บทที่ 366 ไร้ยางอาย ขี้โกง
สามสำนักคลุ้มคลั่ง ใจอยากจะเข้าไปขัดขวาง ทว่าตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเลือกคือทางตัน พลังกักกันของที่นั่นรุนแรงมากที่สุด พวกเขาไปไม่ได้…
ทำได้เพียงมองเต่าใหญ่เต่าเล็กสองตัวนั้นเดินห่างออกไปไกลคาตาของพวกเขา หนึ่งพันสามร้อยจั้ง หนึ่งพันหกร้อยจั้ง จนกระทั่งถึงสองพันจั้ง นั่นคือขอบเขตห่างไกลที่พวกเขาไม่อาจไปถึง
“สองพัน…สองพันจั้ง!!”
“สมควรตายเอ๊ย ไอ้หมอนี่มันเข้าไปในขอบเขตสองพันจั้งได้อย่างไร นี่ไม่เท่ากับว่า เขา…เขาเดินนำหน้าสำนักธารมรรคาไปแล้ว และจะกลายมาเป็นคนแรกสุดที่ได้สัมผัสกับตราประทับหรอกหรือ!!”
หลังจากในสามสำนักมีคนตั้งตัวได้ เสียงฮือฮาด้วยความเหลือเชื่อก็ดังขึ้นอย่างดุเดือดทันที ทั้งยิ่งมากด้วยความริษยาและไม่ยอมแพ้
ในพื้นที่สองพันจั้งนั้นมีเวทคาถาถี่ยิบ แทบจะเรียกได้ว่าไม่ต่างจากฝนที่ร่วงโครมครามลงมาอย่างต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดชะงัก ค่อยๆ ยกหม้อกระดองเต่าขึ้นโผล่ให้เห็นเป็นช่องโหว่หนึ่งช่อง มองด้านนอกด้วยความรอคอย
เขาเองก็ได้ยินเสียงฮือฮาจากนักพรตสามสำนักแว่วๆ เหมือนกัน ทว่ายิ่งพวกเขาเป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งมีความสุข เวลานี้ขณะที่กำลังลำพองใจ ทันใดนั้นขุนเขาแห่งตราประทับก็สั่นไหว ตราประทับชิ้นหนึ่งบินพรวดออกมาด้านนอกแล้วหมุนวนอย่างรวดเร็ว หลังจากบินวนไปได้หลายรอบก็เข้ามาใกล้ตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่
“ฮ่าๆ คราวนี้ไม่มีใครมาแย่งกับข้าแล้วสินะ ตราประทับ มา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งเสียงหัวเราะยาวเหยียดอยู่ใต้กระดองเต่า มือขวายกขึ้นทำมุทราแล้วชี้ไปยังตราประทับที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
ตราประทับของขุนเขาแห่งนี้แข่งกันที่ใครอยู่ใกล้ที่สุด ฝ่ายที่อยู่ใกล้สุดจะมีโอกาสช่วงชิงไปได้มากสุด เวลานี้ไม่มีใครมาแย่งชิงกับป๋ายเสี่ยวฉุน พอตราประทับบินมา จึงตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วหายวับเข้าไปในกระดองเต่าทันที
“หนึ่งชิ้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนปิติยินดีเป็นล้นพ้น
นักพรตทั้งสามสำนักล้วนเห็นภาพเหตุการณ์นี้กันทั้งหมด แต่ละคนตาแดงก่ำราวกระต่าย โดยเฉพาะคนของสำนักธารมรรคาที่ยิ่งคลั่ง ระเบิดตบะทั้งหมดกระตุ้นยักษ์ตนนั้น พยายามเคลื่อนหน้าไปอีกครั้ง ทว่าไม่นานก็มีตราประทับอีกหนึ่งชิ้นบินออกมาจากภูเขา หลังจากบินวนอยู่หลายรอบก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนดูดดึงเอาไปอีกครั้ง เสียงคำรามเกรี้ยวกราดของสามสำนักจึงดังกึกก้อง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ารนหาที่ตาย!!”
“ไม่ยุติธรรม!!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าทำเกินไปแล้ว!!”
