บทที่ 118 ไม่เป็นที่ต้อนรับ…
สำนักธาราเทพมียอดเขาทั้งหมดแปดเขา นอกจากเขาจ้งเต้าที่อยู่ตรงกลางแล้ว ชายฝั่งทิศใต้มีสามเขา ชายฝั่งทิศเหนือสี่เขา โดยชายฝั่งทิศเหนือแบ่งออกเป็นเขารั่วรื่อ เขาฉงติ่ง เขายวนเหว่ย และเขากุ่ยหยา
ชายฝั่งทิศเหนือมีจำนวนลูกศิษย์เยอะมาก ซึ่งชายฝั่งทิศใต้ไม่อาจเทียบเคียงได้ ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของยอดเขาใดก็ตามล้วนมีหลายหมื่นคน ส่วนลูกศิษย์ฝ่ายในก็มีนับพันคน
ความสามารถที่แท้จริงของตลอดทั้งชายฝั่งจึงมีมากกว่าชายฝั่งทิศใต้ประมาณสองเท่าตัว และก็ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชายฝั่งทิศเหนือแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนแอบกลายมาเป็นเหมือนผู้นำหลักของสำนักธาราเทพ
ส่วนบรรยากาศตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือก็แตกต่างไปจากชายฝั่งทิศใต้ คนที่นี่ล้วนมีสัตว์รบกันแทบทุกคน อีกทั้งสัตว์รบพวกนี้มีจำนวนมากเกินไป จึงมักจะได้ยินเสียงนกและสัตว์ร้องคำรามอยู่เป็นประจำ
ตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือแทบจะตลบอบอวลไปด้วยความรู้สึกป่าเถื่อนอย่างหนึ่ง แต่ละคนท่าทางโหดเหี้ยม บนท้องฟ้าก็สามารถมองเห็นสัตว์ปีกดุร้ายรูปแบบต่างๆ โบยบินไปมาอยู่เป็นจำนวนมาก บางครั้งยังสามารถมองเห็นเงาร่างที่น่าหวาดผวาของสัตว์พิทักษ์เขาทั้งสี่ชายฝั่งทิศเหนือได้อีกด้วย
เวลานี้เจิ้งหย่วนตงพาป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงชายฝั่งทิศเหนือแล้ว การมาของป๋ายเสี่ยวฉุนดึงดูดความสนใจของลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือได้ทันที ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่แค่มองก็จำได้ว่านี่คือศัตรูร่วมของชายฝั่งทิศเหนือในศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจครั้งนั้น
ผู้นำเขาทั้งสี่ของชายฝั่งทิศเหนือรุดหน้ามาต้อนรับเจ้าสำนัก ขณะที่ทุกคนพูดคุยกันอยู่ในตำหนักใหญ่ของยอดเขากุ่ยหยาและป๋ายเสี่ยวฉุนรออยู่ด้านนอกนั้นเอง ทุกคนที่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับการมาบำเพ็ญตบะที่ชายฝั่งทิศเหนือของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยแพร่เรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็ว และในเวลาประมาณครึ่งก้านธูป ลูกศิษย์ฝ่ายนอกและฝ่ายในตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือก็แทบจะรู้เรื่องกันหมด
“ได้ยินหรือยัง เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนจอมน่ารังเกียจผู้นั้นมาที่ชายฝั่งทิศเหนือของพวกเราแล้ว!!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุน? ศัตรูร่วมชายฝั่งทิศเหนือ เขากล้ามาที่ชายฝั่งทิศเหนือเชียวรึ ฮ่าๆ นี่เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องที่ดีมากๆ!!”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าเพราะเขาทำให้หุบเขาหมื่นอสรพิษของชายฝั่งทิศใต้เกิดความอลหม่าน ว่ากันว่าคนผู้นี้มีพลังมหัศจรรย์ที่ไม่ว่าเขาไปที่ไหน ที่นั่นก็ต้องบ้าคลั่งกันไปหมด ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
“ต่อให้เขามีความสามารถนี้จริงก็ไร้ประโยชน์ ที่ชายฝั่งทิศเหนือของพวกเรา เขาเป็นมังกรก็ต้องกลายมาเป็นแมลง เป็นเสือก็ต้องกลายมาเป็นแมว ตอนศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจปีนั้น เขาได้สร้างความอัปยศอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนให้กับชายฝั่งทิศเหนือของเรา คราวนี้สวรรค์มีตา ท่านเจ้าสำนักถึงขั้นพาเขามาอยู่ที่นี่ ต้องทำให้เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้รู้ถึงผลร้ายจากการมาหาเรื่องชายฝั่งทิศเหนืออย่างพวกเราให้ได้!”
