บทที่ 697 ป๋ายฮ่าว เจ้าอย่าหนีนะ
“สมควรตายนัก ป๋ายฮ่าวในเมื่อเจ้าร้ายกาจขนาดนี้ เจ้าก็ต่อยหมัดนี้ออกมาแต่แรกสิ พอพวกเรารู้แล้วจะได้ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเจ้าไงเล่า!!”
“นั่นสิ หากเขาเปิดเผยพลังการต่อสู้แบบนี้ตั้งแต่แรก พวกเราก็ไปผูกมิตรด้วยได้ ไม่จำเป็นต้องลงมือลงไม้กันจนต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้” ทุกคนร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ แต่กลับอับจนหนทาง ได้แต่รวมตัวกันอีกครั้ง ก่อนจะแบ่งกันเป็นสามส่วน ไม่กล้าไล่ฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนต่อไป แต่ออกห่างไปจากที่นี่ พวกเขาไม่เหลือความหวังใดๆ ต่อผลราชาผีอีกแล้ว ยามนี้เหลือเพียงความคิดเดียว
ไม่ว่าใครที่ได้ผลราชาผีไปครอง ขอแค่กาหลอมวิญญาณนี้เปิดออก พวกเขาก็จะรีบหนีออกไปจากที่นี่ทันที
ในหมอกกลางกาหลอมวิญญาณ ป๋ายเสี่ยวฉุนห้อตะบึงจากไปไกลด้วยใบหน้าที่ซีดขาวน้อยๆ พอต่อยหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญนั้นออกไป เขาเองก็ตกใจมากเหมือนกัน เพราะพลังกล้ามเนื้อของเขาลดฮวบฮาบอย่างน่ากลัว เจ็บปวดแสบร้อนไปทั่วทั้งเลือด กระดูก เนื้อ เส้นเอ็น
ยังดีที่หมัดนั้นใช้พลังแค่สามส่วน อีกทั้งยังมีตบะเป็นส่วนประกอบ นั่นถึงทำให้เขาหนีจากมาได้อย่างปลอดภัย
“หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว หากข้าปล่อยพลังออกไปสุด เกรงว่าต่อให้เป็นคนฟ้า ข้าก็ยังสามารถใช้หมัดนี้ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีได้”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก พอย้อนนึกดู นัยน์ตาของเขาก็เผยความตื่นเต้นและฮึกเหิม นับตั้งแต่ที่เขาเหยียบลงบนเส้นทางแห่งการฝึกตน เขาก็เลือกฝึกวิชาอมตะมิวางวายมาตั้งแต่ต้น หลายปีมานี้ เขาต้องสูญเสียทรัพยากรไปมากมายเพราะวิชานี้
ทว่าเมื่อหมัดสะเทือนฟ้าดินนั้นถูกร่ายใช้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกเลยว่าทั้งหมดนี้ล้วนคุ้มค่า นอกจากนี้เมื่อขั้นกระดูกหลอมดำเนินมาถึงรอบที่สาม กระดูกทั่วร่างก็แผ่ไออุ่นเบาสบาย ทำให้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการป้องกันทางกล้ามเนื้อของตัวเองได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายส่วนอย่างเห็นได้ชัด
อีกทั้งในด้านการฟื้นฟูพละกำลังของเขาก็เร็วกว่าเดิมหลายเท่า
“เมื่อครู่นี้ตอนที่ข้าจากมา คนพวกนั้นมีท่าทางหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด หึหึ เพิ่งจะมาเสียใจกันตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ให้ลำพองใจอย่างยิ่ง พอคิดว่าตอนนี้ตัวเองร้ายกาจถึงขนาดกำราบทุกคนได้ เขาก็ไร้ความตื่นกลัวอีกต่อไป แถมยังหยิบเอาโจวหงที่สลบไสลออกมาจากในถุงเก็บของด้วยความฮึกเหิม อันดับแรกเขาจัดการตีทารกก่อกำเนิดของโจวหงกลับเข้าไปในร่างของอีกฝ่ายด้วยความหวังดี จากนั้นถึงได้หยิบเอาร่มราตรีนิรันดร์ออกมาทิ่มที่หน้าอกของอีกฝ่าย
ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทำให้โจวหงลืมตาโพลง
