บทที่ 117 คัมภีร์โอสถหันเหมิน!
“ทำลายอักษรของเขาเซียงอวิ๋น สิ่งที่ยากคือทำการเปลี่ยนแปลงโดยวางแผนมาเรียบร้อยแล้วว่าแม้แต่เจ้าก็ยังสัมผัสไม่ได้ และการลงมือขอแค่วิธีที่ใช้เหมาะสม แม้เป็นแค่ลูกศิษย์รวมลมปราณคนหนึ่ง ขอแค่มาอยู่ที่เขาเซียงอวิ๋น ใช้เวลาเล็กน้อยก็สามารถค่อยๆ ทำให้สำเร็จได้ การทำลายนี้ทำสำเร็จมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว! ชายฝั่งทิศใต้มีหนอนบ่อนไส้!” ลิงเฒ่าพูดเสียงทุ้มหนัก
ดวงตาหันจงเปล่งประกายเย็นเยียบ เขาเข้าใจดี การทำลายนั้นง่าย แต่การซ่อมแซมกลับมาคือเรื่องยาก ก็เหมือนแจกันใบหนึ่งที่หากเด็กถือเอาไว้ก็สามารถตกลงมาแตกได้ แต่หากคิดจะซ่อมก็จำเป็นต้องใช้ปรมาจารย์ผู้มีความชำนาญเฉพาะทาง ซึ่งความลำบากนั้นเทียบกันไม่ได้เลย!
“หนอนบ่อนไส้…” ขณะที่หันจงพึมพำ มือขวาพลันยกขึ้นคว้าไปทางเขาจ้งเต้า ครู่หนึ่งแผ่นหยกหนึ่งแผ่นก็พุ่งผ่านอากาศมาตกอยู่ในมือเขา ข้างในนั้นบันทึกทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา เขาอ่านไปรอบหนึ่ง และก็เห็นทุกเรื่องที่ถูกบันทึกเอาไว้หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าสำนักมา ซึ่งรวมไปถึงเรื่องฟ้าผ่า ฝนกรด หุบเขาหมื่นอสรพิษ และยาแปลกประหลาดมากมายที่เขาหลอมออกมา
หลังจากหันจงอ่านจบ สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เหยเกขึ้น ในสายตาของเขาป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือตัวหายนะอย่างหนึ่งของสำนัก…แต่ไม่นานดวงตาทั้งคู่ของเขาก็พลันเปล่งวาบ
“ยาที่เจ้าเด็กน้อยนี่หลอมออกมา…เหมือนว่าจะแฝงไว้ด้วยความชั่วร้าย…”
“วิถีโอสถมีเส้นทางเป็นพันเป็นหมื่น แต่ละคนล้วนแตกต่างกันออกไป บางทีป๋ายเสี่ยวฉุน…ช่างเถอะ ตำรับยาของยาทวนธารา แล้วก็คัมภีร์โอสถหันเหมิน เอาให้เขาไปเถอะ บางทีเมื่ออยู่ในมือของเขา วันหน้าอาจจะสามารถ…หลอมยาทวนธาราออกมาก็ได้…” ลิงเฒ่าพึมพำเสียงเบา
ดวงตาทั้งคู่ของหันจงหดตัว ยาทวนธารา หมื่นปีมานี้ในสำนักธาราเทพไม่เคยมีใครหลอมได้สำเร็จ ถึงขั้นที่สำนักธาราเทพยังเคยไปหาสำนักธาราโอสถ ยอมจ่ายค่าตอบแทนสูงมากเพื่อให้สำนักธาราโอสถหลอมยาให้ แต่ต่อให้เป็นสำนักธาราโอสถเองก็ยังยากที่จะหลอมได้สำเร็จ
ยาทวนธารานี้ได้กลายมาเป็นตำนานไปเสียแล้ว หากไม่เพราะตอนนี้ที่สำนักธาราเทพมีอยู่เม็ดหนึ่ง หันจงก็คงคิดว่านี่คือยาวิเศษที่ไม่มีทางหลอมออกมาได้ และประโยชน์เพียงอย่างเดียวของยานี้ก็คือ…ปลุกจิตวิญญาณแท้จริงให้ฟื้นคืน! ให้จิตวิญญาณแท้จริงตื่นขึ้นมาได้สิบชั่วลมหายใจ!
