บทที่ 120 ท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุน!
จากเสียงที่ดังลอยมา เสือบินที่เดิมทีเต็มไปด้วยความดุร้ายตัวนั้นพลันชะงักกึก รีบลอยลงมาจากกลางอากาศแล้วหมอบลงกับพื้นทันที แถมมันยังสะบัดหางแรงๆ ทำให้ฝุ่นและไม้ใบฟุ้งตลบ หัวขนาดมโหฬารของมันเงยขึ้น แลบลิ้นออกมา มองไปยังเงาร่างขนาดยักษ์ที่เดินมาไกลๆ
เงาร่างนั้นคือตัวลิ่นสูงใหญ่ประมาณสิบจั้ง ตลอดทั้งร่างแผ่ไอดุร้าย ดวงตาสีเขียวแฝงไว้ด้วยความเย็นชา เดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้รวดเร็วเกินไป ซุนเหวินตะลึงงันไปทั้งร่าง ลูกศิษย์ฝ่ายนอกสองคนที่อยู่ด้านหลังเขาก็สูดหายใจเฮือกใหญ่ มองทุกอย่างนี้ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างปากอ้าค้าง
ลูกศิษย์หญิงคนนั้นยืนเซ่อไปทันที การเปลี่ยนแปลงของเสือบินและการมาถึงของตัวลิ่นทำให้นางรู้สึกเหลือเชื่อ นางจินตนาการไม่ออกเลยว่าเสือบินที่ทำให้ศิษย์พี่ซุนที่อยู่ด้านหน้าพรั่นพรึง กลับยอมหมอบลงด้วยประโยคเดียว อีกทั้งยังเผยท่าทางว่านอนสอนง่ายออกมา ซึ่งต่างจากท่าทางดุดันน่าเกรงขามก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ทำให้คนมองรู้สึกมึนงง
“สิบสัตว์รบผู้ยิ่งใหญ่?” ลูกศิษย์ชายฝ่ายนอกที่อยู่ด้านหลังซุนเหวินพึมพำเสียงเบา รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ พอเงยหน้าขึ้นมองเห็นตัวลิ่นขนาดยักษ์ตัวนั้นก็สำลักลมหายใจ
“สัตว์ภูเขา…เกราะเหล็ก…” ซุนเหวินมองตัวลิ่นขนาดมโหฬารนั้นด้วยความยากลำบากเช่นกัน เพียงแค่ความกดดันก็ทำให้ใจเขาหวาดผวาได้แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเขามองเห็นว่าเบื้องหลังของตัวลิ่นมีเงาร่างผอมบางร่างหนึ่งนั่งอยู่ ในสมองก็ยิ่งเกิดเสียงดังอื้ออึง ร้องเสียงหลง
“เป็นเจ้า!”
บนตัวลิ่นขนาดยักษ์ ผู้ที่นั่งอยู่ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน เขายืดตัวขึ้นแล้วกระโดดลงมาหยุดยืนอยู่ข้างเสือบินตัวนั้น ลูบศีรษะใหญ่ๆ ของมันที่ยื่นเข้าหา
“เจ้านี่นะ ไปข่มขู่คนอื่นเขาอีกแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธมาก เสือบินกะพริบตาปริบๆ ก้มหัวลงเอาไปสีกับขาของป๋ายเสี่ยวฉุน ท่าทางเช่นนี้ทำเอาซุนเหวินที่มองดูอยู่รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลูกศิษย์ฝ่ายนอกสองคนที่อยู่ด้านหลังเขาก็มองเซ่อไปเช่นกัน
“ขอโทษทีนะ จริงๆ แล้วเสี่ยวเฟยไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรหรอก มันค่อนข้างซนไปหน่อย ชอบข่มขู่คนอื่น เสี่ยวเฟย รีบขอโทษเร็ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนเตะเสือบินหนึ่งที
เสือบินทำหน้าเหมือนได้รับความไม่เป็นธรรม ผินหน้าไปมองยังพวกซุนเหวินสามคน คำรามเสียงเบาหนึ่งที เสียงนี้แม้จะเบา แต่ก็ไม่ต่างไปจากเสียงฟ้าผ่า ทำเอาใจของพวกซุนเหวินสามคนสะท้านไหว
