บทที่ 119 ฤดูใบไม้ผลิ ข้าปลูกเมล็ดกำเนิดสัตว์
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนมาที่ชายฝั่งทิศเหนือเพื่อเรียนรู้ ต่อไปต้องทำตัวสงบเสงี่ยม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลอยู่ชั่วครู่ พอตัดสินใจได้ก็มองแผ่นหยกที่อยู่ในมือหนึ่งที พลังวิญญาณหลอมรวม ในสมองก็ปรากฏจุดแสงเกือบพันขึ้นมาทันที แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของสัตว์ร้ายทุกตัวในที่แห่งนี้
“เลี้ยงสัตว์พวกนี้…” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาของสัตว์วิเศษทั้งห้าบท หรือว่าความมหัศจรรย์ที่ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือร่วมรบกับสัตว์ของตัวเองตอนศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ล้วนทำให้เขาเกิดความสนใจต่อสัตว์ร้ายของชายฝั่งทิศเหนือเป็นอย่างมาก
เวลานี้เห็นว่าสีท้องฟ้ายังดูห่างไกลจากช่วงสายัณห์ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรีบออกมาจากหอเรือน เริ่มเดินเตร่อยู่ในผืนป่า ตอนนี้คือช่วงฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ผลิบานเต็มที่ สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมีเสียงนกร้อง มีกลิ่นหอมของดอกไม้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มหาสัตว์ร้ายไปทีละตัวตามการนำทางบนแผ่นหยก
“สัตว์หูทิพย์!!”
“มังกรน้ำวน?! เครื่องในของมันคือตัวล่อฤทธิ์ยาของการหลอมยาวิเศษระดับสี่!”
“นี่คือ…เตียวเมฆหมอก? เคลื่อนไหวรวดเร็วมาก ขนของมันสามารถเอามาเป็นอาวุธคุ้มกันได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งเห็นก็ยิ่งคึกคัก ถึงขั้นหน้าบานเป็นกระด้ง เวลานี้เนื้อหาของสัตว์วิเศษห้าบทที่ลอยขึ้นมาในสมองราวกับมีชีวิตจริง หลังจากที่ยืนยันไปทีละตัวแล้ว การรวมกันระหว่างทฤษฎีและปฏิบัติทำให้ความเข้าใจของป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีต่อสัตว์วิเศษห้าบทเพิ่มพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
จากการที่เขาสังเกตและศึกษาอย่างต่อเนื่อง เขามองเห็นลิงที่สูงพอสองจั้ง หมียักษ์ที่สามารถทำตัวกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบด้าน และยังมีเสือร้ายที่มีปีก ป๋ายเสี่ยวฉุนยังได้เห็นตัวลิ่นที่ขนาดใหญ่ประมาณสิบจั้งตัวหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกลพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สัตว์ร้ายพวกนี้ล้วนมีลักษณะดุร้าย เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมาปรากฏตัวอยู่ในผืนป่า ตอนแรกเริ่มสุดต่างก็ล้วนเผยทีท่าว่าต้องการเข้าจู่โจม แต่ไม่นานก็สัมผัสถึงกลิ่นอายของแผ่นหยกที่อยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ละตัวจึงลดความดุร้ายลง ไม่ได้ให้ความสนใจเขาอีกต่อไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองสัตว์ร้ายพวกนี้ด้วยสีหน้าฮึกเหิม โดยเฉพาะหลังจากสังเกตเห็นว่าแผ่นหยกที่ตัวเองถืออยู่ในมือทำให้สัตว์ร้ายพวกนี้ไม่รังเกียจตนเอง จึงคิดจะเข้าไปใกล้ แต่พอเข้าไปใกล้สัตว์ร้ายพวกนั้นกลับพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนฉุกคิดขึ้นมาได้จึงไม่ฝืนเข้าไปใกล้อีก และเมื่อถึงเวลาสายัณห์ก็กลับเข้าไปในหอเรือน