ส่วนคัมภีร์โอสถหันเหมินนั้นยิ่งเป็นหนึ่งในสามรากฐานใหญ่ที่ถ่ายทอดกันมาของจิตวิญญาณหันเหมิน ในนั้นบันทึกวิถีโอสถทงเทียนที่แพร่หลายมาจากโลกภายนอกเอาไว้
“หลอมยาที่แฝงไว้ด้วยความชั่วร้าย และยาทวนธาราเดิมทีก็เป็นยาของพรรคมารอยู่แล้ว ไม่แน่ว่า…อาจจะเป็นไปได้!” หลังจากหันจงพึมพำอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้า แล้วถามขึ้นมาอีกว่า
“ท่านอาจารย์ ตบะของท่าน…”
“ยากที่จะฟื้นคืน จำเป็นต้องใช้เวลา แต่ในเมื่อกลับมาแล้ว จะยังไงข้าก็ต้องยืนหยัดช่วงชิงเวลาให้มากขึ้นอีกหน่อย ข้าต้องการเห็นกับตาตัวเองว่า…สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าถูกกำจัดจนสูญสิ้น!” ดวงตาลิงเฒ่าเผยความเคียดแค้น ปีนั้นตลอดทั้งสำนักถูกทำลายจนสิ้น มีเพียงเขาและคนอีกไม่มากที่หนีออกมา เดินผ่านเขตหวงห้ามอย่างเกือบเอาชีวิตไม่รอด จนมาถึงปลายแม่น้ำตะวันออกถึงรอดมาได้อย่างร่อแร่เต็มที
“ศิษย์ข้า ผู้ที่กลับมาไม่ได้มีเพียงข้าคนเดียว บางทีตาแก่พวกนั้นอาจจะทยอยพากันกลับมาด้วย ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ข้าคิดว่า…บางทีนี่อาจจะเป็นลางของการเริ่มต้นยุคใหม่”
เจ้าลิงถอนหายใจเบาๆ หันจงเงียบงัน แม้ว่าจะแก่ชรา แต่นัยน์ตากลับค่อยๆ มีประกายเฉียบคมรวมตัวกัน ที่มากกว่านั้นคือความตั้งมั่น
เวลาผันผ่าน หนึ่งเดือนผ่านไป ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในถ้ำยุติการบำเพ็ญตบะ กระวนกระวายใจเล็กน้อยว่าออกไปแล้วตัวเองจะเป็นอย่างไร เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด ถอนหายใจเฮือกๆ แต่เขาก็ออกไปจากที่นี่ไม่ได้อีก ทำได้เพียงนั่งทำสมาธิต่อไป
วันนี้เขาเพิ่งจะบำเพ็ญตบะเสร็จ เมื่อลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ยังไม่ทันได้ถอนหายใจอย่างที่ทำประจำ ทันใดนั้นก็ต้องตะลึง มองเห็นว่าบนพื้นมีแผ่นหยกหนึ่งแผ่นและตำราไม้ไผ่อีกหนึ่งม้วนซึ่งไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ของสองอย่างนี้ล้วนดูโบราณอย่างยิ่ง คล้ายว่าดำรงอยู่มานานมากแล้ว ถึงขั้นที่ว่าเมื่อมองไปยังสามาถสัมผัสได้ถึงประสบการณ์อันโชกโชน
“เอ๋?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปเล็กน้อย มองไปรอบด้านแล้วจึงหยิบแผ่นหยกขึ้นมาอย่างลังเล หลอมรวมพลังวิญญาณเข้าไปเพื่อตรวจสอบดู แล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้างอย่างรวดเร็ว
“ยาทวนธารา? ไม่จำเป็นต้องใช้พืชหญ้าใดๆ แต่ใช้น้ำของแม่น้ำทงเทียนมาหลอมเป็นยา นี่…นี่มันยาอะไรกัน มองดูแล้วเหมือนจะร้ายกาจมาก น้ำของแม่น้ำทงเทียนเอามาหลอมยาได้ด้วยหรือนี่?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหลือเชื่อ พออ่านวิธีการหลอมยาอย่างละเอียดก็ต้องสูดลมหายใจเฮือก
“ชั่วร้ายเกินไปแล้ว ถึงขั้นใช้ร่างกายเป็นเตาหลอม…” เขามองไปที่ตำราไม้ไผ่ม้วนนั้นอีกที ไม่นานก็เบิกตากว้างยิ่งกว่าเดิม
“คัมภีร์โอสถหันเหมิน?”
