Skip to content

A Will Eternal 649

บทที่ 649 โล่มนุษย์

“ยังจะขู่ข้าอีก เจ้ากล้าคุกคามข้าเชียวรึ อย่ามาบีบข้านะ ข้าเป็นถึงแส้ทมิฬอันดับหนึ่งแห่งคุกมาร หากข้าระเบิดโทสะเมื่อใด แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนดื่มด่ำไปกับความรู้สึกสะใจเช่นนี้มาก เมื่อเห็นว่าราชาผียักษ์ถึงขั้นกล้าข่มขู่ตนเขาก็เดือดปรี๊ดทันที ดวงตาถลึงขึงขัง มือขวาวางบนถุงเก็บของ กำลังคิดว่าควรจะเอายากระสันซ่านกรอกปากราชาผียักษ์ดีหรือไม่

ราชาผียักษ์เห็นสีหน้าคลุ้มคลั่งรวมไปถึงประกายวาววับในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตกใจทันที ไพล่นึกไปถึงเรื่องที่ตัวเองเคยได้ยินมาว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคือแส้ทมิฬของคุกมารแห่งนี้ เขาก็ให้ชิงชังนัก เมื่อคิดว่าตนเป็นถึงผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพ เป็นถึงราชาผียักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้กลับต้องมาถูกบุคคลตัวเล็กๆ ผู้นี้ทารุณกรรม เขาก็กัดฟันกรอดพร้อมร่างที่สั่นสะท้าน บอกตัวเองให้ข่มอารมณ์ลงอีกครั้ง

“ป๋ายฮ่าว เจ้ามีเป้าหมายอะไรกันแน่ พูด! หรือว่าที่เจ้าทรยศต่อตระกูลป๋ายก็เพราะมีแผนชั่วร้าย!!” ราชาผียักษ์พยายามควบคุมความเดือดดาลของตัวเอง ปรับน้ำเสียงของตนให้ราบเรียบแต่ไม่เสียความน่าเกรงขาม แม้ว่าตอนที่พูดดวงตาทั้งคู่ของเขาจะหรี่ลง ทว่าสายตากลับมองไปที่มือของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจเคียดแค้นถึงขีดสุด กลัวว่าหากไปกระตุ้นอารมณ์ป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วจะโดนตบหัวอีกรอบ

“แผนชั่วร้ายบ้าบออะไรกัน ราชาผียักษ์เจ้าจงฟังข้าให้ดี นายท่านป๋ายของเจ้าต้องการ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะพูดมาถึงตรงนี้ ยังไม่ทันเอ่ยจบ ทันใดนั้นคุกทั้งเขตติงก็สั่นสะเทือน ประตูใหญ่ที่ห่างไปไกลสั่นไหวเหมือนกำลังถูกคนโจมตี

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าตรงประตูใหญ่มีเสียงกัมปนาทดังสะท้านฟ้าขึ้นมาอีกครั้ง ครั้นจึงระเบิดกระจาย ก่อนที่เงาร่างมากมายจะพุ่งทะยานกรูเกรียวกันเข้ามา

ทั้งยังมีเสียงคำรามกร้าวด้วยความโกรธแค้นราวกับมิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้ที่พลันดังสะท้านไปสี่ทิศ

“ป๋ายฮ่าว!! เวลาตายของเจ้ามาถึงแล้ว!!”

คนที่พูดก็คือประมุขตระกูลป๋าย ข้างกายเขายังมีคนตระกูลป๋ายติดตามมาด้วยอีกไม่น้อย ยามนี้กำลังบุกเข้ามาในคุกเขตติง!

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี เจ้าเต่าน้อยเองก็หน้าซีดเผือดเหมือนกัน รีบส่งข้อความเสียงมาทันที

“เอาสินค้าหนีไปก่อน พวกเขามาถึงเร็วเกินไป นายท่านเต่าใกล้จะควบคุมค่ายกลของที่นี่ไม่อยู่แล้ว!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนอ้าปากหอบหายใจ พริบตาเดียวก็กลับคืนสู่ความสงบ ดวงตาทั้งคู่มีประกายความเย็นวาบผ่าน ก่อนจะเอื้อมมือคว้าคอของราชาผียักษ์อย่างไม่ลังเล ขยับร่างหนึ่งครั้งแล้วห้อทะยานจากไปด้วยความเร็วสูงสุด

“ไอ้หนูป๋าย เอาป้ายคำสั่งมาให้ข้า แม่งเอ๊ย ไอ้คนพวกนี้บังอาจมาทำลายช่วงเวลาดีๆ ในการปล้นเทพของพวกเรา นายท่านเต่าจะไปเปิดห้องขังทั้งหมด คลายผนึกให้พวกนักโทษแล้วให้เล่นงานพวกมันแม่งเลย!” เจ้าเต่าน้อยแผดเสียงตะโกน