ขณะที่เสียงคำรามเดือดดาลดังก้อง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งคลอเพลงเสียงดังมากขึ้น รออยู่ใต้กระดองเต่าครู่เดียว ตราประทับชิ้นที่สามก็บินออกมา หลังจากถูกเขาดูดดึงไปอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกพอใจอย่างยิ่งยวด
“รออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน มาอันหนึ่งก็ดูดอันหนึ่ง หึหึ” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งฮึกเหิมเข้าไปใหญ่ รู้สึกว่าตัวเองช่างร้ายกาจยิ่งนัก แถมยังถึงขั้นคิดจะสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ จากนั้นก็หยิบเอากระจกขึ้นมาถามเย่จั้งตัวปลอมว่าใครกันที่ร้ายกาจที่สุด
แต่ยังดีที่เขารู้ว่าตรงนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมนัก นั่นถึงทนข่มความต้องการลงไปได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนปลอดโปร่งโล่งสบายถึงขีดสุด ทว่านักพรตของสามสำนักกลับถูกยั่วยุอย่างสมบูรณ์แบบ
พวกเขามองออกแล้วว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป ผลพวงที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะได้รับ เกรงว่าคงสามารถสร้างเรื่องปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้เลย ส่วนพวกเขาที่อยู่ในเรื่องปาฎิหาริย์ครั้งนี้ก็จะกลายมาเป็นความอัปยศของทั้งสำนักไม่เคยมีมาหลายปี!
โดยเฉพาะสำนักธารมรรคาที่เวลานี้กดดันมากที่สุด ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจรวมโอสถหลายสิบคนพากันระเบิดพลังแฝงทั้งหมดออกมาโดยไม่คิดเสียดายค่าตอบแทน หลังจากที่ทำให้ร่างของยักษ์ตนนั้นยิ่งชัดเจนและใหญ่โตมากขึ้นแล้ว ยักษ์ตนนั้นก็เป่าลมหนึ่งครั้ง ผลักให้นักพรตของสำนักธารมรรคาเคลื่อนหน้าไปอีกห้าร้อยกว่าจั้ง
ส่วนสำนักธารอันตและสำนักธารดาราก็ทุ่มสุดกำลังเช่นกัน พากันกัดฟันห้อตะบึงไปพร้อมเสียงคำราม
พลังอำนาจของสามสำนักเกรียงไกร แถมยังมีนักพรตหลายคนหยิบเอาอาวุธวิเศษออกมาร่ายวิชาอภินิหาร ไม่เพียงแต่อาศัยกำลังของคนจำนวนมากเข้าไปใกล้ ทั้งยังร่ายพลังของตัวเองออกมาด้วย พยายามเขยิบเข้าไปในจุดลึกของพื้นที่ต้องห้ามอย่างรวดเร็ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจไปกับพลังอำนาจที่สามสำนักระเบิดออกมาฉับพลัน มองเห็นว่าทั้งสามสำนักใกล้จะตามมาทันแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็โมโหขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
“ข้าอุตส่าห์มาหลบอยู่ตรงนี้แล้ว พวกเจ้ายังคิดจะมาแย่งข้าอีก รังแกกันเกินไปแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวอย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็กัดฟันแบกกระดองเต่าคลานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เจ้าเต่าน้อยที่ตามมาด้านหลังหัวเราะคิกคัก ตลอดทางที่คลานมานี้มันรู้สึกว่าช่างสนุกยิ่งนัก
เวลาผ่านไป ท่ามกลางการคลานนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน เขายังไม่ลืมดูดซับเอาตราประทับมาด้วย หลังจากตราประทับชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกเขาดูดมาได้
สำนักธารมรรคาก็มาถึงระยะสองพันจั้ง สำนักธารอันตตามหลัง หรือแม้แต่สำนักธารดาราเองก็ยังมาไกลถึงหนึ่งพั้นสองร้อยกว่าจั้ง ทั้งสามสำนักก็ถึงขีดจำกัดแล้วจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเคลื่อนหน้าต่อไปได้อีก ทว่าเมื่อพวกเขามองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนกลับค้นพบอย่างสิ้นหวังว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนคลานไปไกลถึงสามพันจั้งแล้ว
แถมยังไม่หยุดเคลื่อนหน้า…ไม่นานก็ห่างไปสามพันห้าร้อยจั้ง สี่พันจั้ง…
ระยะห่างที่เกินหนึ่งเท่าตัวขึ้นไปทำให้สำนักธารมรรคาสิ้นหวังอย่างแท้จริง สำนักธารอันตขมขื่น สำนักธารดาราโกรธจนแทบบ้า พวกเขาได้แต่มองเห็นตราประทับชิ้นแล้วชิ้นเล่าที่แค่บินออกมาก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนดูดเอาไปทันที ภาพนี้ทำให้ทุกคนล้วนเกิดความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงในระดับที่มิอาจพรรณนาได้
“สี่พัน…สี่พันจั้ง…”
“นี่ไม่ใช่ความจริง…” นักพรตสามสำนักเป็นบ้ากันไปหมด จนถึงกระทั่งตอนนี้ สำนักธารดาราเพิ่งจะได้ตราประทับมาสองชิ้น สำนักธารอันตมากหน่อยคือได้มาสามชิ้น ส่วนสำนักธารมรรคามากสุด ได้มาห้าชิ้น…
ทว่าที่เหลือล้วนถูกป๋ายเสี่ยวฉุนดูดเอาไปคนเดียวทั้งหมด…
หากเพียงแค่ดูดเอาไปอย่างเดียวก็ยังว่าไปอย่าง แต่นี่เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับดังออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อย้ำเตือนให้ทุกคนรู้ถึงปริมาณที่เขาดูดเอาไป
“สามสิบเอ็ดชิ้น!”
