี่ยคือผู้ชนะศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ เมื่อมีคนมาท้ารบ ย่อมไม่มีทางหลีกหนีการต่อสู้อย่างแน่นอน
“เจ้าต้องมาปรากฏตัวร่วมรบอย่างแน่นอน!” เป่ยหันเลี่ยกัดฟันยืนอยู่ตรงนั้น บนร่างสะท้อนความดึงดันออกมาเป็นระลอก ทำให้ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือทุกคนที่มองเห็นล้วนจิตใจสะท้านสะเทือน
ไม่นานรุ้งยาวเส้นหนึ่งพลันลอยออกมาจากกลุ่มคน กลายร่างเป็นร่างหนึ่งบนเวทีประลอง เมื่อทุกคนพากันหันไปมองก็จำได้ทันทีว่าคนผู้นั้นเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเช่นเดียวกับเป่ยหันเลี่ย สวีซงแห่งชายฝั่งทิศเหนือ!
สวีซงสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อยืนอยู่บนเวทีประลอง เขานึกถึงภาพป๋ายเสี่ยวฉุนประมือกับกุ่ยหยาเมื่อตอนศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ยามนั้นพวกเขาล้วนมองออกว่ากุ่ยหยาไม่ได้แพ้ให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน แต่แพ้ให้กับตัวเองที่ประคองตนต่อไปไม่ไหว ป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งแกร่งจริง จุดนี้สวีซงยอมรับ แต่หลายปีมานี้ตัวเขาเองก็เติบโตขึ้นเช่นกัน แข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจมากมายนัก เขาหวนคิดอยู่หลายครั้ง คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะสู้รบกับป๋ายเสี่ยวฉุน ดังนั้นเวลานี้จึงพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง
“วันนี้ข้าสวีซงตอบรับความปรารถนาในการสู้รบของเป่ยหันเลี่ย ขอท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน!”
“สวีซงแห่งชายฝั่งทิศเหนือ ใช้คะแนนคุณความดีสองหมื่นคะแนน เพื่อท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุน!” เขาพูดจบ ทุกคนที่อยู่รอบด้านเงียบกันไปชั่วขณะ จากนั้นก็ระเบิดเสียงฮือฮาดังสนั่นหวั่นไหว
“ศิษย์พี่สวีซงก็ท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย!!”
“ศิษย์พี่สวีซงทำดีมาก!”
ตลอดทั้งเวทีประลองเปล่งแสงวาบ นกกระสากระดาษตัวที่สองบินออกไปยังหอร้อยสัตว์
เป่ยหันเลี่ยซาบซึ้งใจ มองไปยังสวีซง คนทั้งสองสบตากันล้วนมองเห็นความปรารถนาอันเด็ดเดี่ยวที่จะได้สู้รบกับป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วจึงหัวเราะกันขึ้นมาเสียงดัง
เวลานี้เอง ทันใดนั้นก็มีอีกเงาร่างหนึ่งพุ่งตรงมายังเวทีประลอง นั่นคือผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งก็คือกงซุนหว่านเอ๋อร์
“ข้ากงซุนหว่านเอ๋อร์ ใช้คะแนนคุณความดีสองหมื่นคะแนน เพื่อท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุน!”
แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะส่งเสียงเกรียวกราว เงาร่างที่สี่ก็พุ่งเข้ามาใกล้และมายืนอยู่บนเวทีประลองเช่นกัน
“ข้ากงซุนอวิ๋น ใช้คะแนนคุณความดีสองหมื่นคะแนน เพื่อท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุน!”
พี่น้องกงซุนต้องการท้ารบกับป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นเดียวกัน หลายปีมานี้พวกเขาเองก็พัฒนาขึ้นเยอะมาก
หลังจากเปล่งคำพูดออกมา แสงของเวทีประลองจึงกะพริบวาบอย่างรวดเร็ว กลายเป็นนกกระสากระดาษสองตัว พุ่งกรีดผ่าอากาศบินไปยังหอร้อยสัตว์พร้อมกัน
“เลือดร้อนเดือดพล่าน นี่แหละศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของชายฝั่งทิศเหนือเรา!”
“ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจไร้พ่าย!!”
“ฮ่าๆ เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนั่นต้องตกใจจนเซ่อไปเลยแน่ๆ ก็ดี รวมข้าเข้าไปด้วยอีกคน ต่อให้ข้าแพ้ อย่างมากก็เสียแค่คะแนนคุณความดีนิดหน่อย แต่ยังไงก็ต้องท้ารบ ให้เขารู้ถึงความสามัคคีของชายฝั่งทิศเหนือเรา!”
