บทที่ 116 ปรมาจารย์ปรากฏตัว!!
เขาจ้งเต้า นอกถ้ำหินของอาจารย์ของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้มีลูกศิษย์หลายหมื่นคนโอบล้อมอยู่ ต่อให้ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามพวกเขาก็ไม่สนใจอีกแล้ว พากันบุกเข้ามา
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
“ออกมา!!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุนเจ้าทำเรื่องชั่วร้ายมากมาย วันนี้สวรรค์ไม่ลงทัณฑ์เจ้า พวกข้าจะลงทัณฑ์เจ้าเอง!” ทุกคนบุกเข้าไปในเขตหวงห้าม มองมาในถ้ำหินแห่งหนึ่งที่อยู่ในเขตหวงห้ามแห่งนี้ ที่นี่ก็คือสถานที่ตั้งวางรูปภาพอาจารย์ของป๋ายเสี่ยวฉุนที่มรณภาพไปในท่านั่งสมาธิ
แต่ชั่วขณะที่คำพูดของพวกเขาดังขึ้น ทันใดนั้นเสียงตวาดต่ำก็ดังออกมาจากในถ้ำของอาจารย์ป๋ายเสี่ยวฉุน
“หนวกหู!”
เสียงนี้ดังอย่างถึงที่สุด เป็นเสียงที่ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้พลังรวบรวมตบะทั้งหมดที่มีตวาดออกมา ดังสะท้อนไปแปดทิศ ราวกับเสียงฟ้าผ่า สามารถสะกดเสียงเอะอะของทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้ทันที
เวลาเดียวกันนั้น ร่างเล็กผอมแห้งของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินออกมาจากในถ้ำช้าๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างถึงขีดสุด
แทบจะทันทีที่เขาเดินออกมา ลูกศิษย์สามเขาที่อยู่แห่งนี้ทุกคนพากันยกมือขึ้นทันควัน ในมือของพวกเขาถือก้อนหินเอาไว้ แต่ละคนเต็มไปด้วยโทสะร้อนแรง กำลังจะขว้างไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ทันใดนั้นมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกขึ้น เสียงฟุบดังหนึ่งครั้ง รูปภาพใบหนึ่งปรากฏอยู่ในฝ่ามือของเขา กางออกและปรากฎอยู่เบื้องหน้า
คนในรูปภาพก็คืออาจารย์ของป๋ายเสี่ยวฉุน…และก็คืออาจารย์ของเจิ้งหย่วนตง บรรพบุรุษรุ่นที่แล้วของสำนักธาราเทพ
“บังอาจ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นจนเสียงเริ่มแหลม รีบตวาดออกมาทันที
“ใครกล้าทำลายภาพวาดของท่านอาจารย์ข้า ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนและศิษย์พี่เจ้าสำนักของข้าขอสู้ตายกับมันผู้นั้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเดือดดาล ยกรูปภาพขึ้น ตัวหลบอยู่ด้านหลัง ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้เมื่อเห็นภาพนี้แล้วล้วนตัวแข็งค้าง ทุกคนสำลักลมหายใจ ไม่กล้าโยนก้อนหินที่อยู่ในมือออกไปอีก
รูปภาพนั้นคือบรรพบุรุษรุ่นที่แล้ว คืออาจารย์ของเจ้าสำนัก หากพวกเขาทำพังขึ้นมา พวกเขาก็พอจะนึกภาพไฟโทสะของเจ้าสำนักเจิ้งหย่วนตงออกได้ว่าต่อให้เป็นผู้นำของแต่ละเขาก็ไม่อาจขัดขวางได้
“ต่ำช้า!!” ทุกคนคับแค้นใจ แต่ละคนคลั่งกันไปหมด พากันตะโกนก้องโกรธแค้น แต่กลับไม่กล้าลงมือ
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าได้ผล ในใจก็ผ่อนลมหายใจยาว ยกภาพวาดขึ้น มองทุกคนตาปริบๆ
“พวกเจ้าฟังข้าพูดก่อน ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ข้า…”
“เจ้าๆๆ เจ้าก็ไม่ได้ตั้งใจทุกครั้งนั่นแหละ เขาเซียงอวิ๋นมีฟ้าผ่า เจ้าบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ เขาจื่อติ่งและเขาชิงเฟิงมีฝนกรด เจ้าก็บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้ยังจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจอีก!”