“สามสิบเจ็ดชิ้น!”
“สี่สิบสามชิ้น!”
ตลอดทั้งขุนเขาแห่งตราประทับโยกไหวอย่างรุนแรง นับแต่อดีตมาจนถึงตอนนี้ ครั้งใดก็ตามที่มีการเปิดใช้สถานที่ล้วนไม่มีใครได้เข้ามาใกล้อย่างป๋ายเสี่ยวฉุน
ทำให้ขณะที่ขุนเขาแห่งตราประทับสั่นสะเทือนจึงมีตราประทับจำนวนมากทยอยกันบินออกมาไม่ขาดสาย
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งดูดยิ่งดีใจ หันกลับไปกวาดตามองหนึ่งครั้ง หลังจากพบว่าทั้งสามสำนักล้วนอยู่ห่างจากตัวเองไปไกลโข ในใจเขาก็ผ่อนคลายสบายอารมณ์ยิ่งนัก ถือโอกาสคลานไปด้านหน้าต่อ คลานไปพลางดูดไปด้วย
“สี่สิบเจ็ดชิ้น!”
“ห้าสิบสามชิ้น!”
“ห้าสิบแปดชิ้น!”
เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังกังวานเป็นระยะ เข้าไปใกล้ขุนเขาแห่งตราประทับมากขึ้นเรื่อยๆ นักพรตสามสำนักมองภาพนี้มาจากที่ไกลๆ ในใจพวกเขาก็คล้ายมีสัตว์ร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนห้อตะบึงผ่าน ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาได้เผยไอสังหารที่บ้าคลั่งออกมาแล้ว ราวกับว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่ตรงหน้า ต่อให้กติกาจะไม่อนุญาตแต่ก็ต้องฆ่าเขาให้ได้
“หุบปาก!!”
“บัดซบเอ๊ย เจ้ามันไร้ยางอาย ขี้โกง!!”
“ข้าจะฆ่าเจ้า!!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่แยแส หลังจากได้ยินเสียงเหล่านั้น เขาก็หมุนตัวอยู่ในหม้อกระดองเต่า ยกหม้อกระดองเต่าด้านหลังขึ้น มองไปยังนักพรตสามสำนักแล้วตะเบ็งเสียงดัง
“พวกเจ้ากล้ามาต่อสู้กับข้าที่ยอดเขาหรือเปล่า กล้าไม่กล้า มาสิ ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ตรงนี้!”
ประโยคนี้ของเขาดังออกมาก็ราวกับราดน้ำมันลงไปบนกองไฟ ชักนำให้เกิดเสียงคำรามเดือดดาลจากสามสำนักได้ทันที โดยเฉพาะเฉินอวิ๋นซานที่ยิ่งสีหน้าบูดเบี้ยว ดวงตาราวกับพ่นไฟได้
“ทำไมไม่มีใครมาเลยล่ะ? หรือไม่…พวกเจ้าก็เข้ามาพร้อมกันเลย ข้าจะรอสู้กับพวกเจ้าตัวต่อตัวตรงนี้ดีไหมล่ะ…นายท่านป๋ายรอลำบากมากเลยนะเนี่ย…เฮ้อ ยอดฝีมือมักจะเงียบเหงาเสมอ ทิวทัศน์ตรงนี้สวยมากเลย น่าเสียดายที่พวกเจ้าไม่กล้ามา” ป๋ายเสี่ยวฉุนรออยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวพร้อมถอนหายใจ จากนั้นก็ดูดตราประทับอีกครั้งและอีกครั้ง
“ชิ้นที่ห้าสิบเก้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรายงานตัวเลขด้วยความเคยชิน มองเห็นว่าขุนเขาแห่งตราประทับอยู่ใกล้กับตัวเองมาก เขาก็ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง อยากรู้ว่าหากเข้าไปใกล้อีกนิดจะเป็นอย่างไร สุดท้ายอดใจไม่ไหวจึงแบกหม้อกระดองเต่าค่อยๆ คลานเข้าไปใกล้อีกครั้ง
เวลาเดียวกันนั้น ท่ามกลางความคลุ้มคลั่งของนักพรตสามสำนัก พวกเขามิอาจยืนหยัดอยู่ได้นานนัก จึงค่อยๆ ถอยห่างออกไปจากภูเขาลูกนั้น ส่วนนอกพื้นที่สืบทอด ความคลุ้มคลั่งนี้ก็มีอยู่ไม่ต่างกัน แถมยังมากกว่าด้วยซ้ำ