“ไม่ได้นะ…ถ้าเจ้าปล่อยพวกนักโทษออกมาแล้วคลายผนึกให้พวกเขา เกรงว่า…พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ไปตีกับคนตระกูลป๋าย อาจจะยังมีหลายคนตรงมาเล่นงานข้าด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเสีย เขาเป็นแส้ทมิฬ นักโทษในห้องขังเหล่านี้ไม่ว่าคนใดก็ตามที่เคยถูกเขาสอบสวนย่อมเกลียดแค้นตนไม่น้อยไปกว่าคนตระกูลป๋ายแน่นอน…

ได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าเต่าน้อยก็ถึงกับมองเซ่อ ป๋ายเสี่ยวฉุนคับแค้นเจ็บใจ ส่ายหัวห้ามปรามมัน แล้วพาราชาผียักษ์ห้อตะบึงออกไป

“ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ พวกเราก็ฝ่าออกไปเลย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามดัง ร่างบังเกิดเงาทับซ้อน ร่างจำแลงทั้งสี่ของเขาปรากฏขึ้นในเวลาเดียวกัน เนื่องจากตบะแผ่ขยาย อาวุธทั้งหมดที่มีในร่างของเขาจึงสำแดงความน่าครั่นคร้ามออกมา แม้ว่าลายเส้นสีทองที่ผ่านการหลอมพลังจิตสิบสี่ครั้งจะถูกอำพรางเอาไว้ ทว่าอาวุธวิเศษระดับนี้เดิมทีก็มีพลังอำนาจมากพอที่จะสร้างความสะเทือนขวัญให้แก่ผู้คนอยู่แล้ว

ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทุกคนของตระกูลป๋ายที่พุ่งเข้ามาฆ่าก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนทันที ประมุขตระกูลป๋ายตาแดงก่ำ ร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งแล้วกระโจนเข้าใส่ ผู้อาวุโสในตระกูลอีกสี่ห้าคนที่อยู่ด้านหลังเขาล้วนมีตบะก่อกำเนิด และมีไม่น้อยที่เป็นรวมโอสซึ่งต่างก็แผ่พลานุภาพกลบมิดทั้งฟ้าดิน!

“ป๋ายฮ่าว ตายซะเถอะ!!” ประมุขตระกูลป๋ายบินมาอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีว่าวิกฤตครั้งนี้ตนจะถูกรั้งตัวไว้ไม่ได้ ต้องรีบหนีไปให้ไว ท่ามกลางเสียงคำราม เขาจึงระเบิดความเร็วทุกด้าน ไอความเย็นก็ยิ่งแผ่ออกมา ชนาเขย่าภูเขาถูกร่ายใช้ พุ่งชนตรงไปข้างหน้าเสียงดังตูมตาม

ขณะเดียวกันเจ้าเต่าน้อยก็รู้ดีว่าที่นี่มีอันตรายสูง มันร้องโหวกเหวกเสียงดัง ก่อนจะหดหัวกลับเข้ามาแล้วติดตามป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งชนไปด้านหน้า

พริบตาเดียวก็ชนเข้ากับคนของตระกูลป๋ายอย่างจัง

ปล่อยให้วิชาอภินิหารของตระกูลป๋ายตกกระทบลงบนร่างจำแลงทั้งสี่ ตัวจริงของป๋ายเสี่ยวฉุนยกเท้าขึ้นถีบ ทำเอาผู้อาวุโสก่อกำเนิดคนหนึ่งถูกถีบกระเด็นออกไปหลายสิบจั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้หยุดชะงัก ร่างจำแลงทั้งสี่พร้อมใจกันโจมตีใส่ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่ง ส่วนตัวจริงของเขากลับหมุนตัวมาต้านรับวิชาอภินิหารต่างๆ แล้วทันใดนั้นก็ร่ายตรวนสลายลำคอ ก่อนจะยื่นไปที่ลำคอของคนผู้หนึ่งในตระกูลป๋ายซึ่งลอบโจมตีเขา บีบดังกร๊อบทีเดียวลำคอของอีกฝ่ายก็แหลกสลาย!

ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในเวลาชั่วสายฟ้าแลบ ไม่นานการเข่นฆ่าอันดุเดือดก็ปะทุขึ้น!

เสียงตูมตามเขย่าคลอนไปแปดด้าน พลังโจมตีที่เกิดขึ้นก็ยิ่งซัดหลุนๆ ออกไปรอบทิศ พริบตาเดียวลมพายุบ้าคลั่งก็ก่อตัวแล้วหมุนคว้างม้วนตลบทุกสิ่ง!

ทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนมีสีทองอร่ามเปล่งประกาย ร่มราตรีนิรันดร์ที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ถูกเขาหยิบออกมา ขณะที่ทะยานตัวไปด้วยความเร็วสุดฝีเท้า ร่มราตรีนิรันดร์ก็ถูกเขายกขึ้นแทงไปที่หน้าอกของคนตระกูลป๋ายผู้หนึ่ง คนตระกูลป๋ายผู้นั้นมีตบะรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ เรือนกายหนาใหญ่ของเขาแห้งเหี่ยวในพริบตา พลังชีวิตถูกกลืนกิน ทำเอาคนที่เห็นขนลุกด้วยความสยดสยอง!

ไอร้อนแผดเผาลุกโชน ขณะเดียวกันท่ามกลางการโจมตีนี้ เส้นสีทองทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยตัวออกมาต่อหน้าทุกคนโดยมิอาจอำพรางได้อีกต่อไป

ทั้งยังมีไฟสิบสี่สีที่ระเบิดออกมาจากกลางฝ่ามือของป๋ายเสี่ยวฉุน ก่อนจะกลายมาเป็นทะเลเพลิงที่เผาไหม้รอบด้าน ขับดันให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นดั่งเทพแห่งสงคราม พลังอำนาจเกรียงไกรเลิศล้น!

เวลาแค่ช่วงสั้นๆ บริเวณโดยรอบก็อวลไปด้วยความอำมหิตไร้ปราณี ผมของป๋ายเสี่ยวฉุนยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง ทว่าความเร็วของเขากลับไปหยุดชะงัก มือขวากำเป็นหมัดต่อยออกไปบีบให้ประมุขตระกูลป๋ายต้องถอยร่น เขาไม่สนใจการล้อมโจมตีจากคนตระกูลป๋าย ร่างจำแลงทั้งสี่ยังคงลงมือพร้อมกันบุกราบเป็นหน้ากลองไปตลอดทาง บุกสังหารฝ่าทลายวงล้อมออกไป

มองดูเหมือนง่าย ทว่าความเป็นจริงแล้วกลับเต็มไปด้วยความเสี่ยงอันตราย ไม่นานร่างจำแลงทั้งสี่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีสองร่างที่ถูกผู้อาวุโสในตระกูลป๋ายสังหารจนแทบจะพังทลายจึงกลายมาเป็นจุดแสงเล็กๆ ที่หายกลับเข้าไปในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

และตัวจริงของเขาเวลานี้ก็มีเลือดซึมลงมาตรงมุมปาก ทว่าความเร็วกลับยังคงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เขายังคงห้อตะบึงบุกไปทางประตูใหญ่ดังเดิม

ภาพนี้ทำให้นักโทษทุกคนที่มองเห็นรวมไปถึงคนของตระกูลป๋ายต่างก็ใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ป๋ายเสี่ยวฉุนช่างแข็งแกร่งและโหดเหี้ยมยิ่งนัก โดยเฉพาะอาภรณ์ติดอาวุธทั่วร่างของเขาที่เกินจริงจนยิ่งสร้างความตะลึง

“สวรรค์ นั่น…นั่นมันอาวุธวิเศษที่หลอมพลังจิตสิบสี่ครั้ง!!”

“เจ้าป๋ายฮ่าวผู้นี้บ้าไปแล้ว ขนาดเกราะหนังเขาก็ยังเอามาหลอมพลังจิตสิบสี่ครั้ง!!!”

“เขาคืออัจฉริยะ อัจฉริยะด้านการหลอมพลังจิต!!”

“เจ้าหนีไม่รอดหรอก!!” ขณะที่คนรอบด้านเสียงดังเอ็ดอึง ประมุขตระกูลป๋ายสีหน้าดุดัน ร้องคำรามทั้งยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือแสง ผู้อาวุโสในตระกูลคนอื่นๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน พริบตาเดียวคนทั้งกลุ่มก็ไล่ตามไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจ ด้านหนึ่งเขาต้องตีฝ่าวงล้อม อีกด้านหนึ่งยังต้องพยายามไม่ทำให้ราชาผียักษ์ตาย เพราะอย่างไรซะในสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน ราชาผียักษ์ก็คือวิญญาณคนฟ้า ทว่าการทำเรื่องสองอย่างให้ดีไปพร้อมๆ กันแบบนี้ช่างยากลำบากยิ่งนัก การเข่นฆ่าฝ่าวงล้อมเมื่อครู่นี้ ขนาดเขาให้การคุ้มกันราชาผียักษ์แล้วอีกฝ่ายก็ยังโดนโจมตีหลายครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทว่าสุดท้ายราชาผียักษ์ก็ไม่ได้เอ่ยคำใด สีหน้าเขามืดทะมึน ขณะเดียวกันในใจก็ตะลึงไปกับความกล้าหาญดุดันของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่น้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนในยามนี้เหมือนมีปราณของบุรุษเลือดเหล็กตลบอบอวลไปทั่วร่าง ราวกับเป็นคนละคนกับคนที่ข่มขู่ตนก่อนหน้านี้!

