บทที่ 115 ไม่! อย่าพูดออกไปนะ
ในหุบเขาหมื่นอสรพิษตอนนี้ไม่มีงูเหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว มีเพียงแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนเหม่ออยู่ในค่ายกล มองรอบด้านที่ว่างเปล่า ขณะที่ร่างของเขากำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ในหุบเขาพลันเกิดเสียงดังโครม ก้อนหินจำนวนมากร่วงลงมา ป๋ายเสี่ยวฉุนกรีดร้องเสียงแหลม พุ่งถลาออกมาอย่างรวดเร็ว หนีเอาชีวิตรอดไปยังทางออกอย่างว่องไว
หนังหัวของเขาชาหนึบ ในใจสะท้านไหว เขารู้แน่ชัดว่าคราวนี้…ตัวเองก่อเรื่องใหญ่มาก พอนึกถึงว่าตอนนี้งูตลอดทั้งหุบเขาหมื่นอสรพิษล้วนพากันหนีออกไป เขาก็รู้สึกใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ
“จบกันๆๆ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ รีบวิ่งออกไปจากหุบเขาหมื่นอสรพิษ เพิ่งจะเดินออกไปก็ได้ยินเสียงคำรามแค้นเคืองเหลือคณานับดังออกมาจากสามเขาของชายฝั่งทิศใต้ทันที แถมยังได้ยินแว่วๆ ว่าในเสียงเหล่านั้นมีชื่อของตัวเองอยู่ด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนกระชากผมของตัวเองอย่างแรง เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างมาก ได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างถึงที่สุด
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ…ข้าก็แค่…แค่อยากให้งูพวกนั้นน่ารักขึ้นมาบ้างเท่านั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อย อกสั่นขวัญแขวนไปตลอดทาง ถ้าทำได้ เวลานี้เขาก็คงแปลงโฉมตัวเองไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยกลัวว่าจะมีคนจำได้
“ทำยังไงดีๆ…ไม่มีทางอื่นแล้ว คงต้องไปหลบอยู่ในถ้ำของท่านอาจารย์แล้วล่ะ อยู่ที่นั่นน่าจะไม่มีใครตามหาข้าเจอ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันพูดพึมพำ หยิบอาภรณ์ชุดหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ รีบเอามาคลุมหัวไว้ ปีกด้านหลังกระพือหนึ่งที ใช้ความเร็วทั้งหมดที่ตัวเองมีบินทะยานไปยังเขาจ้งเต้า
เวลานี้ทั้งสามเขาอลหม่านกันไปหมด เสียงตวาดคำรามดังต่อเนื่อง ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนให้เสียใจยิ่งนักที่หลายปีมานี้ตัวเองมีชื่อเสียงในสำนักมากเกินไป ทำให้ไม่ว่าใครก็รู้จักตัวเอง เขาทำได้แค่ปิดหน้าก้มหัว รุดหน้าไปด้วยความรวดเร็ว ตลอดทางนั้นเขาไม่เพียงแต่เร่งความเร็วถึงขีดสุด ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อมีลมพัดใบหญ้าปลิวเล็กน้อยเขาก็จะรีบหลบเลี่ยงทันที
ยังดีที่ตอนนี้เป็นช่วงชุลมุนวุ่นวาย คนส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้ให้ความสนใจรอบด้าน เอาแต่คอยหลบซ่อนงูมีเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นฝูงชนคำรามเดือดดาลมาตลอดทางก็ตกใจจนใจสั่นไปหมด ถือโอกาสที่ทุกอย่างวุ่นวาย บินทะยานไปยังเขาจ้งเต้า พอมาถึงที่นี่แล้วเขาถึงได้ผ่อนลมหายใจยาว หันกลับไปมองด้วยความหวาดผวาอีกทีหนึ่ง แล้วก้มหน้าก้มตาบินทะยานไปด้านหลังเขาจ้งเต้าอีกครั้ง เข้าไปในถ้ำหินที่มีภาพอาจารย์ของเขาตั้งอยู่
สถานที่แห่งนี้สำหรับคนอื่นแล้วถือว่าเป็นเขตหวงห้าม แต่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเป็นสถานที่ที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี พอวิ่งปรู๊ดเข้ามาได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็นั่งอยู่หน้ารูปภาพของอาจารย์เขา อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก
“ข้าได้ได้ตั้งใจจริงๆ นะ…ท่านอาจารย์ ท่านก็รู้ว่าเสี่ยวฉุนเป็นคนดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองภาพอาจารย์ตัวเองที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ ตบะนักพรตกำจายโดดเด่นด้วยท่าทางน่าสงสาร
เวลาเดียวกันนี้ ผู้อาวุโสทุกคนของสามเขาชายฝั่งทิศใต้เคลื่อนพลกันออกมาหมด หลี่ชิงโหว สวีเหม่ยเซียง และยังมีผู้เฒ่าผู้นำเขาชิงเฟิงก็ปรากฏตัวด้วย ทุกคนรวมพลังกันถึงได้จับเอางูมีเขาจำนวนไม่ถ้วนนั้นมาไว้ได้จนหมด ทำให้ทั้งสามเขาไม่เกิดภัยพิบัติงูอีกต่อไป
ขณะที่นักพรตขั้นสร้างฐานรากควบคุมภัยพิบัติงูอยู่นั้น ลูกศิษย์ของสามเขาหลายหมื่นคนรวมตัวกันเป็นกำลังพลยิ่งใหญ่เกรียงไกรบุกเข้าไปในหุบเขาหมื่นอสรพิษอย่างบ้าคลั่ง ครั้นเห็นว่าหุบเขาหมื่นอสรพิษพังถล่ม ไม่เห็นร่องรอยของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มค้นหากันไปทั่วชายฝั่งทิศใต้
นี่เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเอง เป็นการกระทำอันหนึ่งอันเดียวกันของลูกศิษย์ตลอดทั้งชายฝั่งทิศใต้ในเวลานี้ ยังดีที่ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็ว และก็หนีได้เร็ว ไม่อย่างนั้นหากช้ากว่านี้อีกสักนิด เกรงว่าคงถูกดักล้อมเอาไว้แล้ว
“โค่นล้มป๋ายเสี่ยวฉุน!”
“แล้วก็เจ้ากระต่ายพูดได้ตัวนั้นด้วย กำจัดมันไปด้วยกันเลย!”
“โค่นล้มป๋ายเสี่ยวฉุน โค่มล้มกระต่ายพูดได้!”
ตามหากันอยู่หลายชั่วยาม แทบจะพลิกแผ่นดินหากันแล้ว แต่กลับยังหาป๋ายเสี่ยวฉุนไม่พบ ลูกศิษย์แต่ละคนดวงตาแดงก่ำไปหมด หลายคนถึงขั้นออกไปตามหานอกสำนักด้วยซ้ำ ทุกคนยิ่งหงุดหงิดพลุ่งพล่าน คำรามเสียงดังใส่อารมณ์เต็มกำลัง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเราต้องหาเจ้าให้เจอให้ได้!”
“ต่อให้เจ้าไปหลบซ่อนอยู่สุดขอบฟ้า พวกเราก็จะตามหาเจ้าให้เจอ!”
“สมควรตายเอ๊ย เขาไปซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่!” คนมากมายคำรามเสียงแหบเสียงแห้งดังลั่นไปทั่วสี่ทิศ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในเขาจ้งเต้าได้ยินแว่วๆ เช่นกัน ในใจก็ให้สั่นสะท้าน
“ข้าก็กล้ำกลืนเหมือนกันนี่นา ต้องโทษเจ้ากระต่ายสมควรตายนั่นตัวเดียว ข้า ข้า…ข้าก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้สักหน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนเครียด ถอนหายใจเฮือกๆ รออยู่เนิ่นนาน พอเสียงฮือฮาด้านนอกอ่อนกำลังลงมาบ้างเล็กน้อย เขาก็เงยหน้ามองภาพของอาจารย์ด้วยใจหวั่นหวาด
“ท่านอาจารย์ ท่านต้องปกป้องข้าไม่ให้คนร้ายกาจพวกนั้นหาข้าเจอนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเอาหัวโขกพื้น ผ่านไปครู่ใหญ่ เขามองไปยังทางเข้าถ้ำด้วยความเครียดอยู่ตลอดเวลา ได้ยินว่าเสียงด้านนอกเบาลงไปอีกถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ
“ยังดีที่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนฉลาด มาหลบอยู่ในถ้ำหินของท่านอาจารย์ ต่อให้คนพวกนั้นหายังไงก็ไม่มีทางหาเจอว่าข้าอยู่ที่นี่”
“แต่นี่ก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ยังไงก็ต้องออกไป…ทำยังไงดี ทำยังไงดี…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังพึมพำด้วยความปวดหัวอยู่นั้นพลันรู้สึกเหมือนมีสายตาจ้องมองตัวเองอยู่ เขาตะลึงหันขวับไปมอง ทันใดนั้นก็เห็นว่าตรงตำแหน่งปากถ้ำ เวลานี้ กระต่ายพูดได้ตัวนั้นกำลังยืนหูตั้ง…มองมายังตัวเองด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