“พวกเจ้ามาเลือกสัตว์รบกันสินะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองคนทั้งสาม จำซุนเหวินได้ แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก เอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม
“พวกเรา…พวกเรามาเลือกสัตว์รบ…” ลูกศิษย์หญิงฝ่ายนอกคนนั้นพยายามกลืนน้ำลายลงคอ รีบเอ่ยปาก ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว สัตว์รบที่ศิษย์พี่ซุนข้างกายยังพรั่นพรึง แต่เมื่อมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของอีกฝ่ายกลับว่าง่ายราวสุนัข ภาพนี้ช่างน่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“เอาเถอะ ได้เจอกันก็ถือว่ามีวาสนาต่อกัน เดี๋ยวข้าจะช่วยพวกเจ้าเอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมแห้งๆ หนึ่งที เรื่องแบบนี้แต่ไหนแต่ไรมาเขาจะกระตือรือร้นอย่างมาก ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นตะโกนเสียงดังหนึ่งครั้ง
เสียงตะโกนดังสะท้อน ไม่นานผืนดินโดยรอบก็สั่นสะเทือนขึ้นมา ตามมาติดๆ ด้วยเงาร่างที่ห้อทะยานมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลายร่างเป็นลิงตัวใหญ่ตัวหนึ่ง แสยะปากให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างฮึกเหิม กำหมัดทุบลงไปบนหน้าอก ส่งเสียงร้องอย่างต่อเนื่อง
“เสี่ยวโหว(ลิงน้อย) เจ้าไปตรงโน้นเลย เจ้าไม่เหมาะสมกับพวกเขา” ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือทีหนึ่ง เจ้าลิงใหญ่ตัวนี้ก็หน้าม่อยทันที วิ่งไปอยู่อีกฝั่ง
ซุนเหวินร่างสั่นเทิ้ม เขาจำได้ทันทีว่านี่ก็คือลิงรัตติกาลดุร้ายซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสัตว์รบที่ยิ่งใหญ่ ปีนั้นเขาเคยเห็นกับตาตัวเองว่าลิงรัตติกาลตัวนี้บีบกะโหลกของสิงโตไม้น้ำทั้งเป็น โหดร้ายทารุณอย่างมาก แต่ตอนนี้เจ้าลิงตัวนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับว่านอนสอนง่ายถึงเพียงนี้ ซุนเหวินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝัน
เวลาเดียวกันนั้น หมีขนาดยักษ์ตัวหนึ่งบุกทะยานเข้ามา เมื่อหยุดอยู่ใกล้กับป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยืนขึ้นด้วยสองขา ส่ายก้นไปมาไม่หยุด
“เสี่ยวสง(หมีน้อย) เด็กดี มีคนนอกอยู่ด้วย ไม่ต้องเต้นแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ส่วนหมียักษ์ตัวนั้นกลับหันไปมองพวกซุนเหวินสามคนอย่างดุดัน แล้วจึงคำรามเสียงต่ำหนึ่งที
“หมี…หมีอัคคีสวรรค์ นี่มันกำลังเต้นหรือ…” ซุนเหวินตาพร่า ในสมองบังเกิดคลื่นระลอกใหญ่ ขนาดเขายังเป็นเช่นนี้ ลูกศิษย์ฝ่ายนอกสองคนนั่นก็ยิ่งสะท้านสะเทือน แต่ไม่นานความสะท้านสะเทือนของพวกเขาก็ดุเดือดขึ้นมาอีกสิบเท่า กลายมาเป็นความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ผืนดินรอบด้านสั่นไหวอย่างหนัก ไม่นานสัตว์ร้ายมากมายก็ปรากฏตัว จนถึงท้ายที่สุด ที่แห่งนี้ก็แน่นขนัดไปด้วยสัตว์หลายร้อยตัว อีกทั้งแต่ละตัวล้วนไม่ใช่สัตว์ที่อ่อนโยนอย่างที่พวกเขาสามคนเห็นก่อนหน้า ทุกตัวล้วนดุร้ายโหดเหี้ยมเกินจะเปรียบ