“อายุวัฒนะหันเหมินเริ่ม นิรันกาลไม่ดับสูญวัฏจักรสิ้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดหายใจเฮือก หลังจากคลี่ตำราไม้ไผ่นี้ออกเขาก็ไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรม ทุกอย่างพร่าเลือนไปหมด เห็นชัดแค่เพียงประโยคขึ้นต้นประโยคแรกเท่านั้น แต่ประโยคนี้กลับทำให้เขาเป็นบ้าได้
“หรือว่า…หรือว่าคัมภีร์โอสถนี้สามารถหลอมยาอายุวัฒนะได้ อ๋าๆๆๆๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกรีดร้องขึ้นมาเสียงแหลม ตัวเขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ดวงตาทั้งคู่ปรากฏเส้นเลือดฝอย ตื่นเต้นราวกับได้รับสมบัติล้ำค่า
“ต้องเป็นเพราะศิษย์พี่เจ้าสำนักเห็นว่าข้าขยันบำเพ็ญตบะขนาดนี้ ถึงได้มอบของสองสิ่งนี้เป็นรางวัลให้กับข้า ศิษย์พี่เจ้าสำนักช่างดีเหลือเกิน ยาทวนธารา เรื่องเล็กน้อย รอวันหน้าข้าเก่งกาจเมื่อไหร่จะหลอมให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักสักพันเม็ดไปเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม รีบศึกษาคัมภีร์โอสถขึ้นมาทันที แม้จะมองเนื้อหามากกว่านั้นไม่ออก แต่ความยึดมั่นถือมั่นก็ยังไม่ลดลง
โดยเฉพาะตำราไม้ไผ่คัมภีร์โอสถหันเหมินนี้ ที่หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนศึกษาดูก็พบว่าตัวเองดันมองไม่ออก แต่ความโชกโชนที่แผ่ออกมาจากมันก็ราวกับว่าได้ดำรงอยู่มาแล้วกว่าหมื่นปี
เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าไม้ไผ่แบบไหนกันที่สามารถอยู่มาได้เป็นหมื่นๆ ปี อีกทั้งยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีกลิ่นหอมสดชื่นลอยออกมาเป็นระลอก เมื่อหลอมรวมเข้าไปในร่างกายแล้วทำให้ตบะไหลเคลื่อนได้เร็วขึ้นอีกไม่น้อย
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคึกคัก แน่ใจอีกครั้งว่านี่คือของล้ำค่าที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง แต่ในใจก็เกิดความสงสัยขึ้นมาบ้างเล็กน้อย รู้สึกว่าหรือเป็นเพราะการบำเพ็ญตบะของตัวเองช่วงนี้ทำให้เจ้าสำนักประทับใจเข้าจริงๆ? หรือเป็นเพราะว่าวิญญาณของอาจารย์นำมามอบให้กับตัวเอง?
“แต่นี่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไปคิดมาก็กัดฟัน เลิกสนใจไปเสียเลย ยังไงซะของล้ำค่ามาอยู่ในมือแล้วก็ย่อมเป็นของตน
เขาไม่ทันสังเกตเห็นว่าเวลานี้เบื้องหลังของเขา ตรงจุดลึกของถ้ำมีลิงตัวหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาแฝงเร้นไว้ด้วยความเคารพยำเกรงและสงสัย
“เขาทำได้อย่างไรกันแน่…หรือเป็นเพราะการดำรงอยู่ของความมืดมิดบางอย่าง ยืมมือของเขาทำให้ข้ากลับมาจริงๆ…”
เนิ่นนาน เจ้าลิงหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในผนังหิน เดินไปตามทางของผนังหินที่ทอดยาวไปจนถึงตีนเขาจ้งเต้า และจนกระทั่งไปถึง…จุดลึกของแผ่นดินใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำ
ที่นี่มีห้องใต้ดินขนาดยักษ์อยู่แห่งหนึ่ง ด้านในบรรจุไว้ด้วยแม่น้ำทงเทียนสีทอง รอบด้านมีค่ายกลที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรอยู่หนึ่งค่าย ซึ่งนี่ก็คือหัวใจสำคัญของค่ายกลตลอดทั้งสำนักธาราเทพ
และค่ายกลนี้ไม่ได้มีขึ้นเพื่อสยบ แต่เพื่อ…ปกป้อง
จุดศูนย์กลางของแม่น้ำสีทอง มีโลงศพหนึ่งโลงตั้งอยู่
โลงนี้ไม่ได้ปิดฝาเอาไว้ สามารถมองเห็นได้ว่าด้านในคือศพแห้งของ…ทารกหญิงผู้หนึ่ง
ทารกคนนั้นแม้ว่าจะเป็นศพแห้งๆ แต่กลับมีเส้นใยชีวิตหนึ่งเส้นดำรงอยู่ ความรู้สึกของกาลเวลาอันโชกโชนบนร่างของนางนั้น ยิ่งเข้มข้น ยิ่งหนาแน่น…
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้วอีกสองเดือน
จนแล้วจนรอดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่เข้าใจคัมภีร์โอสถหันเหมินได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แม้ว่าจะไม่ยอมแพ้ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ปล่อยไป เขาครุ่นคิดว่ารอจนตัวเองหลอมยาได้เก่งกว่าเดิมมากๆ แล้ว บางทีอาจจะอ่านเข้าใจก็เป็นได้