ขณะที่ทุกคนฮึกเหิมกันอยู่นั้น เงาร่างที่ห้า ที่หก ที่เจ็ดล้วนคำรามออกมาจากรอบด้าน พุ่งตรงเข้าหาเวทีประลอง
“ข้าเฉินเอ้า ต้องการร่วมทุกข์กับศิษย์พี่กงซุน ใช้คะแนนคุณความดีเจ็ดร้อยคะแนน เพื่อท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุน!”
“ศิษย์พี่สวีซงมีพระคุณกับข้า ข้าซุนเฉินหลงขอร่วมเป็นเพื่อนเขา ใช้คะแนนคุณความดีห้าร้อยคะแนน เพื่อท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุน!”
“ข้าโจวฟาง ใช้คะแนนคุณความดีสี่ร้อยคะแนน เพื่อท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุน!”
เวลานี้ตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือสะเทือนเลือนลั่นกันขึ้นมาทันที ส่วนในป่าของเขาร้อยสัตว์ ป๋ายเสี่ยวฉุนตาเหลือก มองนกกระสากระดาษตัวแล้วตัวเล่าถลาเข้ามาหาตัวเอง ข้างกายเขาก็มีคำพูดไร้อารมณ์ดังลอยมาอย่างต่อเนื่อง
“นี่มันก็เยอะไปหน่อยไหม…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เขาทิ้งนกกระสากระดาษไปเป็นชิ้นที่สามแล้ว แต่พอมองไปยังขอบฟ้าก็ได้เห็นว่ายังมีนกกระสากระดาษอีกห้าหกตัวบินตามมาติดๆ กัน ทำเอาเขาสำลักลมหายใจ
นกกระสากระดาษแต่ละตัวเหล่านี้ล้วนกระตุ้นความปรารถนาต่อการสู้รบในจิตใจ ทำให้ใจคนฮึกเหิมอยากลงสนามรบ ยากที่จะทำใจให้สงบลงได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบถอยกรูด ปีกเบื้องหลังกระพือพรึ่บ ไม่เตร็ดเตร่อยู่ในป่าอีกแล้ว แต่ตรงดิ่งกลับไปที่หอเรือนแทน
ระหว่างทางเขาก็เจอนกกระสากระดาษอีกสิบกว่าชิ้นพุ่งเข้าหาตนเอง ตามด้วยเสียงที่ดังลอยมา
คำท้ารบแต่ละครั้งนั้นกระตุ้นเร้าจิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามลั่นด้วยความเดือดดาล
“พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว คนมากมายขนาดนี้ท้ารบข้า แถมทุกคนยังรวมลมปราณขั้นแปดขึ้นไป จะเอายังไงกันแน่ ไม่ได้ ข้าต้องทำตัวสงบเสงี่ยม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเข้ามาในหอเรือนได้ก็เปิดใช้ค่ายกลทันที ตัดขาดกับนกกระสากระดาษด้านนอก แล้วจึงนั่งขัดสมาธิอย่างทะนงองอาจ
“อยู่ที่ชายฝั่งทิศเหนือข้าต้องเก็บเนื้อเก็บตัว จะปล่อยให้พวกเขาได้ใจไม่ได้เด็ดขาด หึๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ นั่งทำสมาธิ ค่อยๆ ลืมเรื่องนี้ไป
ไม่นานก็ผ่านไปหนึ่งคืน บนเวทีประลอง ภายใต้การนำของพวกเป่ยหันเลี่ย เรื่องท้ารบดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นกระตุ้นให้เกิดเป็นคลื่นพายุขึ้นมาในสำนัก ซึ่งในนี้บางคนก็ต้องการประจบประแจงพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ และก็ยังมีผู้ที่ชื่นชอบกงซุนหว่านเอ๋อร์ ทว่าที่มีมากที่สุดก็คือพวกที่จ่ายคะแนนคุณความดีไม่มาก แต่ขอแค่ได้ร่วมสนุกกับความกระตือรือร้นของกลุ่มคน
เช้าตรู่วันที่สอง พอป๋ายเสี่ยวฉุนบำเพ็ญตบะเสร็จและผลักประตูเปิดออก พริบตาเดียวเสียงท้ารบจำนวนเหลือคณานับก็ระเบิดดังเลือนลั่นดุจดั่งเสียงฟ้าผ่าโหมกระหน่ำ ดังจนป๋ายเสี่ยวฉุนทึ่มทื่อไปทั้งตัว เนิ่นนานถึงได้สะกดกลั้นความปรารถนาในการสู้รบที่ลุกฮือขึ้นมาในใจลงไปได้ เขาเบิกตากว้าง มองไปยังนกกระสากระดาษนับร้อยหน้าประตูด้วยความอึ้งงัน สูดหายใจเฮือก