“เกินไปแล้วนะ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อธิบายก็ยังพอว่า แต่พออธิบายเช่นนี้ทุกคนก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่อีกครั้ง ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจรีบยกรูปภาพขึ้นสูง
“เมื่อครู่ท่านอาจารย์ของข้ามาเข้าฝันข้า ท่านผู้อาวุโสพูดว่าให้อภัยข้าครั้งนี้! ข้ารับรอง นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว จะไม่มีครั้งต่อไปอีกเด็ดขาด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากเสียงดัง ขณะเดียวกันกับที่รู้สึกตื่นเต้น ในใจก็สำนึกผิดและเสียใจอย่างลึกซึ้ง
“ข้าทนไม่ไหวแล้วโว้ย ข้าจะไปฟาดเขา!”
“ต่อให้เขาเป็นลูกชายแท้ๆ ของท่านเจ้าสำนัก ข้าก็จะต้องฟาดเขาสักทีให้ได้!”
“โค่นล้มป๋ายเสี่ยวฉุน!!” ได้ยินป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างไร้ยางอายยิ่งกว่าเดิมว่าท่านอาจารย์มาเข้าฝัน ทุกคนใกล้บ้ากันเต็มที แต่ตอนนี้เอง ทันใดนั้นจิตสัมผัสแต่ละเส้นของพลังสร้างฐานรากก็พลันกวาดมายังสถานที่แห่งนี้
ตามมาด้วยเงาร่างมากมายที่บินมาอย่างรวดเร็วจากเขาจ้งเต้า พริบตาเดียวก็มาถึง กลายร่างเป็นคนหลายสิบคน ผู้อาวุโสของแต่ละเขา ผู้นำ รวมถึงเจิ้งหย่วนตงล้วนมาปรากฏตัวกันหมด
มองเห็นภาพโดยรอบที่เกิดขึ้น เจิ้งหย่วนตงเดือดดาลตวาดลั่น เสียงราวกับฟ้าผ่าดังไปรอบด้าน
“พวกเจ้ากลับไปกันให้หมดเดี๋ยวนี้!!”
เสียงนี้สะท้อนก้อง ดังราวหูจะดับ ทุกคนที่ตรงนั้นพากันใจสั่น ต่อให้เป็นพวกซ่างกวานเทียนโย่วเองก็ยังหวาดผวา แต่ละคนรีบก้มหน้า พากันถอยหลัง
ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าฮึกเหิม กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เจิ้งหย่วนตงกลับถลึงตาดุใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ในฐานะที่ข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า คนอื่นฟาดเจ้าไม่ได้ ข้าจะฟาดเจ้าเอง!” ระหว่างที่พูดเขาก็เดินตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหัวแทบจะระเบิด กำลังจะยกภาพอาจารย์ขึ้นสูง ผลคือเจิ้งหย่วนตงสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที ภาพวาดนี้ก็หลุดออกจากมือลอยไปหาเจิ้งหย่วนตงทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนกรีดร้องเสียงแหลม ปีกด้านหลังกระพือวาบ กำลังจะบินหนีออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะบินไปได้ไกลเท่าไหร่ก็มีเสียงเพี๊ยะดังมาจากตรงก้น ซึ่งเกิดจากฝ่ามือของเจิ้งหย่วนตงที่ฟาดลงไปกลางอากาศ
ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโหยหวน เอามือกุมก้นหน้าสลด ร้องโหยไห้ขึ้นมา
“ท่านอาหลี่ช่วยข้าด้วย ศิษย์พี่ของข้าจะฆ่าข้าแล้ว!!”