การปรากฏตัวของสัตว์ร้ายหลายร้อยตัวนี้ ต่อให้ซุนเหวินที่เป็นถึงศิษย์ฝ่ายในก็ยังแข้งขาอ่อนเปลี้ย ลูกศิษย์ฝ่ายนอกสองคนนั้นสีหน้าขาวเผือดไปหมดแล้ว ความรู้สึกถึงวิกฤติอันรุนแรงทำให้ใจของพวกเขาเต้นกระหน่ำอย่างไม่อาจควบคุมได้
“เลือกมาสักตัวสิ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมไอ แสร้งเอ่ยปากด้วยท่าทีเคร่งขรึม
ซุนเหวินงงคว้างไปหมด เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้อย่างไร เวลาเพียงครึ่งปีก็สามารถทำให้สัตว์ร้ายของที่นี่เชื่อฟังได้ถึงขนาดนี้แล้ว
แล้วก็นึกถึงตัวเองที่อยู่ที่นี่มาหลายปี ในใจของเขาตลบอบอวลไปด้วยความขมปร่าไร้ที่สิ้นสุด การเปรียบเทียบที่เห็นได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่ลูกศิษย์ชายฝ่ายนอกด้านหลังคนนั้นเวลานี้ก็ยังรู้สึกเสียใจอย่างถึงที่สุด
เขามองสัตว์พวกนั้นด้วยความอิจฉา ความฝาดเฝื่อนในใจเอาชนะความหวาดกลัวไปได้ เขาเกลียดตัวเองที่ทำไมก่อนหน้านี้ถึงได้เลือกสัตว์รบอย่างลวกๆ เช่นนั้น หากรออีกหน่อย เจอกับศิษย์พี่ที่มหัศจรรย์เช่นนี้ บางทีตัวเองก็อาจจะมีโชควาสนาอันน่าตื่นตะลึงกับเขาบ้างก็ได้ แต่ตอนนี้…ไม่มีแล้ว
ลูกศิษย์หญิงฝ่ายนอกคนนั้นตัวสั่น รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย รีบชี้ไปที่นกอินทรีใหญ่ตัวหนึ่งทันที นกอินทรีใหญ่ที่ตลอดทั้งร่างเต็มไปด้วยขนสีดำตัวนั้นร้องเสียงแหบหนึ่งครั้ง นิสัยดุร้ายหายวับไปเมื่ออยู่ภายใต้การจับตามองของป๋ายเสี่ยวฉุน ยอมให้พลังควบคุมของหญิงสาวผู้นั้นหลอมรวมเข้าไปในร่างกาย หลังจากค่อยๆ ผูกพันธะสัญญากันแล้ว อินทรีใหญ่ก็บินวนกลางอากาศ
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้ม โบกมือหนึ่งครั้งสัตว์ทั้งหลายที่อยู่รอบด้านก็เฮโลแยกย้ายกันไป เขากระโดดขึ้นไปยืนบนหลังของตัวลิ่น ลิ่นตัวนี้คำรามเสียงต่ำหนึ่งที หมุนตัวพาป๋ายเสี่ยวฉุนเดินจากไปไกล
หญิงสาวไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะทำสำเร็จแล้ว เวลานี้มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปไกล พลันนางก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
“ศิษย์พี่ บอกข้าได้หรือไม่ว่าท่านชื่ออะไร”
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนหลังตัวลิ่นได้ยินประโยคนี้ในใจก็ให้ภาคภูมิใจ เชิดคางเล็กๆ ขึ้นช้าๆ ตลอดทั้งร่างเผยความซึมเศร้าของยอดฝีมือผู้เงียบเหงาออกมา สะบัดปลายแขนเสื้ออย่างเป็นธรรมชาติ
“ข้าชื่อ ป๋ายเสี่ยวฉุน”