หลังจากที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ลูกศิษย์ทุกคนของสี่เขาแห่งชายฝั่งทิศเหนือล้วนไชโยโห่ร้อง กำหมัดพร้อมสู้เต็มที่ แต่ละคนตอนที่มองไปยังยอดเขากุ่ยหยาล้วนเผยเจตนาร้ายออกมา
พวกเขาพร้อมเต็มที่แล้วที่จะให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่อย่างยากลำบากอย่างถึงที่สุดในชายฝั่งทิศเหนือแห่งนี้
โดยเฉพาะพวกคนที่เข้าร่วมศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ พี่น้องกงซุน และยังมีสวีซงที่แต่ละคนพอได้ยินข่าวนี้ก็ให้ฮึกเหิมเป็นกำลัง หลังจากศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ พวกเขาต่างก็พากันปิดด่าน ทุ่มเทในการบำเพ็ญตบะ ตอนนี้หากเปรียบเทียบกับตอนศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจก็เรียกได้ว่าแข็งแกร่งขึ้นมาไม่น้อย
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้กำลังยืนอยู่นอกตำหนักใหญ่ของเขากุ่ยหยา เงยหน้ามองสัตว์ปีกจำนวนมากบนท้องฟ้า หนึ่งในนั้นคือนกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสีตัวหนึ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก เมื่อบินผ่านที่ใดก็คล้ายว่าจะได้รับการเคารพนบนอบจากนกนับหมื่น บินวนรอบชายฝั่งทิศเหนืออย่างสง่างามอยู่สองสามรอบแล้วถึงได้ค่อยๆ บินกลับไปยังยอดเขายวนเหว่ย แล้วก็หายไปมองไม่เห็นตัวอีก
ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ดึงสายตากลับมา รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในความมหัศจรรย์ของชายฝั่งทิศเหนือเป็นอย่างยิ่ง ข้างกายเขามีลูกศิษย์ของเขากุ่ยหยายืนอยู่สี่คน เวลานี้กำลังจ้องเขม็งมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชา
ในสายตานั้นมีความรังเกียจ และยิ่งมากด้วยความแค้นเคือง เห็นได้ชัดว่าไม่ต้อนรับการมาเยือนของป๋ายเสี่ยวฉุนเลยสักนิด
ป๋ายเสี่ยวฉุนหาวหวอด พอขยี้ตาเสร็จก็สัมผัสได้ว่าลูกศิษย์ของเขากุ่ยหยาสี่คนนี้จ้องมองตัวเองอย่างนี้อยู่นานมากแล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยปากด้วยความหวังดี
“คือว่า ศิษย์หลานทั้งสี่ พวกเจ้ามองข้าตาไม่กะพริบอย่างนี้ ข้าเขินนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที คิดจะทำให้บรรยากาศผ่อนคลายสักหน่อย คิดในใจว่ายังไงซะต่อไปตัวเองก็ต้องมาอยู่ที่ชายฝั่งทิศเหนือนี่ช่วงหนึ่งอยู่แล้ว
แต่เขายังพูดไม่ทันจบ สายตาของลูกศิษย์เขากุ่ยหยาที่เฝ้านอกตำหนักใหญ่ทั้งสี่คนนี้ก็ยิ่งดุดัน ราวกับกระบี่บินสี่เล่มไร้รูปที่ตรงเข้ามาทิ่มแทงป๋ายเสี่ยวฉุนดึงฉึกๆๆ
“เอ่อ…ทุกคนล้วนเป็นสหายร่วมสำนัก พวกเจ้าทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ มาๆๆ เดี๋ยวข้าเล่าเรื่องตลกให้พวกเจ้าฟังละกัน กาลครั้งหนึ่ง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโส ดังนั้นจึงหัวเราะร่าเริง และจะเอ่ยปากต่อ แต่ยังไม่ทันได้พูดต่อเขาก็พบว่าสายตาที่ลูกศิษย์เขากุ่ยหยาทั้งสี่คนนี้มองมายังตัวเองยิ่งน่ากลัวมากกว่าเดิม