พริบตาที่มองเห็นกระต่ายตัวนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตาเหลือกถลนโดยพลัน เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าเจ้ากระต่ายตัวนี้จะทำตัวลึกลับซับซ้อนได้ถึงระดับนี้ แม้แต่เขตหวงห้ามก็ยังเข้ามาได้ และพอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงคำพูดที่ตัวเองเพิ่งพึมพำออกไปเมื่อครู่ พลันขนตลอดร่างก็ลุกชัน เปล่งเสียงกรีดร้องโหยหวน
“ไม่! อย่าพูดออกไปนะ…”
กระต่ายตัวนี้พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็วิ่งสวบหายไปไม่เหลือแม้แต่เงา ห่างออกไปไกล เสียงตะเบ็งแผดลั่นของมันดังออกมาอีกครั้ง นอกจากประโยคพวกนั้นแล้ว เวลานี้ได้มีเพิ่มเข้ามาอีกหลายประโยค
“ท่านอาจารย์ ท่านต้องปกป้องข้าไม่ให้คนร้ายกาจพวกนั้นหาข้าเจอนะ…”
“ยังดีที่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนฉลาด มาหลบอยู่ในถ้ำหินของท่านอาจารย์ ต่อให้คนพวกนั้นหายังไงก็ไม่มีทางหาเจอว่าข้าอยู่ที่นี่”
“แต่นี่ก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ยังไงก็ต้องออกไป…ทำยังไงดี ทำยังไงดี…”
“ไม่! อย่าพูดออกไปนะ…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงมาบนร่าง มองเจ้ากระต่ายที่วิ่งปรู๊ดห่างออกไปด้วยความอึ้งตะลึง หูได้ยินเสียงแหลมเล็กที่เจ้ากระต่ายนั่นตะเบ็งออกมา ในสมองเขาเกิดเสียงดังอื้ออึง เซ่อไปทั้งตัว
“เจ้ากระต่ายสมควรตาย ข้าจะถลกหนังเจ้าทั้งเป็น!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค้นเคืองและสิ้นหวัง อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก คำรามเดือดดาลอย่างเศร้าระทม
เวลานี้ลูกศิษย์ของชายฝั่งทิศใต้แต่ละเขาตามหาไปทั่วทุกที่แต่กลับไม่เจอร่องรอยของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ละคนสะกดกลั้นความโมโห พากันคาดเดาว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไปอยู่ที่ไหน
“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่ไปหลบอยู่ที่ไหน แม้แต่ประตูหน้าเขาพวกเราก็ไปตรวจสอบมาแล้ว ไม่พบบันทึกว่าเขาออกไปข้างนอก แสดงว่าเขาต้องยังหลบอยู่ในชายฝั่งทิศใต้แน่นอน!”
“เขาเซียงอวิ๋น เขาชิงเฟิง เขาจื่อติ่ง พวกเราหาทั่วหมดแล้วทุกเขต ทุกที่พัก ทุกถ้ำสถิต!!”
“แม้แต่ฝ่ายนักการพวกเราก็ไปค้นหาอยู่ตั้งหลายรอบ หรือเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่จะมุดเข้าไปอยู่ในรูก้อนหินเสียแล้ว!!”
แต่ขณะที่พวกเขาพากันสะกดกลั้นความโกรธเพราะหาป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เจออยู่นั้นเอง ทันใดนั้นเสียงของกระต่ายที่ตะโกนลั่นก็ดังไปทั่วสี่ทิศตามเส้นทางที่มันห้อตะบึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่แฝงไว้ด้วยความระทมทุกข์สิ้นหวัง
“ไม่! อย่าพูดออกไปนะ…”
หลังจากทุกคนได้ยินก็อึ้งงันกันไปหมด จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นพรวด ประกายเฉียบคมในดวงตาคล้ายจะโหมซัดสาดเป็นคลื่นยักษ์ โดยเฉพาะพวกซ่างกวานเทียนโย่วและหลู่เทียนเหล่ยก็ยิ่งกำหมัดแน่น คำรามออกไป ตามด้วยลูกศิษย์ทุกคนที่ล้วนเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง
“กระต่ายดี!!”