หลี่ชิงโหวหลับตา แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน โทสะของเจิ้งหย่วนไม่ลดลง เรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอาภาพของอาจารย์ออกมาทำให้เขาโกรธจนควันออกเจ็ดทวาร เตะไปอีกหนึ่งที
ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโหยหวนอีกครั้ง พิลาปร่ำไห้ไม่หยุด
“ท่านอาจารย์ช่วยด้วย ท่านอาจารย์ช่วยด้วย!!”
ทุกคนที่อยู่รอบด้านเห็นว่าเจิ้งหย่วนตงไล่ฟาดป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ละคนเริ่มคลายความโกรธแค้นลงไปได้บ้าง ผู้อาวุโสของแต่ละเขาก็มีสีหน้าปั้นยาก พากันกระแอมไอขึ้นมา
“นี่เป็นเรื่องในบ้านของท่านเจ้าสำนัก…”
“ถูกต้องๆ ข้ายังมียาที่ต้องหลอม ขอตัวก่อนล่ะ” ผู้อาวุโสเหล่านี้พากันมองไปที่เจิ้งหย่วนตงและป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยรอยยิ้มขบขัน แล้วจึงค่อยๆ แยกย้ายจากไป
สุดท้ายกลางอากาศก็เหลือแค่หลี่ชิงโหวและสวีเหม่ยเซียง หลี่ชิงโหวมองเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ห่างออกไปไกล สีหน้าปลงอนิจจังเล็กน้อย ในส่วนลึกของดวงตาเขาเองก็มีแววคาดหวังต่อตัวป๋ายเสี่ยวฉุน
“ในใจของเด็กคนนี้มองเห็นท่านเป็นเหมือนบิดาคนหนึ่งแล้ว เหตุใดท่านต้องเอาเขาไปโยนไว้ที่ชายฝั่งทิศเหนือด้วยเล่า?” สวีเหม่ยเซียงมองหลี่ชิงโหว นัยน์ตาเผยความอ่อนโยนและอารมณ์ลึกซึ้ง เอ่ยปากเสียงเบา
“เรื่องพวกนั้นที่เสี่ยวฉุนทำ ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สันดานเดิมของเขาเป็นคนดี อีกอย่างข้าก็มองออกว่าในก้นบึ้งของจิตใจเขาเองก็รู้สึกผิดและเสียใจต่อเรื่องนี้…ไม่จำเป็นต้องส่งเขาให้ไปอยู่ชายฝั่งทิศเหนือ”
หลี่ชิงโหวดึงสายตากลับมามองสวีเหม่ยเซียง ส่ายหัวแล้วยิ้มให้
“คำพูดที่ข้าพูดกับท่านเจ้าสำนักเป็นความคิดอย่างสัตย์จริงในใจข้า ความจริงแล้วตอนที่ขอเขตแดนธารามาจากชายฝั่งทิศเหนือครั้งนั้นข้าก็มีความคิดนี้อยู่แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนมีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา หากสามารถรวมข้อดีของทั้งสองชายฝั่งไว้ได้ก็ยิ่งดีต่ออนาคตของเขา โดยเฉพาะหากฝึกวิชาเขตแดนธาราได้สำเร็จ อีกทั้งในเวลาไม่กี่ปีหากบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบของรวมลมปราณขั้นสิบ เมื่อเป็นเช่นนี้…จะสามารถไล่ทันการเปิดของเหวกระบี่อุกกาบาต เขาก็จะคว้าโอกาสของตัวเองมาจากที่นั่นได้…” หลี่ชิงโหวเอ่ยพูดเสียงเบา
“เหวกระบี่อุกาบาต? หนึ่งในสามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานรากของสี่สำนักใหญ่ที่อยู่ตอนล่างแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออก… ในตำนานถึงขั้นเล่าว่าด้านในนั้นอาจจะมีปราณชีพจรสวรรค์อยู่หนึ่งเส้น ทุกครั้งที่เปิด ลูกศิษย์รวมลมปราณขั้นสิบจากทั้งสี่สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดของสี่เขตอย่างสำนักธาราโลหิต สำนักธาราโอสถ สำนักธาราทมิฬและสำนักธาราเทพของพวกเรา ล้วนต้องช่วงชิงกันด้วยการสู้รบนองเลือด…” สวีเหม่ยเซียงสูดลมหายใจเข้าลึก เผยความตกใจออกมา