ตอนนี้ระยะเวลาสิ้นสุดการลงโทษมาถึงแล้ว เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาจากถ้ำหิน จิตใจของเขาอิ่มเอิบมีชีวิตชีวา ตบะพัฒนาขึ้นไปอีกเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็ได้ทราบเรื่องที่ตัวเองจะต้องถูกส่งไปอยู่ชายฝั่งทิศเหนือเพื่อศึกษาและสังเกตร้อยสัตว์ เพิ่มพูนตบะวิชาเขตแดนธาราให้ลึกซึ้งขึ้น
“ชายฝั่งทิศเหนือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง ทอดสายตามองไปยังชายฝั่งทิศเหนือ นึกถึงตอนศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ตัวเองถูกขนานนามให้เป็นศัตรูร่วมชายฝั่งทิศเหนือก็ลังเลเล็กน้อย
“เรื่องผ่านไปตั้งนานแล้วก็น่าจะพอลืมๆ กันไปไม่น้อยแล้วล่ะมั้ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอย่างไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่มีทางเลือก นี่คือคำสั่งจากสำนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไปคิดมา ดวงตาก็ค่อยๆ เผยแววคาดหวัง เขาคาดหวังถึงเมล็ดกำเนิดสัตว์ที่อยู่ในถุงเก็บของ คิดว่าบางทีตัวเองอาจจะมีสัตว์ร้ายกับเขาสักตัว จึงรู้สึกว่าการไปอยู่ชายฝั่งทิศเหนือก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องที่รับไม่ได้
กลับมาถึงเขาเซียงอวิ๋นก็เริ่มเก็บสัมภาระจากในถ้ำที่พังถล่ม สามวันต่อมา บนเขาจ้งเต้า ผู้อาวุโสทุกคน ผู้นำ ลูกศิษย์ฝ่ายใน และยังมีลูกศิษย์ฝ่ายนอกอีกเป็นจำนวนมากล้วนพากันมาส่งเขา
การมาส่งครั้งนี้เป็นไปเองโดยธรรมชาติ ลูกศิษย์แทบจะทุกคนล้วนพากันมาที่นี่ พวกเขามองป๋ายเสี่ยวฉุน ต้องการเห็นกับตาตัวเองให้แน่ใจว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปอยู่ในชายฝั่งทิศเหนือแล้วถึงจะวางใจ
เห็นว่าคนมากมายมาส่งตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ข้างเจ้าสำนักก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก โบกมือให้กับทุกคน
“สหายร่วมสำนักทุกท่าน ข้าจะต้องไปชายฝั่งทิศเหนือแล้ว แต่ข้าอาลัยพวกเจ้าเหลือเกิน ข้าอาลัยชายฝั่งทิศใต้ อาลัยต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นของที่นี่”
แต่ละคนพอได้ยินประโยคนี้ก็ล้วนมีสีหน้าพิกล ยังไงซะนี่ก็เป็นการอำลาที่เป็นทางการ อีกทั้งเจ้าสำนักและท่านผู้นำของแต่ละเขาก็อยู่กันครบ ดังนั้นต่อให้เวลาปกติจะโกรธเคืองป๋ายเสี่ยวฉุนมากแค่ไหน ลูกศิษย์เหล่านี้ก็ล้วนพยายามเค้นเอาความอาลัยอาวรณ์ออกมา
มีเพียงคนที่สนิทสนมกับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างจางต้าพั่ง โหวเสี่ยวเหม่ย โหวอวิ๋นเฟย ฯลฯ เท่านั้นที่รู้สึกอาลัยอาวรณ์จากใจอย่างแท้จริง แต่ชายฝั่งเหนือใต้ล้วนเป็นสำนักธาราเทพเหมือนกัน ดังนั้นความอาลัยอาวรณ์นี้จึงไม่รุนแรงนัก
“ศิษย์น้องป๋าย พรสวรรค์ของเจ้าไม่ธรรมดา ทั้งยังเริ่มเข้าใจวิชาเขตแดนธารา มีพลังขึ้นมาแล้ว หรือเจ้าไม่อยากสร้างปาฏิหาริย์ ฝึกวิชาเขตแดนธาราให้สำเร็จกันล่ะ ทรัพยากรของชายฝั่งทิศเหนือมีมากกว่าชายฝั่งทิศใต้ของเรา ไปบำเพ็ญตบะที่นั่นจะทำให้อนาคตของเจ้ายิ่งสวยงาม แถมความหวังที่จะได้เข้าสู่ขั้นสร้างฐานรากก็ยิ่งมีเยอะมากมาย เมื่ออยู่ในขั้นสร้างฐานรากแล้ว อายุขัยก็จะเพิ่มมากขึ้น” ในกลุ่มคน ผู้เฒ่าโจวเดินออกมา มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ใบหน้าเผยความอ่อนโยนขณะเอ่ยปากเชื่องช้า
ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น สร้างฐานรากและอายุขัยที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ดวงตาของเขาเปล่งประกายวิบวับ
“ไปเถอะ หมุนตัวไป เดินไปยังชายฝั่งทิศเหนือ จำเอาไว้ นักพรตอย่างพวกเราต้องเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อจากไปแล้วก็ไม่ต้องหันกลับมาอาลัยอาวรณ์ จงเดินหน้าต่อไป!”