แม้ว่าเขาจะไม่เอ่ยคำใด แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับสังเกตได้ถึงความผิดปกติ ต่อให้ราชาผียักษ์จะถูกโจมตี ทว่ากลับแค่หน้าซีดขาวเท่านั้น ไม่กระอักเลือดออกมาแม้แต่คำเดียว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาการบาดเจ็บสาหัสเลย

“ราชาผียักษ์ผู้นี้คือผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพ หรือว่าบนร่างเขายังมีความลับอะไรอยู่?”

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง ยามนี้ไม่มีเวลาให้มัวคิดมาก เมื่อเห็นว่าประมุขตระกูลป๋ายและผู้อาวุโสสี่คนเคลื่อนที่มาด้วยความเร็วโดยการแปลงเวทอภินิหารให้กลายเป็นควันดำจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งซุกซ่อนผีร้ายเอาไว้ภายใน และกำลังเข้ามาใกล้อย่างเหี้ยมหาญ ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันแดงก่ำ กางร่มราตรีนิรันดร์ที่อยู่ในมือออก ทันใดนั้นแสงสว่างพร่างพราวก็สกัดกั้นผีร้ายพวกนั้นเอาไว้ได้ ส่วนเจ้าเต่าน้อยก็พุ่งตัวมาชนเข้ากับผู้อาวุโสคนหนึ่งพอดี

ทว่าผู้อาวุโสในตระกูลที่ขัดขวางป๋ายเสี่ยวฉุนมีถึงสี่คน เวลานี้มือขวาของคนหนึ่งในนั้นกำลังทำมุทราแปลงมาเป็นตราประทับฝ่ามือขนาดใหญ่ยักษ์ที่พุ่งเข้ามากลบทับป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมเสียงอึกทึก

ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามฮึ่มฮั่ม ดวงตาแดงฉาน มือเหวี่ยงราชาผียักษ์มาข้างหน้าบังตราประทับมือใหญ่ให้ตัวเองโดยไม่ทันรู้ตัว เสียงกัมปนาทดังก้อง ฝ่ามือแตกสลาย ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยกรูดไปข้างหลัง ราชาผียักษ์สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ใจอยากด่าคน แต่กลับขบกรามแน่น ฝืนข่มอารมณ์ตัวเองเอาไว้

“ไม่เป็นอะไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าราชาผียักษ์ยังปลอดภัยดีก็ปิติยินดีทันควัน ส่วนผู้อาวุโสตระกูลป๋ายคนนั้นก็อึ้งไปครู่ ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เห็นแล้วว่าในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนหิ้วผู้เฒ่าไว้คนหนึ่ง แต่กลับไม่ได้สนใจ ยามนี้ถึงพบว่าผู้เฒ่าคนนี้มีจุดที่ไม่ธรรดา นั่นคือการโจมตีโดยก่อกำเนิด ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังต้องได้รับบาดเจ็บ ทว่าผู้เฒ่าที่มีปานแดงบนใบหน้ากลับ…ต้านรับเอาไว้ได้ แม้แต่เลือดสักคำก็ยังไม่กระอักออกมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจอย่างบ้าคลั่ง หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง มือข้างหนึ่งถือร่มราตรีนิรันดร์ อีกข้างหนึ่งหิ้วคอราชาผียักษ์เอาไว้แล้วฝ่าไปข้างหน้าอีกครั้ง ราชาผียักษ์ที่อยู่ในมือของเขากลายมาเป็นโล่มนุษย์ไปเสียแล้ว

ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนเอาตัวของราชาผียักษ์มาบังวิชาอภินิหารทั้งหมดไว้ ทำให้ทุกคนของตระกูลป๋ายตะลึงพรึงเพริดไร้คำบรรยาย

ส่วนราชาผียักษ์ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ใกล้คลุ้มคลั่งเต็มที สีหน้าไม่ได้ซีดขาวอีกแล้วแต่เปลี่ยนมาเป็นสีม่วงคล้ำจนกลายเป็นดำทะมึน เวลาแค่ครู่เดียวนี้ก็มีท่าไม้ตายของก่อกำเนิดกระแทกลงมาบนร่างเขาสิบกว่าครั้งแล้ว ความรู้สึกอัดอั้นอัปยศที่ถูกคนเอาตัวเขามาเป็นโล่กำบังทำให้ราชาผียักษ์หลุดปากด่าเสียงขรมโดยไม่สนฐานะของตัวเองอีกต่อไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!