คำพูดทุ้มลึกลอยมาตามลม เงาร่างของเขาที่เอามือไพล่หลังยืนอยู่บนหลังตัวลิ่น เสื้อคลุมยาวโบกสะบัด เส้นผมปลิวไสวไปตามลม ด้วยความพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ความซึมเศร้าที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุน ได้อยู่ในระดับเลิศล้ำจนแยกไม่ออกแล้วว่าเป็นของจริงหรือของปลอม
ท่าทางเช่นนี้ได้ประทับตราตรึงลงไปในใจของลูกศิษย์หญิงคนนั้นอย่างไร้ที่สิ้นสุดทันที ตลอดร่างของนางตกอยู่ในความลุ่มหลงคลั่งไคล้…
“ป๋ายเสี่ยวฉุน? ชื่อนี้คุ้นๆ แฮะ…” ลูกศิษย์ชายฝ่ายนอกที่ยืนอยู่ข้างกันอึ้งไปครู่ แต่ไม่นานก็เบิกตากว้าง เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา
“ศัตรูร่วมชายฝั่งทิศเหนือ!!”
ลูกศิษย์หญิงเองก็ตะลึงงัน สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ นึกถึงชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนนี้ขึ้นมาได้เช่นกัน แต่กลับไม่สามารถเอาศัตรูร่วมชายฝั่งทิศเหนือที่ทุกคนร่ำลือมาทับซ้อนเข้ากับร่างที่เศร้าซึมเบื้องหน้านี้ได้เลย
ทั้งสามคนล้วนฉงนสนเท่ห์ ไปจากหอร้อยสัตว์ด้วยความเงียบงัน
ในผืนป่า ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งอยู่บนหลังตัวลิ่น สัมผัสได้ว่าด้านหลังไม่มีคนจับตามองตัวเองแล้วถึงได้สลัดท่าทางของยอดฝีมือผู้เงียบเหงาทิ้งไป คลอเพลงอย่างลำพองใจ มองเห็นสัตว์ตัวเล็กๆ ก็โยนยาไปให้หนึ่งเม็ด
ครึ่งปีมานี้ที่สัตว์ร้ายของที่นี่เชื่อฟังเขาถึงขนาดนี้ นอกจากการปฏิบัติต่อพวกสัตว์ร้ายด้วยความจริงใจของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ยังมีสาเหตุมาจากยาด้วย
ยาเหล่านั้นทำให้สัตว์ร้ายของที่นี่ต่างก็มีพลังแฝงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็ย่อมทำให้รู้สึกดีและสนิทใจกับป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกตัวที่เป็นเช่นนี้ ยังมีบางส่วนที่ยังคงระแวดระวังเขาอยู่เหมือนเดิม แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ถือสา ครึ่งปีที่อยู่หอร้อยสัตว์มา ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความสุขมากแล้ว
โดยเฉพาะเมล็ดกำเนิดสัตว์ที่เขาปลูกเอาไว้หลังหอเรือนที่ช่วงนี้เริ่มแตกหน่อแล้ว ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งตื่นเต้น และเรื่องดีก็ยังมีมาอย่างต่อเนื่อง การสังเกตและศึกษาร้อยสัตว์ตลอดครึ่งปี ป๋ายเสี่ยวฉุนพบว่าเวลาที่ตัวเองฝึกวิชาเขตแดนธารา พละกำลังจะแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แม้จะยังไม่มีจิตวิญญาณแห่งชะตาตนปรากฏออกมา แต่กลับเห็นได้ชัดว่ามีความโหดเหี้ยมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเส้นบางๆ
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าเมื่อบำเพ็ญวิชาเขตแดนธาราอย่างต่อเนื่อง จิตวิญญาณแห่งชะตาตนย่อมปรากฏออกมาได้แน่นอน เขาอยากรู้มากกว่าจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของตัวเองจะเป็นสัตว์ลักษณะไหน