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองได้ใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อผ่อนคลายความสัมพันธ์อันตึงเครียดแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับยังคงขึงตาใส่ตัวเองเช่นนี้ จึงรู้สึกใจฝ่อขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
เวลาผ่านไป ไม่นานลูกศิษย์เขากุ่ยหยาก็ล้วนได้ยินเรื่องการมาถึงของศัตรูร่วมชายฝั่งทิศเหนืออย่างป๋ายเสี่ยวฉุน ดังนั้นคนมากมายจึงล้วนบินดิ่งมาที่นี่ พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน แค้นเก่าแค้นใหม่ก็ปะทุขึ้นกลางใจ ตวาดอย่างเดือดดาลใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนทันควัน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ากล้ามาชายฝั่งทิศเหนือ ครั้งนี้จะทำให้เจ้ารู้ถึงค่าตอบแทนที่มาล่วงเกินชายฝั่งทิศเหนือของพวกเรา!”
“แม่งเอ๊ย พอข้าเห็นเขาก็คิดถึงความน่าเวทนาของศิษย์พี่เป่ยหันเลี่ยขึ้นมาเลย!”
“โค่นล้มป๋ายเสี่ยวฉุน!” ขณะที่ทุกคนตะโกนอย่างดุดัน ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยหลังกรูด เขารู้สึกว่าคนพวกนี้อาศัยว่ามีคนมากกว่ามารังแกผู้อื่น ทำกันเกินไปแล้ว ตนตัวคนเดียวอ่อนกำลัง ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น พลันในตำหนักใหญ่ก็มีเสียงแค่นเย็นชาดังลอยมา
“เอะอะเสียงดังอะไรกัน!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าเข้ามานี่”
เสียงดังสะท้อนที่ได้ยินทำให้กลุ่มคนหยุดการตะโกนเดือดดาลลง แต่ความเย็นชาในสายตาแต่ละคนที่มองมาทำให้ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดผวา แต่เขารู้สึกว่าตัวเองจะถูกกดขี่แบบนี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงถลึงตาดุๆ ใส่ทุกคนหนึ่งที วางมาดเย่อหยิ่งแล้วรีบเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่
ในตำหนักใหญ่ เจ้าสำนักเจิ้งหย่วนตงนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน ด้านข้างมีผู้นำทั้งสี่เขาของชายฝั่งทิศเหนืออยู่กันครบ แต่ละคนสีหน้าแปลกประหลาด โดยเฉพาะเจิ้งหย่วนตงที่ยิ่งถอนหายใจยาวอยู่ในใจ สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนนั้น เขานับถือจากใจจริง นี่เพิ่งมาถึงได้นานเท่าไหร่กันเชียว…ถึงขั้นเกือบจะทำให้ลูกศิษย์ด้านนอกก่อจลาจลเสียแล้ว
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้ากับผู้นำทั้งสี่ของชายฝั่งทิศเหนือปรึกษากันแล้วว่าจะจัดให้เจ้าไปอยู่หอร้อยสัตว์ คอยเป็นผู้ควบคุม ขณะเดียวกันกับที่จัดการดูแลร้อยสัตว์ของที่นั่นก็ไปสังเกตและศึกษาพวกมันด้วย เพื่อให้จิตวิญญาณแห่งชะตาตนของวิชาเขตแดนธารารวมตัวถือกำเนิดขึ้นมาในเร็ววัน”