“เจ้ากระต่ายพูดได้ตัวนี้เกกมะเหรกเกเร แต่ในที่สุดก็ทำดีให้เห็นแล้ว!”
“เอาเถอะ วันนี้จะไม่ฆ่าเจ้ากระต่ายพูดได้ตัวนี้แล้ว ไปฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนแทน…”
ไม่นานคนหลายหมื่นก็บุกมาที่เขาจ้งเต้า แต่ละคนกำหมัดเตรียมพร้อม ไอสังหารตลบอบอวล เคลื่อนพลด้วยเสียงดังเลือนลั่น
ในถ้ำหิน ความเกลียดแค้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีต่อกระต่ายพูดได้ตัวนั้นเกินกว่าที่มีให้กับนกของผู้เฒ่าโจวแล้ว ตอนนี้ตัวของเขาสั่นเทิ้ม ขณะกำลังจะหนีออกไป แต่กลับได้ยินเสียงอื้ออึงจากตีนเขา มองเห็นเงาร่างของคนเหลือจะนับ หนังหัวของเขาก็พลันชาหนึบ รีบหลบเข้าไปในถ้ำหินอีกครั้ง
“จบกันๆๆ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวดมองรูปภาพอาจารย์ รู้สึกเจ็บแค้นขึ้นมา
“ท่านอาจารย์ ท่านต้องช่วยข้านะ รีบพาแสงแห่งวิญญาณของท่านมาที่นี่เถอะขอรับ ไม่อย่างนั้นล่ะก็…ลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติที่เคยหลั่งเลือดเพื่อสำนักเช่นข้าต้องถูกตีตายแน่แล้ว…หืม?” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังหมดหวังอยู่นั้น พลันดวงตาของเขาก็กลอกไปมาหนึ่งที หลังจากมองรูปภาพอย่างละเอียด นัยน์ตาก็เปล่งประกายแสงวิบวับ ตบขาตัวเองป้าบใหญ่
“ฮ่าๆ ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยเตือน ศิษย์เข้าใจแล้ว!”
เวลาเดียวกันนั้น ในตำหนักใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่ของเจิ้งหย่วนตงบนเขาจ้งเต้า ตอนนี้ผู้นำและผู้อาวุโสของชายฝั่งทิศใต้ทั้งสามเขาล้วนมารวมตัวกัน แต่ละคนมองมายังเจิ้งหย่วนตงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
พวกเขามาที่นี่ได้หนึ่งชั่วยามแล้ว ต่างก็เอ่ยปากแสดงความคิดเห็นที่ตนเองมีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนให้เจิ้งหย่วนตงทราบ
“ขอท่านเจ้าสำนักโปรดใคร่ครวญให้ดี ศิษย์…ศิษย์น้องป๋ายพรสวรรค์โดดเด่นหลากหลาย หากเอาไว้ที่ชายฝั่งทิศใต้ของเราก็ช่างเป็นการกดให้จมปลักยิ่งนัก”
“ใช่แล้ว แม้ว่าศิษย์น้องป๋ายจะเป็นศิษย์น้องของท่านเจ้าสำนัก แต่ทุกคนก็เป็นคนสำนักเดียวกัน ไม่ควรหลีกเลี่ยงรังเกียจกัน นักพรตที่มากด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ควรจะให้ไปอยู่ชายฝั่งทิศเหนือที่ครอบครองข้อได้เปรียบนับไม่ถ้วน ถึงจะสามารถแสดงศักยภาพในพรสวรรค์อันน่าตื่นตะลึงของศิษย์น้องป๋ายได้”
นอกจากผู้นำของทั้งสามเขาแล้ว ผู้อาวุโสทั้งหมดก็พากันเอ่ยปากด้วย
เจิ้งหย่วนตงรู้สึกปวดหัวอย่างมาก สองปีมานี้กว่าที่เขาจะรู้สึกว่าสำนักธาราเทพอยู่อย่างสงบสุขแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย แต่นึกไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะสร้างเรื่องมาปั่นป่วนอีกครั้ง คราวนี้หุบเขาหมื่นอสรพิษเกิดจลาจล แต่ละภาพที่ได้เห็นนั้นแม้จะเป็นเจิ้งหย่วนตงเองก็ยังรู้สึกขนพองสยองเกล้า นับถือความสามารถในการสร้างหายนะของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแท้จริง