และที่เขายิ่งคาดหวัง ก็คือเขตแดนธาราวิชาลึกลับที่สุดซึ่งเทียบเคียงกับขบวนภูตรัตติกาลของกุ่ยหยาได้นี้ หากสุดท้ายแล้วเมื่อตัวเองฝึกสำเร็จจะแสดงออกมาเป็นพลังรบเช่นไร
ท่ามกลางการรอคอยและการฝึกฝนเช่นนี้ เวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่ที่ชายฝั่งทิศเหนือได้ครึ่งปีกว่าแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ออกไปข้างนอก แม้ว่าจะเก็บตัวสงบเสงี่ยม แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องที่สัตว์ดุร้ายเหล่านั้นของหอร้อยสัตว์เชื่อฟังเขา ก็ยังคงค่อยๆ แพร่ออกไปจากปากของลูกศิษย์หลายคนที่ได้รับสัตว์รบไปจากที่นี่
ไม่นานคนในสำนักจำนวนไม่น้อยก็ล้วนได้ยินเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครึ่งปีมานี้เรื่องในอดีตของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเป็นหัวข้อสำคัญของลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือ ทุกเรื่องราวที่เขาเคยทำตอนศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทำให้คนจำนวนมากเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทุกครั้งที่คิดขึ้นมาก็ไพล่นึกไปถึงเป่ยหันเลี่ย ทำให้ในใจของคนมากมายมีหนามแหลมคอยทิ่มแทง เวลามองไปยังสัตว์รบข้างกายของตัวเอง หนามแหลมนี้ก็ได้กลายมาเป็นเงามืดที่ลบไม่ออก
เป่ยหันเลี่ยที่นับตั้งแต่กลับมาก็ปิดด่านไม่ออกไปไหน ในที่สุดวันนี้ก็ลืมตาโพลงขึ้นมาในถ้ำสถิต บีบแผ่นหยกในมือจนแหลกละเอียด เขาได้รับข้อความเสียงตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน รู้ถึงการมาถึงของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ความอัปยศของข้าเป่ยหันเลี่ย วันนี้จะต้องลบล้างให้สิ้นซาก เจ้าแข็งแกร่งจริง แต่หลายปีมานี้ข้าเป่ยหันเลี่ยก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในที่สุดข้าก็ผลักดันให้คาถารวิอัสดงไปถึงขั้นสามได้สำเร็จ ไร้พ่ายให้กับขั้นสร้างฐานรากลงมา!” เป่ยหันเลี่ยลุกขึ้นยืน ตบะตลอดร่างระเบิดตูมตาม ลักษณะพลังของรวมลมปราณเก้าขั้นสมบูรณ์แบบแผ่กระจายไปทั่วทิศ หลายปีมานี้หลังจากที่เขาถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ก็ได้บำเพ็ญตบะอย่างบ้าคลั่งจนจิตใจหมกมุ่น
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!” เป่ยหันเลี่ยเงยหน้าขึ้นคำรามดังลั่น พุ่งทะยานออกไปจากถ้ำที่ปิดด่าน พลังอำนาจอันน่าตะลึงโหมกระพือไปตลอดทาง ดึงดูดความสนใจจากคนจำนวนนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะพี่น้องกงซุนและสวีซงที่ยิ่งมองมาด้วยดวงตาแน่วแน่
“แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวรึ! นี่เขาถึงขนาดฝึกคาถารวิอัสดงได้ถึงขั้นสามแล้ว! ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบพันปี! แต่ว่าเขาเติบโตขึ้น พวกเราก็เติบโตขึ้นเช่นกัน แข็งแกร่งมากกว่าตอนนั้นอีกไม่น้อย!”