“หอร้อยสัตว์ไม่ได้อยู่ที่ยอดเขาใดทั้งนั้น แต่อยู่ข้างหุบเหวสัตว์โบราณที่อยู่หลังเขา เจ้าอยู่ที่นี่ห้ามเกเรอย่างที่แล้วๆ มา ต้องมุมานะในการบำเพ็ญตบะ ช่วงชิงและถนอมโอกาสครั้งนี้เอาไว้ให้ดี!” เจ้าสำนักพูดสั่งสอนด้วยความจริงใจ มองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที และมองผู้นำเขาทั้งสี่ที่อยู่ด้านข้างอีกหนึ่งที
“ศิษย์น้องคนนี้ของข้าเกเร หากมีตรงไหนที่ล่วงเกิน สหายนักพรตทั้งสี่ท่านก็อบรมสั่งสอนได้เลย”
ผู้นำสี่เขาของชายฝั่งทิศเหนือพากันอมยิ้ม หลังจากพูดคุยตามมารยาทกับเจ้าสำนักครู่หนึ่ง เจ้าสำนักเจิ้งหย่วนตงจึงได้ไปจากชายฝั่งทิศเหนือ กลับไปยังเขาจ้งเต้า ในตำหนักใหญ่จึงเหลือเพียงแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนและผู้นำทั้งสี่เขาเท่านั้น
ผู้นำเขาทั้งสี่ต่างก็ประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนรอบหนึ่ง นัยน์ตาหญิงชราเขายวนเหว่ยเปล่งประกายดุดัน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ชายฝั่งทิศเหนือไม่เหมือนกับชายฝั่งทิศใต้ กฎระเบียบคือหลักการของชายฝั่งทิศเหนือ สำหรับคนที่ทำลายกฎระเบียบจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก! ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของหุบเขาหมื่นอสรพิษ หากเปลี่ยนมาเป็นชายฝั่งทิศเหนือ ตอนนี้เจ้าจะต้องถูกแขวนอยู่ใต้เขาจ้งเต้า บนแม่น้ำทงเทียน ลงโทษเจ้าสิบปีถือว่าเป็นสถานเบาแล้ว” พูดจบก็โยนแผ่นหยกหนึ่งแผ่นให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน ด้านในบันทึกกฎระเบียบของชายฝั่งทิศเหนือเอาไว้
ป๋ายเสี่ยวฉุนตึงเครียดอยู่ในใจ รีบเผยท่าทางน่าเอ็นดู พยักหน้าติดต่อกัน
ผู้นำทั้งสี่มองหน้ากันไปมาก็ไม่ได้ให้ความสนใจอีก จัดการให้ลูกศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งของเขากุ่ยหยาพาป๋ายเสี่ยวฉุนไปที่หอร้อยสัตว์ แล้วจึงแยกย้ายกันไป
ลูกศิษย์ฝ่ายในของเขากุ่ยหยาที่พาป๋ายเสี่ยวฉุนไปเขาร้อยสัตว์คือชายหนุ่มหน้ายาวคนหนึ่ง บนใบหน้ายังมีกระขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง มองแล้วดูน่ากลัวอย่างมาก เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาเย็นชา เดินนำไปข้างหน้าไม่พูดไม่จา
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เดินตามไปเบื้องหลัง สองคนเดินอยู่บนทางเดินของชายฝั่งทิศเหนือ ระหว่างทางสายตาของคนจำนวนไม่น้อยล้วนมารวมกันอยู่ที่ตัวป๋ายเสี่ยวฉุน แสดงเจตนาร้ายอย่างเห็นได้ชัด หรือแม้แต่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกเองที่พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังมองด้วยความเป็นอริ