บนค่ายกลหินยักษ์ จุดแสงทั้งสี่ที่เป็นตัวแทนของสี่สำนัก แรกเริ่มสุด หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ตราประทับชิ้นแรกมาครอง จุดแสงของสำนักสยบธารก็พลันสว่างวาบ
เมื่อแสงนั้นสว่างขึ้น พวกหันจงสามคนปิติยินดีขึ้นมาทันใด ในใจคนทั้งสามตื่นเต้น เรื่องนี้เป็นตัวแทนเกียรติยศของทั้งสำนัก หลังจากที่พวกเขาเปรียบเทียบกับจุดแสงของสามสำนักดูแล้วก็วิเคราะห์ได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคงได้รับตราประทับชิ้นแรกมาครอง
“แค่อีกชิ้นเดียว ครั้งนี้พวกเราก็ไม่เสียเปรียบแล้ว!” ชื่อหุนสูดลมหายใจเข้าลึก กำหมัดแน่น ผู้เฒ่าผมแดงของสำนักธารดาราที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลใจหล่นลงดังโครม ขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ก็คลายออกอย่างรวดเร็ว
“ยินดีกับสำนักสยบธารด้วย โชคดีไม่น้อย ได้รับตราประทับหนึ่งชิ้น แต่ความโชคดีแบบนี้เกรงว่าคงมิอาจดำรงอยู่ได้นาน…” ผู้เฒ่าผมแดงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง เพิ่งจะพูดมาถึงตรงนี้ ยังไม่ทันพูดจบ
ทันใดนั้นจุดแสงของสำนักสยบธารก็พลันสว่างขึ้นมาอีกครั้ง และยังไม่สิ้นสุด ทั้งในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ยังสว่างขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็แซงหน้าจุดแสงของสำนักธารดาราไป
ภาพนี้ทำให้ก่อกำเนิดทั้งสามสำนักตะลึงลาน นักพรตก่อกำเนิดของสำนักธารดาราก็ยิ่งทำหน้าเหลือเชื่อ
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!”
ไม่เพียงพวกเขาเท่านั้นที่อึ้งงัน พวกหันจงสามคนเองก็ตะลึงค้างเช่นกัน มองจุดแสงที่สว่างไสวอย่างต่อเนื่อง พวกเขาสามคนมองหน้ากัน ต่างก็รู้สึกคาดไม่ถึง
ผู้เฒ่าผมแดงสีหน้าน่าเกลียดถึงขีดสุด นัยน์ตายิ่งมากด้วยความแค้นเคือง รู้สึกว่าลูกศิษย์ที่เข้าไปมีแต่พวกเศษสวะ ขณะที่กำลังคิดว่าจะกลับคำอย่างไร ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นจุดแสงของสำนักสยบธารก็เพิ่มความสว่างขึ้นพรวดพราด!
ไม่มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทว่าในสมองของทุกคนที่มองเห็นภาพนี้ เวลานี้กลับคล้ายมีเสียงกัมปนาทดังสะท้อน จุดแสงของสำนักสยบธารสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ พริบตาเดียวก็แซงหน้าสำนักธารอันต!
เจินเหรินก่อกำเนิดหลายคนของสำนักธารอันตล้วนหน้าเปลี่ยนสี
และไม่นานก็แซงหน้าสำนักธารมรรคาไปอีก ผู้เฒ่าผมขาวของสำนักธารมรรคาถึงกับลุกพรวดขึ้นเดินออกไปหนึ่งก้าว จ้องเขม็งไปยังจุดแสง
แล้วทุกคนก็ต้องหน้าเผือดสีอย่างรวดเร็ว ทุกคนคลุ้มคลั่ง…อย่างสมบูรณ์แบบ โดยที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้!
จุดแสงของสำนักสยบธารยิ่งเพิ่มระดับสว่างไสวต่อเนื่อง ความเร็วในการเพิ่มขึ้นของแสงสว่างนั้นทำให้ทุกคนอกสั่นขวัญแขวนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง!