“ป๋ายฮ่าว เจ้าจะทำอะไร!!” โจวหงคำราม แต่ยังไม่ทันให้เขาคำรามจบ ความเจ็บปวดรุนแรงจากการที่พลังชีวิตในร่างถูกสูบออกไปก็เปลี่ยนเสียงคำรามของเขาให้กลายมาเป็นเสียงร้องโหยหวน พริบตาเดียวร่างกายของเขาก็ซูบเหี่ยว พลังชีวิตมากไพศาลไหลบ่าเข้าไปในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้พลังกล้ามเนื้อของเขาฟื้นคืนมา ทว่าโจวหงผู้นี้เดิมทีก็บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว พอมากับการทรมานเช่นนี้จึงร้องโหยหวนได้อีกไม่กี่คำก็หมดสติไปอีกครั้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบดึงร่มราตรีนิรันดร์เก็บคืนมา ก่อนจะมองโจวหงที่หนังหุ้มกระดูกด้วยสายตาขุ่นเคือง ไม่พอใจอย่างมาก
“ไร้ประโยชน์เสียจริง สู้หลี่เทียนเซิ่งก็ไม่ได้ พลังชีวิตแค่นี้ยังเป็นผู้สืบทอดได้ยังไง ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนบ่นพึม โยนโจวหงกลับเข้าไปไว้ในถุงเก็บของอีกครั้ง ก่อนจะกวาดตามองหมอกควันทั่วด้านแล้วทะยานจากไปไกลด้วยความคึกคักพร้อมลงมือ
ไม่นานเวลาหนึ่งวันก็ผ่านไป หนึ่งวันนี้ชื่อเสียงความดุร้ายของป๋ายเสี่ยวฉุนระบือไปทั่ว พลังการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งเกินไป ก่อกำเนิดวิถีฟ้า บวกกับพลังกล้ามเนื้อและความเร็วที่เหนือคนธรรมดา ทำให้ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจรู้สึกว่าเขาเหมือนกลายมาเป็นเหมือนกองกำลังทหารประหลาดที่โผล่ขึ้นมากะทันหัน เหมือนหมาป่าหิวโซตัวหนึ่งที่บุกเข้ามาในฝูงแกะ
ใช้คำบรรยายเช่นนี้อาจจะดูเกินจริงไปบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ต่างกันมากเท่าไหร่นัก บางทีการสั่งสมพลังก่อนหน้านี้อาจยังไม่ทำให้ความแข็งแกร่งของก่อกำเนิดวิถีฟ้าปรากฏออกมาอย่างชัดเจน ทว่าตอนนี้กลับค่อยๆ เผยออกมาทีละนิด ในบรรดาทารกก่อกำเนิด เว้นเสียแต่ทารกที่อีกครึ่งก้าวก็จะหลุดพ้นจากร่างของบรรดาผู้แข็งแกร่งที่ทำความเข้าใจกับฟ้าดินจนเป็นครึ่งก้าวคนฟ้า หาไม่แล้วคนอื่นๆ ก็ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุน!
ต่อให้เป็นโจวหงที่ก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบก็ยังเป็นเช่นนี้ นั่นจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น หรือแม้แต่ผู้แข็งแกร่งครึ่งก้าวคนฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังมั่นใจว่าเมื่อเจอกับหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญ ครึ่งคนฟ้าก็ยังต้องพ่ายแพ้ถอยร่น
เวลาหนึ่งวัน เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนแวบเข้าแวบออกอยู่ในกลุ่มหมอกกลางกาหลอมวิญญาณอยู่หลายครั้ง เพราะหาคนที่เดินทางเพียงลำพังไม่เจอ และยิ่งไม่เจอกลุ่มเล็กๆ ประมาณห้าคน ดังนั้นเป้าหมายของเขาจึงอยู่ที่กลุ่มคนหลายสิบคน
เขาเหมือนกลายมาเป็นหมาป่าหิวโหยจริงๆ ทุกครั้งมักจะบุกเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ลงมือจับเป็นคนเหล่านั้นไปในเวลาเพียงแค่เสี้ยวนาที พอเสร็จก็เผ่นหนีทันที นี่ทำให้ทุกคนใจสั่น แต่กลับมิอาจขัดขวางเขาได้
และก็เป็นเช่นนี้ เวลาหนึ่งวันจึงมีคนที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนจับไปเกินสามสิบคนแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของแดนทุรกันดารเกือบหกส่วนล้วนพ่ายแพ้สิ้นท่า