“จำเป็นต้องหลั่งเลือดสู้รบถึงจะช่วงชิงมาได้…หากเขาเรียนรู้เขตแดนธาราไม่สำเร็จ ข้าไม่มีทางให้เขาไปเด็ดขาด แต่หากทำสำเร็จ เขาต้องไปให้ได้ การบำเพ็ญเพียรคือเส้นทางที่โหดร้ายทารุณ ต้องแย่งชิงกันท่ามกลางการเลือกสรรของสวรรค์ เขาต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับมัน ไม่ใช่คอยหลบเลี่ยง” หลี่ชิงโหวถอนหายใจเสียงเบา หมุนตัวจากไปพร้อมสวีเหม่ยเซียง
ตลอดทั้งวันนี้เสียงร้องโหยหวนของป๋ายเสี่ยวฉุนดังสะท้อนอยู่ในสำนัก เจิ้งหย่วนตงทำใจแข็งสั่งสอนป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ได้ใช้สิทธิ์ของเจ้าสำนัก แต่เป็นในฐานะของศิษย์พี่
จนกระทั่งเลยกลางดึกไปแล้ว ใบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเขียวปูดบวม สีหน้าเศร้าสลด เดินตามหลังเจิ้งหย่วนตงกลับเข้ามาในถ้ำหินของอาจารย์
“คุกเข่าลง ยอมรับผิดกับท่านอาจารย์ซะ!” เจิ้งหย่วนตงถลึงตาใส่ ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจรีบคุกเข่าลงไปเบื้องหน้าภาพวาดดังพลั่ก
“ท่านอาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกร่างบวมตุ่ยไปหมด โดยเฉพาะตรงก้นที่เนื้อแทบจะปริแตก
“ท่านอาจารย์ ท่านดูสิศิษย์ถูกฟาดจนกลายเป็นแบบนี้ ท่านผู้อาวุโสต้องปวดใจมากอย่างแน่นอน ข้าก็บอกกับศิษย์พี่แล้วว่าวันนี้ท่านมาเข้าฝันข้า ท่านให้อภัยข้าแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมเชื่อ…”
“ท่านอาจารย์ ถ้าไม่งั้นวันนี้ท่านก็เข้าฝันศิษย์พี่ บอกกับเขาสักหน่อยสิ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด ขณะที่กำลังพึมพำเสียงเบาอยู่นั้น เจิ้งหย่วนตงที่อยู่ด้านข้างปั้นหน้าไม่ถูก แม้ว่าเขาจะฟาดป๋ายเสี่ยวฉุนไป แต่ก็ตกตะลึงกับเนื้อหนังที่แข็งแกร่งของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างยิ่ง เวลานี้มือของเขาก็แอบรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด
“คุกเข่าอยู่ที่นี่สามเดือน ถือเป็นการลงโทษที่เจ้าทำให้หุบเขาหมื่นอสรพิษเกิดความโกลาหลในครั้งนี้!” เจิ้งหย่วนตงแค่นเสียงเย็นชา เขาจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เพราะต้องการให้ลูกศิษย์คนอื่นๆ ของทั้งสามเขาเห็น แต่พอสะบัดปลายแขนเสื้อ ยาเม็ดหนึ่งกลับร่วงลงมา เขาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หมุนกายจากไป
เห็นว่าเจิ้งหย่วนตงจากไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร่ำไห้เศร้าโศกขึ้นมา ขณะกำลังจะระบายทุกข์ให้อาจารย์ฟัง เขากลับหันไปมองรอบด้านก่อนทันที เมื่อแน่ใจแล้วว่าเจ้ากระต่ายลึกลับตัวนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ถึงได้พรั่งพรูความกล้ำกลืนออกมาต่อหน้าภาพวาด
“ท่านอาจารย์ ข้าน่าเวทนาเหลือเกิน…”
“ศิษย์พี่เขาตีข้า…ข้าเจ็บก้นมากเลย ท่านดูสิๆ ตัวข้าบวมไปหมดแล้ว!”