“หากเปลี่ยนเป็นใครก็ตามที่ต้องเจอความผกผันของชีวิตเช่นนั้น จมอยู่กับความทรงจำที่ทุกข์ทรมานตลอดทั้งวันก็ต้องเป็นบ้าแบบนี้ทั้งนั้น”
ขณะที่ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเหล่านี้กำลังตกตะลึง เป่ยหันเลี่ยแปลงร่างเป็นรุ้งเส้นยาว ดิ่งทะยานไปยังตำแหน่งที่อยู่ในใจ เวทีประลองที่ขึ้นชื่อมากที่สุด
เวทีประลองแห่งนี้ หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือรูปสลักของสัตว์ร้ายตัวหนึ่งซึ่งชูกรงเล็บข้างขวาขึ้นผงาด รูปสลักนี้สูงพอสิบกว่าจั้ง ท่าทางดุร้าย แผ่ความปรารถนาในการสู้รบอย่างดุเดือดออกมา ร่างกายของมันเมื่อมองไกลๆ เหมือนจระเข้ที่ยืนตรง มีเกล็ดขึ้นตลอดร่าง ด้านหลังก็มีปุ่มกระดูกเรียงกันสามแถว ที่ยิ่งน่าตะลึงก็คือกรงเล็บของมันครอบครองพื้นที่ไปถึงครึ่งร่าง
กรงเล็บข้างซ้ายถูกลมฝนกัดเซาะจนพังทรุดโทรมไปแล้ว ส่วนกรงเล็บข้างขวาที่ยกขึ้นก็คล้ายกับจะตะกายขึ้นไปฉีกกระชากท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
เวทีประลองก็คือตรงกลางของกรงเล็บขวาของมัน!
รูปสลักนี้ถูกค้นพบในหุบเหวสัตว์โบราณของสำนักธาราเทพเมื่อสี่พันปีก่อน ต้องสูญเสียค่าตอบแทนจำนวนมหาศาลถึงจะเอาออกมาได้ มาตั้งไว้ตรงนี้กลายเป็นเวทีประลองของชายฝั่งทิศเหนือ
ยามนี้เป่ยหันเลี่ยยืนอยู่บนเวทีประลอง นัยน์ตาฉายความปรารถนาในการสู้รบอันดุเดือด คำรามเสียงดังหนึ่งที
“ข้าใช้คะแนนคุณความดีทั้งหมดสามหมื่นเจ็ดพันคะแนน ต้องการท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุน!” พอเขาเปล่งคำพูดออกไป ตลอดทั้งเวทีประลองก็เกิดเสียงดังเลื่อนลั่น รอบด้านบิดเบี้ยว แปลงกายออกมาเป็นนกกระสากระดาษหนึ่งตัว นกกระสากระดาษนี้บินตรงไปยังหอร้อยสัตว์อย่างรวดเร็ว!
เวทีประลองของชายฝั่งทิศเหนือมีชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วสำนักธาราเทพ แม้แต่ชายฝั่งทิศใต้เองก็ยังเคยได้ยินชื่อเสียง เวทีประลองแห่งนี้มีกฎอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือผู้ที่จ่ายคะแนนคุณความดีสามารถท้ารบกับคนของชายฝั่งทิศเหนือคนใดก็ได้ จากนั้นก็จะมีนกกระสากระดาษปรากฏตัวบินไปยังคนที่ถูกท้ารบ
ระยะเวลาในการท้ารบมีผลครึ่งปี ภายในครึ่งปีนี้ผู้ที่ถูกท้ารบสามารถรับคำท้าได้ตลอดเวลา และเมื่อรับแล้วก็ต้องเปิดการสู้รบทันที หากชนะจะได้รับคะแนนคุณความดีจากผู้ท้า หากแพ้ก็ไม่ต้องสูญเสียคะแนนคุณความดี
และยังสามารถเลือกที่จะไม่รับคำท้าก็ได้ หากไม่รับคำท้า ครึ่งปีต่อมาคำท้านี้ก็จะหมดผลไปเอง คะแนนคุณความดีกลับคืนไปสู่ผู้ท้า แต่ภายในครึ่งปีนี้ผู้ท้าจะไม่สามารถยกเลิกได้
กติกานี้ถือว่าผู้ท้าเสียเปรียบอย่างมาก แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งยุติธรรม
———-