เช้าตรู่วันที่สอง เขาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า เริ่มห้อตะลุยเข้าไปสังเกตและศึกษาในผืนป่าต่อ โดยดูตามสัญลักษณ์ที่บอกเอาไว้บนแผ่นหยก เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาอยู่ที่ชายฝั่งทิศเหนือได้ครึ่งเดือนแล้ว
ตลอดครึ่งเดือนมานี้เขาไม่เคยออกไปจากหอร้อยสัตว์ ไม่ว่าลูกศิษย์ด้านนอกอยากจะมาหาเรื่องเขามากแค่ไหนก็ล้วนหาข้ออ้างมาไม่ได้
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนเองครึ่งเดือนมานี้ก็มีชีวิตอย่างเต็มอิ่มอย่างถึงที่สุด เขาฮึกเหิมอย่างมากในทุกๆ วัน หลังจากที่ยืนยันสัตว์แต่ละตัวตามเนื้อหาสัตว์วิเศษห้าบทที่มีอยู่ในสมองแล้ว เขาก็ค้นพบถึงข้อจำกัดในการหลอมยาของเขาก่อนหน้านี้
“ก่อนหน้านี้ตอนข้าหลอมยา ข้าเอาแต่ให้ความสนใจกับพืชหญ้า มองข้ามวัตถุดิบจากสัตว์วิเศษไป ในความเป็นจริงแล้วพอเอาทั้งสองอย่างมารวมเข้าด้วยกัน จะยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงมากมายปะทุออกมา ด้านการส่งผลต่อกันและกันก็จะยิ่งดีมากขึ้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น สะบัดร่างหนึ่งที กำลังจะเพิ่มความเร็วในการห้อทะยานไปในผืนป่าแห่งนี้ พลันก็ต้องชะงักฝีเท้า เขามองเห็นเสือบินตัวหนึ่งที่นอนหมอบหอบหายใจหนักอยู่ตรงนั้น ขาของมันเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บตอนออกล่า
ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปใกล้อย่างว่องไว เสือบินตัวนั้นเงยหน้าขึ้นพรวด ขณะที่ขู่เสียงต่ำก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งทับไว้บนตัว ไม่ว่าเจ้าเสือบินตัวนี้จะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจสลัดหลุดพ้นจากพละกำลังกล้ามเนื้อที่น่าตื่นตะลึงของป๋ายเสี่ยวฉุนเวลานี้ได้
“อย่าขยับ เดี๋ยวข้าจะช่วยพันแผลให้” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเสือบินที่ดิ้นรนอยู่ใต้ฝ่ามือของตัวเอง ขณะที่พูดก็ช่วยมันจัดการกับบาดแผลอย่างรวดเร็วไปด้วย จากนั้นจึงโรยยาผงลงไปอีกเล็กน้อย เสร็จแล้วถึงได้ปล่อยมือ
เสือบินบินถลาออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่หันมาคำรามใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลางอากาศหนึ่งครั้งแล้วก็เหมือนว่าจะอึ้งไปเล็กน้อย มองขาตนเองที่ได้รับบาดเจ็บหนึ่งที แล้วก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกทีถึงได้หมุนตัวบินจากไปไกล
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้ถือสา ห้อทะยานไปยังทิศทางอื่น
จนกระทั่งสิ้นสุดการสังเกตและศึกษาของวันนี้ หลังจากกลับเข้ามาในหอเรือน เห็นว่าสีท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ มืดลง ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบกล่องไม้หนึ่งใบออกมาจากถุงเก็บของ