“ช่างไม่ยุติธรรมกับข้าเอาเสียเลย ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ…ข้าเองก็ไม่ได้…หืม?” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดมาถึงตรงนี้ พลันมองเห็นว่าบนพื้นมียาอยู่หนึ่งเม็ด คือยาที่เจิ้งหย่วนตงจงใจทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบขึ้นมาดม
“ยาบำรุงกายขั้นสามระดับบน!”
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายขึ้นมาทันที มองไปนอกถ้ำ นั่งอยู่ตรงนั้นรู้สึกเบื่อจึงกลืนยาลงไป เริ่มตั้งใจฝึกบำเพ็ญตบะ
และตอนนั้นเองลูกศิษย์ทุกคนของสำนักธาราเทพ รวมไปถึงผู้นำทุกท่านล้วนไม่มีใครสัมผัสได้ว่า พริบตานี้ด้านหลังเขาจ้งเต้าที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นพื้นที่โล่งว่างเปล่า ทันใดนั้นฟ้าดินกลับบิดเบือนขึ้นมาเล็กน้อย
การบิดเบือนนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็หายใป แต่นาทีนี้กลับเหมือนจะมองเห็นได้รำไรว่า จุดที่เกิดการบิดเบือนด้านหลังเขาจ้งเต้า คล้ายจะ…มีภูเขาอยู่อีกหนึ่งลูก!
นี่คือ…ภูเขาลูกที่เก้าของสำนักธาราเทพ แม้เจ้าสำนักจะรู้ถึงการดำรงอยู่ของภูเขาลูกที่เก้า แต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงการบิดเบือนและความผิดปกติที่เกิดขึ้นในตอนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
ภูเขาลูกที่เก้าของสำนักธาราเทพคือยอดเขาที่มืดมิดแห่งหนึ่ง เงียบสงบเกินสิ่งใดจะเปรียบ พืชพรรณทุกต้นล้วนเป็นสีดำ ยามนี้บนยอดเขาสูงสุดของภูเขาลูกที่เก้า ใต้ต้นท้อสีดำต้นหนึ่งมีลิงหนึ่งตัวนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น มองไปยังต้นท้อที่อยู่ห่างออกไปไกล นัยน์ตาเผยความซับซ้อนและย้อนรำลึกความทรงจำ
หากป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ที่นั่นต้องจำได้ทันทีว่า ลิงตัวนี้…ก็คือลิงที่ชอบทำท่าครุ่นคิดหลังจากกินยาของเขาเข้าไปแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเพิ่งปล่อยมันไป
เนิ่นนาน ลิงตัวนี้ก็ถอนหายใจเสียงเบาหนึ่งที
“ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดต้องหลบๆ ซ่อนๆ เล่า”
วินาทีที่คำพูดของเขาเปล่งออกไป เบื้องหลังของเขาพลันเกินความบิดเบือนที่มองไม่เห็น ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่สวมชุดคลุมสีม่วงผู้หนึ่งเดินแหวกความว่างเปล่าออกมา ผู้เฒ่ามองดูเหมือนคนแก่ธรรมดาทั่วไป แม้แต่พลังตบะก็ยังไม่มี แต่เมื่อเขายืนอยู่ตรงนั้นกลับประหนึ่งดั่งผู้สูงศักดิ์มากบารมี!