ในใจเขาคิดว่าบุคคลประเภทนี้ให้อยู่ที่ชายฝั่งทิศใต้ต่อไปเถอะ ยังไงซะเดิมก็เป็นศิษย์ของชายฝั่งทิศใต้อยู่แล้ว ขนาดชายฝั่งทิศใต้เองยังเป็นขนาดนี้ หากจะสร้างหายนะต่อไปเกรงว่าคงไม่อเนจอนาถไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว แต่ถ้าเอาไปโยนไว้ที่ชายฝั่งทิศเหนือ แล้วป๋ายเสี่ยวฉุนไปสร้างหายนะให้กับชายฝั่งทิศเหนืออีก…เกรงว่าต่อไปคนที่มาหาตัวเองคงจะเป็นผู้นำและผู้อาวุโสทุกคนของทั้งชายฝั่งเหนือใต้
“แม้ว่าศิษย์น้องป๋ายจะเกเร แต่เขาก็เป็นลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรตินะ อะแฮ่ม เขายังเด็ก เอาไว้ที่ชายฝั่งทิศใต้นี่แหละ ข้ามั่นใจในชายฝั่งทิศใต้อย่างยิ่ง” เจิ้งหย่วนตงไอแห้งๆ หนึ่งที รีบเอ่ยปาก
“ขอท่านเจ้าสำนักโปรดเมตตา…” ในกลุ่มคน ผู้เฒ่าโจวเดินออกมา ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ มองไปที่เจิ้งหย่วนตง
“ท่านเจ้าสำนัก เสี่ยวฉุนเด็กคนนี้เรียนรู้วิชาเขตแดนธารา วิชายุทธ์นี้ท่านเองก็รู้ เดิมควรจะไปสังเกตและศึกษาร้อยสัตว์ที่ชายฝั่งทิศเหนือ อีกทั้งหมื่นปีมานี้คนที่ฝึกวิชายุทธ์นี้ได้สำเร็จก็มีไม่มาก ข้าสังเกตด้วยตัวเองพบว่าป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกสำเร็จเข้าขั้นต้นแล้ว ขาดแค่จิตวิญญาณแห่งชะตาตนเท่านั้น ข้าว่า…ให้เขาไปที่ชายฝั่งทิศเหนือจะดีกว่า” หลี่ชิงโหวกำหมัดประสาน เอ่ยปากอย่างปลงๆ
“นั่นสิ ท่านเจ้าสำนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกวิชาเขตแดนธารา ตัวเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ เริ่มเห็นหนทางสว่างไสวแล้ว จากที่ดูในประวัติศาสตร์ของสำนักธาราเทพเรา นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ เลยนะ!”
“ท่านเจ้าสำนักอย่าได้ฉุดรั้งศิษย์น้องป๋ายเลย นี่จะกลายมาเป็นความสูญเสียยิ่งใหญ่ตลอดหมื่นปีมานี้ของสำนักเชียว!” ผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำของเขาชิงเฟิงก็รีบเอ่ยปากขึ้นมาเช่นกัน ตามมาด้วยผู้อาวุโสรอบด้านที่ก็พากันเกลี้ยกล่อมขึ้นมา
เห็นว่าทุกคนดึงดันกันถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นเจิ้งหย่วนตงเองก็ไม่สามารถตัดสินใจโดยพละการได้ หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่เขาก็ยิ้มเจื่อนมองทุกคน ขณะที่กำลังคิดหาวิธีปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม ทันใดนั้นนอกตำหนักก็มีเสียงตะลึงพรึงเพริดของลูกศิษย์ดังลอยมา
“ท่านเจ้าสำนัก เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ…อาจารย์อาป๋ายเขาอยู่ในถ้ำหินของท่านบรรพบุรุษ…เขา…เขา…”
ทุกคนตะลึงงัน พากันกวาดจิตสัมผัสมองไปยังถ้ำหิน เมื่อมองเห็นอย่างชัดเจนก็ล้วนทำสีหน้าปูเลี่ยน เจิ้งหย่วนตงรู้สึกถึงลางร้าย รีบกวาดพลังจิตมองไปทันที หลังจากที่มองเห็นถ้ำหินของอาจารย์แล้วเขาก็พลันเบิกตากว้าง ลูกตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ไฟโทสะโหมไหม้ขึ้นมา
“ไอ้เจ้าลูกหมา ดี เรื่องที่พวกเจ้าพูดข้าเห็นด้วยแล้ว ส่งเขาไปชายฝั่งทิศเหนือ!!”
———-