หลังจากเปิดออก ในกล่องไม้เผยให้เห็นเมล็ดพันธุ์ขนาดเท่ากำปั้นหนึ่งเมล็ด ด้านในนั้นมีคลื่นชีวิตแข็งแกร่งตลบอบอวล ดูคล้ายกับหัวใจ ทั้งยังมองเห็นว่ามันขยับเต้นตุบๆ น้อยๆ ด้วย
“เมล็ดกำเนิดสัตว์!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายสดใส ของชิ้นนี้เขาได้มาจากถุงเก็บของของคนตระกูลลั่วเฉินคนหนึ่งตอนที่ตระกูลลั่วเฉินก่อกบฏ และรู้ว่านี่คือสิ่งของที่แทบจะหายสาบสูญไปจากโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรในทุกวันนี้แล้ว
หลายปีมานี้เขาเองก็ค้นหาข้อมูลมาบ้าง รู้ว่ามันไม่ผิดไปจากที่กล่าวเอาไว้ในสัตว์วิเศษห้าบท หลังจากที่เมล็ดพันธุ์นี้ดูดเอาน้ำเชื้อของสัตว์ร้ายไว้แล้ว จะสามารถตั้งท้องสัตว์ที่สืบทอดสายเลือดออกมาได้ด้วยตัวเอง
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ชายฝั่งทิศใต้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อยากจะมีสัตว์รบเป็นของตัวเองสักตัวแล้ว แต่ไม่มีเงื่อนไขให้ครอบครองได้ ตอนนี้พอมาอยู่ชายฝั่งทิศเหนือ เงื่อนไขทุกอย่างจึงเพียงพอ
“เมล็ดกำเนิดสัตว์เช่นนี้สามารถให้กำเนิดสัตว์น้อยตัวหนึ่งออกมาได้ หากเป็นแค่สัตว์ธรรมดาทั่วไป ก็ไม่สอดคล้องกับฐานะลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติ ศิษย์น้องเจ้าสำนักของข้า ข้าต้องปลูกเมล็ดกำเนิดสัตว์นี้ให้ดี รอจนมันออกดอกเมื่อไหร่ค่อยเก็บรวบรวมน้ำเชื้อของสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งทุกตัว เพื่อให้เมล็ดพันธุ์นี้คลอดออกมาเป็นสัตว์…ที่รวมข้อดีของสัตว์นับหมื่น เป็นสัตว์รบที่แข็งแกร่งที่สุด…ซึ่งคนโบราณดึกดำบรรพ์ หรือคนรุ่นหลังก็ไม่สามารถมีได้!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายดุเดือด จิตใจและปณิธานเร่าร้อนฮึกเหิม หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกก็ถือกล่องไม้มายังด้านหลังหอเรือน
ที่นี่มีพื้นที่ว่างอยู่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในขอบเขตค่ายกลของหอเรือน ครึ่งปีมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ถากถางเอาไว้จนกลายมาเป็นสถานที่สำหรับให้ตัวเองปลูกพืชวิเศษ
เขาปลูกเมล็ดกำเนิดสัตว์นี้ลงไปอย่างระมัดระวัง เขาวาดหวังไว้กับเจ้าสิ่งนี้มาก ดังนั้นจึงเอาดินวิเศษทั้งหมดที่อยู่บริเวณนี้มาหลอมพลังจิตสามครั้ง ถึงได้วางใจลงมาได้
“ตามที่บันทึกเอาไว้ในสัตว์วิเศษห้าบท เวลาที่เมล็ดกำเนิดสัตว์นี้ใช้ในการเติบโตไม่น่าจะนานมากนัก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคาดหวัง สังเกตดูอยู่ตรงนั้นนานมาก จนกระทั่งความมืดมาเยือนถึงได้จากไป แต่ไม่นานก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าที่นี่อยู่ในขอบเขตของค่ายกลจริงๆ ถึงได้วางใจ กลับเข้าไปในหอเรือน
คืนนี้เขาไม่ค่อยได้พักผ่อนเท่าไหร่นัก มักจะวิ่งออกมาสังเกตดูสถานที่ที่ปลูกเมล็ดกำเนิดสัตว์เอาไว้อยู่บ่อยครั้ง
จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน เขาถึงได้ค่อยๆ สะกดกลั้นความคาดหวังในใจลงไปได้ เริ่มคลั่งไคล้อยู่กับสัตว์ร้ายเกือบพันในผืนป่า ทุกวันนอกจากบำเพ็ญตบะและศึกษากฎระเบียบของสำนักแล้ว เวลาส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในป่าเพื่อสังเกตและศึกษาสัตว์ร้ายทุกตัว
บางครั้งก็มีลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือมาเยือนหอร้อยสัตว์ หลังจากที่จ่ายคะแนนคุณความดีตามที่กำหนดด้านล่างป้ายศิลาหน้าหอแล้ว ถ้าไม่ศึกษาและสังเกตร้อยสัตว์ของที่นี่ ก็จะไปทดลองทำสัญญากับสัตว์ร้าย เพื่อให้สัตว์ตัวนั้นๆ กลายมาเป็นสัตว์รบของตัวเอง
แต่เขตด้านหลังหอเรือนถูกป๋ายเสี่ยวฉุนปกป้องไว้อย่างแน่นหนา ทั้งยังคอยปรับจุดสำคัญของค่ายกลอยู่เสมอ ทำให้มันอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่จึงไม่กังวลว่าจะโดนคนอื่นทำลาย
เวลาผันผ่าน ไม่นานชีวิตที่สงบสุขเช่นนี้ก็ผ่านไปได้ครึ่งปี
ตลอดครึ่งปีมานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ออกไปข้างนอกสักครั้ง เอาแต่อยู่ในป่าทั้งวัน มีสัตว์ร้ายเป็นเพื่อน สัตว์ร้ายที่เขารักษาบาดแผลให้มีอยู่ไม่น้อย ทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังสร้างตำรับยาง่ายๆ ขึ้นมาอย่างหนึ่ง หลังจากกินยานี้เข้าไปแล้ว สามารถทำให้เลือดลมของสัตว์ร้ายไหลเคลื่อนได้เร็วขึ้น
ดังนั้นภายใต้การดูแลอย่างเอาใจใส่ของป๋ายเสี่ยวฉุนและยาพวกนี้ ก็เหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและสัตว์ป่าทั้งหมดในผืนป่าแห่งนี้จะกลายมาเป็นดีต่อกันมากขึ้น สัตว์ร้ายพวกนั้นเองก็ค่อยๆ ยอมรับป๋ายเสี่ยวฉุน ยอมให้เขาเข้าใกล้เพื่อศึกษาอย่างละเอียด ถึงขั้นที่ว่านอกจากตัวที่มีพันธะสัญญาอยู่แล้ว ตัวอื่นๆ ก็คล้ายจะไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์รบที่ยอมฟังคำสั่งของป๋ายเสี่ยวฉุน
วันนี้ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเตร่อยู่ในผืนป่า หอร้อยสัตว์มีลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือมาเยือนสามคน หลังจากที่ซื้อสิทธิ์ในการหยุดอยู่ที่นี่สามวันตรงป้ายหินนอกหอเรือนด้วยตัวเองแล้วก็เดินเข้าไปในผืนป่า
หนึ่งในนั้นก็คือลูกศิษย์ฝ่ายในที่รับหน้าที่เป็นผู้ควบคุมอยู่ที่นี่เมื่อครึ่งปีก่อน ซุนเหวิน
ด้านหลังของเขามีลูกศิษย์ฝ่ายนอกสองคนเดินตามมา หนึ่งชายหนึ่งหญิง ผู้ชายตัวเตี้ย ใบหน้ายังมีความเป็นเด็ก ส่วนผู้หญิงคนนั้นแม้ว่าอายุจะไม่เยอะ แต่รูปร่างกลับอรชรอ้อนแอ้น หน้าตางดงามหมดจด ดวงตาแฝงไว้ด้วยความสงสัยใคร่รู้และตื่นเต้น มองไปรอบด้าน
“ขอบคุณศิษย์พี่ซุน คราวนี้มีศิษย์พี่ซุนอยู่ด้วย ความมั่นใจที่พวกเราจะได้สัตว์รบมาครองก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น” หญิงสาวพูดอย่างตื่นเต้น ตอนที่มองไปยังซุนเหวิน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความนับถือ
“นั่นสิ ศิษย์พี่ซุนเป็นลูกศิษย์ฝ่ายใน แถมยังเป็นผู้ควบคุมอยู่ในหอร้อยสัตว์นี้มาตั้งหลายปี รู้จักสัตว์ร้ายทุกตนประดุจฝ่ามือของตัวเอง ถึงขั้นที่ว่าสัตว์ร้ายของที่นี่ก็ล้วนจดจำศิษย์พี่ซุนได้” ชายลูกศิษย์ฝ่ายนอกร่างเตี้ยก็พูดด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน
“ก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ว่าข้าผู้แซ่ซุนสามารถออกคำสั่งให้กับสัตว์ร้ายของที่นี่ได้หลายตัว อีกเดี๋ยวพวกเจ้าถูกใจตัวไหนก็บอกข้า ข้าจะไปปลอบมันให้ พวกเจ้าก็จะได้ไม่ต้องเปลืองแรงมาก
แต่จำเอาไว้ว่าที่นี่มีสัตว์รบอยู่สิบตัวที่นิสัยขี้หงุดหงิด ยกตัวอย่างเช่นหมีอัคคีสวรรค์ ลิงรัตติกาล เสือบินสีเพลิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ภูเขาเกราะเหล็กตัวหนึ่งที่ดุร้ายอย่างถึงที่สุด ถึงขั้นที่ว่าบางครั้งต่อให้ผู้มาเยือนได้รับการคุ้มครองก็ยังต้องระมัดระวัง จำไว้ว่าอย่าไปยั่วโมโหมันเด็ดขาด” ซุนเหวินรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย สายตาไปตกอยู่บนตัวของลูกศิษย์หญิงคนนั้น พอประเมินอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง ในใจก็ให้เร่าร้อนน้อยๆ แล้วก็แอบปลงอยู่กับตัวเอง
ค่าน้ำร้อนน้ำชาของหอร้อยสัตว์แห่งนี้มีเยอะมาก ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดก็คือใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของตัวเอง สามารถช่วยให้คนหาสัตว์ร้ายที่ถูกกำหนดมาเป็นพิเศษได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถอาศัยพลังสยบของแผ่นหยกทำให้การทำสัญญาระหว่างคนและสัตว์ร้ายเป็นไปได้อย่างง่ายดาย
หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากไปจากที่นี่ แต่คำสั่งของสำนักทำให้เขาจำต้องมอบตำแหน่งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจรู้สึกไม่พอใจอยู่นานแล้ว เวลานี้พาคนทั้งสองที่ตามมาเบื้องหลังเดินเข้าไปในป่า ไม่นานก็ค่อยๆ มองเห็นสัตว์ป่าจำนวนไม่น้อยตามทาง หลายตัวหลังจากที่เห็นซุนเหวิน เมื่อถูกซุนเหวินเรียกก็ล้วนเข้ามาใกล้ เห็นได้ชัดว่ายังคงจำซุนเหวินได้
“กวางลิงตัวนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“นี่คือหนูขี่เมฆ ถือเป็นสัตว์รบหกร้อยอันดับแรกของที่นี่ ต้องการหรือไม่?”
“พวกเจ้าโชคดีไม่เบา นี่คือม้าฟันแข็ง อยู่ในสามร้อยอันดับแรก ปีนั้นที่ข้าเห็นมันเป็นครั้งแรก มันยังไม่ตัวโตเท่านี้”
“เอ๊ะ นี่คือผีเสื้อเล่นไฟ ฮ่าๆ ผีเสื้อตัวนี้อยู่ในสามร้อยอันดับแรก มีวิชาในการกล่อมประสาท ต้องการหรือไม่?” ตลอดทางที่ผ่านมา ยามใดที่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกสองคนเบื้องหลังซุนเหวินมองมาที่เขา สายตาก็จะเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด สถานที่แห่งนี้มีสัตว์ร้ายอยู่มากมาย หลังจากเห็นซุนเหวินแล้วก็ล้วนหยุดชะงักคล้ายกับว่ายินยอมให้ผูกพันธะสัญญาด้วยอย่างไรอย่างนั้น