สามสิบกว่าคนที่เหลืออยู่เต็มไปด้วยความหวาดผวาลนลาน
โดยเฉพาะเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ร่มประหลาดนั้นดูดกลืนพลังชีวิตของคนอื่นๆ ในใจของพวกเขาก็ยิ่งอยู่ไม่สุข
คนเหล่านี้ตอนนี้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งรวมตัวกับองค์ชายรองและเฉินม่านเหยาไปยังพื้นที่ที่บุปผาราชาผีผลิบานเพื่อรวมตัวกับกงซุนอี้แล้วรอคอยอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งกลับหนีไปรออยู่ตรงปากของกาหลอมวิญญาณด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนมาก พวกเขายอมแพ้แล้ว ไม่อยากเป็นศัตรูกับป๋ายเสี่ยวฉุนอีกแล้ว แสดงเจตจำนงชัดเจนว่ากาหลอมวิญญาณเปิดเมื่อไหร่ก็จะหนีไปทันที
นอกจากนี้ ยามนี้คนที่ยังคงไล่ล่าป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในกลุ่มหมอกเหลือเพียงคนเดียว คนผู้นั้นก็คือ ซวี่ซานองค์หญิงของราชาเทพจุติ
นัยน์ตาของนางฉายแววสดใสผิดปกติ พยายามตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในกลุ่มหมอกอย่างไม่ย่อท้อ
“ป๋ายฮ่าว ข้าต้องหาเจ้าให้เจอให้ได้ เจ้าเป็นของข้า!” ซวี่ซานพูดกับตัวเองอยู่ในใจ นัยน์ตาฉายแววเด็ดเดี่ยว เมื่อครึ่งวันก่อน หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือสำเร็จ นางก็ไล่ตามอีกฝ่ายไปทันในที่สุด คนทั้งสองจึงประมือกันทันที ทว่าสู้กันมาได้ครึ่งทาง อีกฝ่ายกลับต่อยตนให้ถอยลิ่วไปไกลหลายร้อยจั้ง แถมหมุนตัวได้ก็หนีไปทันที นี่จึงทำให้ซวี่ซานไม่พอใจอย่างมาก
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ที่พอจัดการกับศิษย์แห่งความภาคภูมิใจจำนวนมากมาได้ ยิ่งสู้เขาก็ยิ่งมั่นใจ ความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นพรวดพราดทำให้การต่อสู้ของเขายิ่งดุกร้าว ในถุงเก็บของของเขามีคนอยู่เจ็ดสิบกว่าคนแล้ว ทุกคนล้วนถูกสูบดึงพลังชีวิต ร่างกายกลายมาเป็นหนังหุ้มกระดูก เหลือเพียงแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น
พลังชีวิตมหาศาลเช่นนี้ทำให้ขั้นกระดูกหลอมของป๋ายเสี่ยวฉุนไต่ทะยานจากรอบที่สามไปถึงรอบที่ห้า ทำให้การป้องกันทางกล้ามเนื้อของเขายิ่งแข็งแกร่ง ถึงขั้นที่ว่าหากเวทอภินิหารของของก่อกำเนิดขั้นต้นกระแทกลงบนร่างของเขา อาจไม่ถึงกับไม่ระคายผิวหนัง แต่ก็ไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับเขาได้มากนัก
“อีกเดี๋ยวก็จะมาถึงกระดูกหลอมรอบที่หกแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนค้นหาอยู่ในกลุ่มหมอกอย่างฮึกเหิม แต่เขากลับพบว่าตัวเองหาตัวพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของแดนทุรกันดารไม่เจออีกแล้ว พอหาต่ออีกหนึ่งชั่วยามกว่าจึงเริ่มรู้ได้ว่าคนที่เหลืออยู่แบ่งออกเป็นสองส่วน
“รังแกข้าป๋ายเสี่ยวฉุน ต้องจ่ายค่าตอบแทน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้าขึ้นอย่างลำพองใจ กลุ่มคนที่หนีไปยังปากกา เห็นได้ชัดว่ายอมแพ้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงคิดว่าตนควรจะใจกว้างสักหน่อย