“คนชายฝั่งทิศเหนือนี่เป็นบ้ากันไปใหญ่แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกหนังหัวชาหนึบ รีบปิดประตู ไม่ออกไปข้างนอกอีก
เช้าวันที่สาม เขารู้สึกว่าคนของชายฝั่งทิศเหนือพวกนั้นน่าจะหยุดพักกันแล้ว ดังนั้นจึงผลักประตูเปิดออก แต่คราวนี้เขารู้สึกเหมือนถูกห้าอัสนีบาตฟาดเข้าที่กลางกระหม่อม เบื้องหน้าที่เห็นอยู่คือนกกระสากระดาษมากพอสามร้อยกว่าชิ้น กองพะเนินอยู่นอกหอเรือนของเขาคล้ายภูเขาลูกย่อม
นกกระสากระดาษทุกชิ้นล้วนเป็นตัวแทนของสารท้ารบหนึ่งฉบับ…
ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง รีบปิดประตู เขารู้สึกว่าคนของชายฝั่งทิศเหนือเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว
“เฮ้อ บางครั้งความเก่งก็เป็นความผิดอย่างหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนนะป๋ายเสี่ยวฉุน ถ้าเจ้าผิดก็ผิดตรงที่เก่งเกินไปนี่แหละ” ป๋ายเสี่ยวฉุนใบหน้าเศร้าสร้อย นั่งเหม่ออยู่ในหอเรือน ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็คิดว่าควรถือโอกาสฝึกวิชาเขตแดนธาราไปเลยดีกว่า
เวลาผันผ่าน อีกเจ็ดวันต่อมา ทุกเช้าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเปิดประตูออกจะต้องมองเห็นนกกระสากระดาษหลายร้อยชิ้นร่วงลงมา ทำไปทำมาแม้แต่ตัวเขาเองก็เริ่มชินแล้ว นอกหอเรือน นกกระสากระดาษที่กองทับถมกันเกือบถึงสองพันชิ้นแล้ว
ทุกครั้งที่มีลูกศิษย์มายังหอร้อยสัตว์ก็จะต้องมองเห็นนกกระสากระดาษที่กลาดเกลื่อนทั่วพื้นพวกนั้นได้ในปราดเดียว…
และเจ็ดวันมานี้ตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือ เนื่องจากเป่ยหันเลี่ยส่งคำท้ารบแล้วศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทุกคนตอบรับ จึงกลายมาเป็นเหมือนพายุที่ยิ่งพัดก็ยิ่งรุนแรง จนถึงท้ายที่สุดลูกศิษย์ฝ่ายในที่ร่วมส่งสารท้ารบให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนก็เกือบจะมีมากถึงสี่ส่วน แม้ว่าคะแนนคุณความดีที่จ่ายจะเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยนิดที่ตัวเองมี ไม่ได้บ้าคลั่งเท่าเป่ยหันเลี่ย แต่เมื่อสะสมเข้าด้วยกันแล้วก็น่าตกตะลึง อีกทั้งเรื่องนี้ยังดังเกินไป ทำให้แม้แต่ผู้อาวุโสและผู้นำของแต่ละยอดเขาก็ยังต้องตกใจไปกับภาพนี้
นับตั้งแต่ที่เวทีประลองของชายฝั่งทิศเหนือแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมา จนกระทั่งถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสี่พันกว่าปีแล้ว แต่กลับไม่เคยมีสักครั้ง…ที่จะยิ่งใหญ่สะท้านสะเทือนได้ถึงเพียงนี้
นั่นคือการท้ารบของลูกศิษย์ฝ่ายในเกือบสองพันคน อีกทั้งทุกคนล้วนท้ารบกับคนคนเดียว…
อีกอย่างเรื่องนี้ก็ไม่อาจควบคุมได้ คล้ายกับว่าได้กลายเป็นกระแสอย่างหนึ่งที่ชักนำความบ้าคลั่งของชายฝั่งทิศเหนือในช่วงเวลานี้ไปเสียแล้ว
“ข่าวใหม่ล่าสุด วันนี้มีศิษย์ฝ่ายในอีกสามร้อยกว่าคนท้ารบกับป๋ายเสี่ยวฉุนที่เวทีประลอง!”
“ฮ่าๆ เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่ต้องกลัวตายมากอย่างแน่นอน คราวนี้เขาคงรู้ถึงความแข็งแกร่งและความสามัคคีของชายฝั่งทิศเหนือของเราแล้ว!”
“คอยดูเถอะ เดี๋ยวข้าก็จะไปร่วมท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนกัน!”
———-