ขณะที่ยืนอยู่ข้างลิงตัวนี้ สีหน้าของผู้เฒ่าเผยความตะลึงระคนสงสัย หว่างคิ้วพลันปรากฏรอยแตกหนึ่งเส้น จากนั้นดวงตาที่สามก็เผยออกมา มองไปยังลิงตัวนั้น
“เจ้าคือ…”
“จำไม่ได้หรือ ศิษย์ของข้า หรือบางทีควรจะเรียกเจ้าว่า บรรพบุรุษรุ่นแรกแห่งสำนักธาราเทพ?” เมื่อเจ้าลิงหันหน้ามามองผู้เฒ่า นัยน์ตาของเขาเผยให้เห็นถึงประสบการณ์อันโชกโชน
จิตใจผู้เฒ่าสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ลูกตาทั้งคู่หดตัวลง เสียงสูดหายใจดังชัดเจน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงและไม่อยากเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้ ท่าน…ท่านตายไปแล้ว ท่านจะกลับมาได้อย่างไร!!!” ผู้เฒ่าคนนี้แท้จริงแล้วก็คือบรรพบุรุษรุ่นแรกที่ทำให้สำนักธาราเทพกลายมาเป็นหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ดังเช่นทุกวันนี้!
เขาไม่อยากเชื่อ ด้วยฐานะของเขา ด้วยตบะของเขา ด้วยพลังการเข้าฌานของเขา ในเวลานี้ก็ยังต้องสูดลมหายใจ แต่เขาก็สัมผัสได้ด้วยว่าอีกฝ่ายคืออาจารย์ผู้ลึกลับที่สิ้นชีพไปเมื่อหมื่นปีก่อนของตัวเองอย่างแท้จริง ความรู้สึกที่มาจากจิตวิญญาณเช่นนั้นไม่มีทางผิดไปได้แน่นอน
เจ้าลิงเงียบงัน ทอดสายตามองไปยังทิศทางของเขาจ้งเต้า คล้ายว่ามองเห็นเขาจ้งเต้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังนั่งขัดสมาธิในถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่บนเขาแห่งนี้ ไม่มีใครสัมผัสถึงว่าในส่วนลึกของดวงตาลิงตัวนี้แฝงเร้นไว้ด้วย…ความเคารพยำเกรงอย่างที่หาได้ยากยิ่ง
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากลับมาได้อย่างไร บางทีอาจเป็นเพราะยาของเด็กป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้น หรืออาจเป็นเพราะ…การดำรงอยู่ของความมืดมิดบางอย่างยืมมือเขา ทำให้ข้า…กลับมา
ผู้ที่กลับมาด้วยกัน ไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียว”
ผู้เฒ่าชุดคลุมสีม่วงลมหายใจถี่กระชั้น มองตามทิศทางของสายตาเจ้าลิง มองเห็นเขาจ้งเต้า มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านใน
“ลูกศิษย์ขั้นรวมลมปราณผู้หนึ่ง จะเป็นไปได้อย่างไร!” ผู้เฒ่ายังคงไม่อยากเชื่อ แต่ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้กลับทำให้เขาจำต้องเชื่อ