“นั่นสิอาจารย์อาป๋าย ไปเถอะ ท่านมีอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ มีเพียงชายฝั่งทิศเหนือเท่านั้นถึงจะทำให้ความฝันของท่านโบยบินขึ้นสู่ฟากฟ้าได้!”
“อาจารย์อาป๋ายไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ที่นี่ เดินเข้าไปสู่ชายฝั่งทิศเหนือแล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก อนาคตของท่านรออยู่เบื้องหน้านะ” ทุกคนพากันเอ่ยปาก ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินคำพูดของคนรอบด้าน นัยน์ตาของเขาก็เผยความซาบซึ้งใจ
ยามนี้เขาสูดลมหายใจเข้าลึก กำมือประสานแล้วโค้งคำนับต่ำให้กับทุกคนหนึ่งครั้ง หมุนตัวเดินไปท่ามกลางสีหน้าปั้นยากของเจ้าสำนัก ทั้งสองเดินไปตามทางเขาจ้งเต้า เดินทางไปยังชายฝั่งทิศเหนือ…
เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปแล้ว ความเมตตาบนใบหน้าของผู้เฒ่าโจวกลายมาเป็นความตื่นเต้นในพริบตา ลูกศิษย์ที่อยู่รอบด้านแต่ละคนก็ยิ่งฮึกเหิม มีคนไม่น้อยที่ถึงขั้นน้ำตาไหลออกมาด้วยความปิติยินดี
“สวรรค์มีตา ในที่สุดเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ก็ไปสักที!!”
“ฮ่าๆๆๆ ท่านเจ้าสำนักมีเมตตา ท่านเจ้าสำนักปรีชาฌาน ในที่สุดสวรรค์ก็ยุติธรรม ฤดูใบไม้ผลิของชายฝั่งทิศใต้ของเรามาถึงแล้ว!!”
“นี่เป็นเรื่องจริงเหรอ ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปแล้วจริงๆ ข้าไม่กล้าเชื่อเลยว่านี่เป็นความจริง!” เสียงโชโยโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นของคนนับไม่ถ้วนโหมกระหน่ำ แถมยังมีคนไม่น้อยหยิบเอาฆ้องเอากลองขึ้นมาตีด้วยความดีใจ
ฝั่งทิศเหนือของเขาจ้งเต้า เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังเดินตามหลังเจ้าสำนัก ได้ยินเสียงตีฆ้องร้องป่าวที่ดังสะเทือนเลือนลั่นด้านหลัง เขาไอแห้งๆ หนึ่งที สีหน้าปูเลี่ยน แอบรู้สึกคุ้นเคยกับภาพนี้อยู่ไม่น้อย ใบหน้าเผยความปลดปลง
“ศิษย์พี่เจ้าสำนักท่านได้ยินไหม ชายฝั่งทิศใต้ก็อาลัยอาวรณ์ข้าเหมือนกัน เพราะการจากไปของข้า พวกเขาถึงได้เศร้าโศกกันถึงเพียงนี้”
เจิ้งหย่วนตงอึ้งไปครู่หนึ่ง ทำได้เพียงเงยหน้ามองท้องฟ้าเงียบๆ …
———-