ความรู้สึกราวกับว่าตัวเองกลายเป็นตัวประหลาดเช่นนั้น บวกกับคำพูดของหญิงชราในตำหนักใหญ่เมื่อครู่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดผวาอยู่ในใจ เอาแต่คิดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ชายฝั่งทิศใต้ไม่รู้จบ ผ่านไปประมาณครึ่งก้านธูป ภายใต้การห้อทะยานของลูกศิษย์หน้ายาวคนนั้น ทั้งสองคนก็มาถึงด้านข้างหุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่หลังเขาของชายฝั่งทิศเหนือ
ขอบเขตที่กว้างใหญ่ของสถานที่แห่งนี้ถูกปิดผนึกไว้ด้วยค่ายกล เมื่อมองไปจะเห็นผืนป่าหนาแน่น มีเสียงสัตว์ร้ายคำรามดังออกมาแว่วๆ ที่ยิ่งน่าตกใจก็คือจุดลึกของผืนป่าแห่งนี้คล้ายว่ามีเหวลึกแห่งหนึ่งซ่อนตัวอยู่ มีคลื่นสะท้อนเป็นระลอก ราวกับว่าสามารถทำให้ความว่างเปล่าบิดเบี้ยวได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปไกลๆ ดวงตาทั้งคู่หดตัวเล็กน้อย ขณะที่ดึงสายตากลับมาก็มองเห็นหอเรือนแห่งหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวห่างออกไปไม่ไกล เบื้องหน้ามีป้ายศิลาอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้มีลูกศิษย์ฝ่ายในรูปร่างผอมบางคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ด้านใต้เพื่อรอต้อนรับ
ตั้งแต่ต้นจนจบชายหนุ่มหน้ายาวไม่ได้พูดกับป๋ายเสี่ยวฉุนสักประโยคเดียว พอมาถึงที่นี่ก็แนะนำเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมารับหน้าที่ที่นี่ให้กับลูกศิษย์ที่ยืนอยู่หน้าหอเรือนอย่างง่ายๆ ลูกศิษย์ฝ่ายในร่างผอมแห้งผู้นี้กวาดตามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที นัยน์ตาเผยความไม่สบอารมณ์ โยนแผ่นหยกหนึ่งแผ่นออกมาอย่างไม่เต็มใจ
“ข้าน้อยซุนเหวิน หยกแผ่นนี้สามารถตอบรับตำแหน่งของสัตว์ร้าย 981 ตัวที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้ สัตว์ร้ายพวกนี้ไม่ว่าตัวใดก็ตามล้วนเป็นทรัพยากรที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งของชายฝั่งทิศเหนือเรา หากเกิดความเสียหายแล้วทางสำนักเอาผิดขึ้นมา เจ้าต้องรับผิดชอบเอง” หลังจากที่ซุนเหวินเอ่ยปากราบเรียบแล้วก็จากไปพร้อมกับชายหนุ่มหน้ายาว
ท่าทีของอีกฝ่ายเลวร้ายอย่างยิ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้งแต่ก็ไม่ได้ถือสา มองหอเรือนตรงหน้าหนึ่งทีแล้วจึงเดินเตร่เข้าไป พบว่าถึงแม้จะสู้ถ้ำสถิตบนเขาเซียงอวิ๋นที่ถล่มลงมาของตัวเองไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าที่พักของลูกศิษย์ฝ่ายนอกอยู่มากนัก ดังนั้นจึงรู้สึกค่อนข้างพอใจ
“ยายแก่คนนั้นบอกว่าชายฝั่งทิศเหนือให้ความสำคัญกับกฎระเบียบ หรือว่ามีกฎหลายข้อที่ไม่เหมือนกับชายฝั่งทิศใต้? ไม่ได้การ ข้าต้องศึกษากฎของชายฝั่งทิศเหนือเสียหน่อย จะทำผิดพลาดเพราะไม่ระวังไม่ได้เด็ดขาด”
———-