“หันจง! ยังจำได้หรือไม่ว่าเหตุใดปีนั้นอาจารย์ถึงได้ตั้งชื่อนี้ให้กับเจ้า! ยังจำได้หรือไม่ว่าเหตุใดปีนั้นอาจารย์ถึงฝืนเปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิตทำให้เจ้ามีชีวิตยาวนานนับหมื่นปี! ตอบข้ามา!” ดวงตาของเจ้าลิงพลันเผยประกายดุดัน ใช้สายตาและวาจาข่มขู่ ในนาทีนั้นความว่างเปล่ารอบด้านคล้ายมีสายฟ้าโหมซัดสาด แต่สถานที่ห่างจากทั้งสองคนออกไปสิบจั้ง ความผิดปกติทุกอย่างนี้กลับไม่มีใครสัมผัสได้ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสคนอื่นๆ บนภูเขาที่เก้าลูกนี้เองก็ไม่สัมผัสถึงแม้แต่นิด
ผู้เฒ่าเสื้อคลุมม่วง หันจงบรรพบุรุษรุ่นแรกของสำนักธาราเทพตัวสั่นเทา ความทรงจำเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน แต่ก็ยังคงติดตรึงอยู่ในใจ แม้ว่าเขาจะแก่ชราแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์ของตัวเอง ก็เหมือนว่าได้กลับไปตอนที่ยังเป็นหนุ่ม เขายืนตัวตรง บนใบหน้าแก่เฒ่านั้นแดงเป็นเลือดฝาด คำรามเสียงดังราวกับทหารผู้มากประสบการณ์
“จำได้ขอรับ เพราะหน้าที่ของข้าคือปกป้องจิตวิญญาณที่แท้จริง นำพาให้สำนักธาราเทพกลายเป็นสำนักตอนกลางของแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออก และขึ้นไปเป็นสำนักตอนบน เข่นฆ่าเข้าไปยังแม่น้ำทงเทียนสายเหนือ กำจัดสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าที่อยู่ตอนบนของแม่น้ำทงเทียนสายเหนือให้สิ้นซาก กลับคืนสู่มาตุภูมิ คืนความรุ่งโรจน์ให้กับจิตวิญญาณหันเหมินของเรา!”
“เจ้ายังคงจำมาตุภูมิ จำจิตวิญญาณที่แท้จริงได้? ถ้าเช่นนั้นเจ้าลองไปดูลายอักษรของเขาเซียงอวิ๋นสิ!” นัยน์ตาของเจ้าลิงเผยความลึกล้ำ ขณะที่เอ่ยปากเนิบนาบ หันจงรีบหันไปมองเขาเซียงอวิ๋นทันที
พอมองไปเขาก็ต้องขมวดคิ้ว ในสายตาของเขา ทั้งแปดเขาของสำนักธาราเทพ ฝ่ายในของทุกยอดเขาล้วนมีลายอักษรที่ซับซ้อนอย่างถึงขีดสุดดำรงอยู่ และนี่ก็คือโลหิตแห่งชีวิตของสำนักธาราเทพ ระดับความสำคัญของมันนั้นยากจะอธิบายได้
ลายอักษรของเขาเซียงอวิ๋น เขามองเส้นสนกลในใดๆ ไม่ออกแม้แต่นิด
เห็นว่าหันจงเป็นเช่นนี้ เจ้าลิงจึงถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง ความโชกโชนในดวงตายิ่งเพิ่มมากขึ้น
“เจ้ามองไม่ออกหรือ…ดูท่าตอนที่ข้ากลับมาคงช้าไปแล้ว มีคนกลับมาก่อนหน้าข้า ทั้งยังเข้าใจค่ายกลนี้ได้อย่างลึกล้ำ จึงส่งคนลึกลับผู้หนึ่งออกมา แค่เปลี่ยนแปลงพืชพรรณเล็กน้อยก็สามารถทำให้ค่ายกลนี้…เปลี่ยนแปลงไปได้”
“ลายอักษรดึกดำบรรพ์ของด้านล่างเขาเซียงอวิ๋นถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ข้ามิอาจฝืนแก้ไขได้ ทำได้เพียงใช้พลังเส้นสุดท้ายตอนที่กลับมา ยืมมือของเด็กป๋ายเสี่ยวฉุนคนนั้น ทั้งยังปลุกระดมงูวิเศษ ถึงได้ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ”
———-