“เอาเถอะ ในเมื่อพวกเจ้ารู้ตัวว่าผิด นายท่านป๋ายอย่างข้าก็จะปล่อยพวกเจ้าไปสักครั้ง แต่เจ้าพวกที่ไปรออยู่ใกล้กับจุดบุปผาราชาผีผลิบาน อย่าได้มาโทษนายท่านป๋ายก็แล้วกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก ขณะที่กำลังจะมุ่งหน้าไปยังจุดบุปผาราชาผี ทว่าทันใดนั้นในหมอกด้านหลังของเขากลับมีรุ้งยาวเส้นหนึ่งพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
ในรุ้งยาวนั้นคือหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวผู้นี้มองไกลๆ มาเห็นแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาก็เผยประกายประหลาดรุนแรง ไม่เพียงแต่ลมหายใจถี่กระชั้น ใบหน้าเล็กๆ ของนางยังแดงปลั่งด้วย
“ป๋ายฮ่าว เจ้าอย่าหนีนะ”
วินาทีที่มองเห็นร่างนี้และได้ยินประโยคนั้น ใบหน้าที่เดิมทีเต็มไปด้วยความมั่นใจของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเปลี่ยนแปลงไปในฉับพลัน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น หมุนกายได้ก็ระเบิดความเร็วทั้งหมดทะยานหนีไปไกล
ในใจก็ยิ่งกลัดกลุ้ม เขาเจอกับซวี่ซานเมื่อครึ่งวันก่อน
ทว่าการประมือกับนางทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเอือมระอาอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่ว่าซวี่ซานผู้นี้แข็งแกร่งอะไร อันที่จริงพลังในการต่อสู้ของนางพอๆ กับโจวหง ทว่าบนร่างของนางกลับมีหยกประดับชิ้นหนึ่ง หยกนี้คือของคุ้มกันกายที่ราชาเทพจุติมอบไว้ให้นาง ซึ่งทำให้เขาเหลือทนอย่างถึงที่สุด เพราะพอมันถูกนางเปิดใช้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พบว่าตัวเองมิอาจทำลายม่านแสงคุ้มกันนั้นไปได้
ต้องรู้ว่าในแดนทุรกันดาร ราชาเก้านรกภูมิและราชาชิงชัยล้วนไม่เคยมอบของแบบนี้ให้กับโจวหงและกงซุนอี้ เพราะอย่างไรซะพวกเขาก็มองว่าถึงแม้ในแดนทุรกันดารจะมีคนลงมือกับลูกหลานของตัวเอง ทว่าไม่มีใครคิดสังหารของพวกเขา อีกทั้งในฐานะที่เป็นผู้สืบทอด วันหน้ายังต้องสืบราชบัลลังก์ต่อจากพวกเขา ดังนั้นอาวุธป้องกันกายมีแต่จะส่งผลร้ายไม่มีผลดี
มีเพียงการฝึกเกลาตนเองในการต่อสู้นองเลือดเท่านั้นถึงจะทำให้พวกเขาที่เป็นผู้สืบทอดแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
แต่เห็นได้ชัดว่าราชาเทพจุติไม่ได้คิดเช่นนี้ ม่านแสงจากหยกประดับที่เขามอบให้กับซวี่ซาน ต่อให้เป็นคนฟ้าก็ยังทำลายไม่ได้ มีเพียงครึ่งเทพเท่านั้นที่ถึงจะต่อยให้แตกละเอียดได้ในหมัดเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความปลอดภัยของซวี่ซานจึงเป็นเรื่องที่รับประกันได้ และพอมาอยู่ในกาหลอมวิญญาณแห่งนี้ นางจึงยิ่งเป็นเหมือนคนที่ขี้โกง เพราะต่อให้พลังในการต่อสู้ของนางจะมีจำกัด ทว่ากลับไม่มีใครสามารถทำร้ายนางได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนสู้กับนางมาครึ่งวันด้วยอาการงุนงงตาค้าง แถมซวี่ซานผู้นั้นยังตามตื้อไม่ลดละ ด้วยความหงุดหงิดอึดอัดใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงต่อยให้อีกฝ่ายลอยกระเด็นไปไกล ส่วนตัวเองก็เผ่นหนีมาทันที
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่แล้วไม่เลิก ไล่ตามตนมาไม่ปล่อย ตีกันก็ไม่รู้ผล นี่จึงยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้ม ครุ่นคิดว่าดีนะที่ทุกคนไม่เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด หาไม่แล้วคงหมดเรื่องสนุกแน่ๆ