ลูกศิษย์ชายฝ่ายนอกคนนั้นเลือกม้าฟันแข็งด้วยความดีใจ ส่วนลูกศิษย์หญิงคนนั้นหลังจากลังเลก็เลือกสละผีเสื้อเล่นไฟไป แต่มองไปที่ซุนเหวินด้วยแววตาคาดหวัง เห็นได้ชัดว่าต้องการตัวที่ดีกว่านี้
“ศิษย์พี่ซุน มีตัวที่อยู่สองร้อยอันดับแรกหรือไม่?” สายตาของหญิงสาวเผยความเลื่อมใสและนับถือ
“อย่าหวังสูงนัก สัตว์รบสองร้อยอันดับแรก ไม่ว่าตัวใดก็ล้วนควบคุมยากอย่างยิ่ง ต่อให้ข้าที่เป็นผู้ควบคุมมาแล้วหลายปีก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสั่งมันได้ ส่วนผู้ควบคุมคนใหม่ที่เพิ่งมานั่นเกรงว่าคงไม่มีความสามารถได้สักสามส่วนของข้า ดูท่าแล้วศิษย์ขั้นรวมลมปราณตลอดทั้งสำนักคงไม่มีใครทำได้ ส่วนพวกเจ้าก็ยิ่งไม่สามารถควบคุมสัตว์ได้โดยง่าย สถานที่แห่งนี้มีอันตรายอยู่ พวกเจ้า…” ซุนเหวินกล่าวอย่างจริงจัง กำลังจะเอ่ยปากต่อพลันลูกศิษย์หญิงฝ่ายนอกคนนั้นก็เบิกตากว้าง ชี้ไปยังก้อนหินที่อยู่ด้านหน้าด้วยความตะลึง
“ศิษย์พี่ซุนท่านรีบดูนั่นสิ ตรงนั้นมีเสือบินอยู่ตัวหนึ่ง!” หญิงสาวตื่นเต้น นางรู้สึกว่ามีซุนเหวินอยู่ข้างกายไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เวลานี้ท่ามกลางความตะลึงระคนดีใจนางทำมุทราอย่างไม่รู้ตัว พลังควบคุมสัตว์ที่มีเฉพาะชายฝั่งทิศเหนือพุ่งดิ่งไปยังเสือบินทันที
ซุนเหวินหันขวับ มองปราดเดียวก็เห็นว่าบนก้อนหินที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมีเสือบินที่มีปีกตัวหนึ่งกำลังนอนหมอบอยู่ตรงนั้น มองมายังคนทั้งสามด้วยสายตาเย็นชา ประกายในดวงตาคล้ายแฝงไว้ด้วยความเยียบเย็นไร้อารมณ์
“เสือบินสีเพลิง!! เวรเอ๊ย นี่ไม่ใช่ที่ที่มันเข้าออกเสียหน่อย นี่คือหนึ่งในสัตว์รบยิ่งใหญ่ทั้งสิบตัวของสถานที่แห่งนี้!” ซุนเหวินเบิกตากว้างทันควัน โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสได้ว่าลูกศิษย์หญิงที่อยู่ข้างกายกล้าถึงขั้นลองควบคุมสัตว์ตัวนี้ เขาก็ใจหายวูบ ดึงคนทั้งสองถอยหลังกรูดอย่างรวดเร็ว ตลอดทางมานี้มองดูเหมือนว่าบารมีของเขาเต็มเปี่ยม แต่ในความเป็นจริงแล้วสถานที่ที่พาคนทั้งสองไปล้วนเป็นเขตของสัตว์รบที่มีนิสัยอ่อนโยนทั้งสิ้น เพราะสำนักต้องการรักษาความดุร้ายของสัตว์ที่นี่ จึงทำได้เพียงเลี้ยงแบบปล่อย ซึ่งถือว่ามีความอันตรายสำหรับลูกศิษย์ฝ่ายนอก ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ศิษย์ฝ่ายนอกเข้ามา ก็จำเป็นต้องมีลูกศิษย์ฝ่ายในตามมาด้วย
แต่เวลานี้อยู่ๆ เสือบินตัวนั้นก็คำรามเสียงต่ำ ลุกขึ้นยืน เสียงของมันที่คำรามออกมาดังราวฟ้าผ่า พลังควบคุมสัตว์ที่กระทบลงบนตัวมันจึงพังทลายลงทันที ดวงตาของมันแดงก่ำ บินทะยานพรวดเข้าหาคนทั้งสาม
“แย่แล้ว!!” ซุนเหวินตะลึงพรึงเพริด เสือบินตัวนี้ทำให้เกิดลมพัดอย่างบ้าคลั่ง ลักษณะพลังเทียบเคียงกับรวมลมปราณขั้นเก้า ลูกศิษย์ฝ่ายนอกสองคนนั้นตะลึงงันไปทันที หวาดกลัวจนตัวสั่น ซุนเหวินกัดฟัน กำลังจะหยิบเอาแผ่นหยกออกมาขอความช่วยเหลือ
แต่เวลานั้นเอง เสียงแปลกใจเสียงหนึ่งก็ดังลอยมาจากที่ไกลๆ
“เอ๊ะ เสี่ยวเฟย(บินน้อย) ทำไมถึงทำตัวเกเรอีกแล้ว หมอบลง!”
———-