บทที่ 699 ใครกันแน่ที่เป็นหินขัดเกลาฝีมือ
หลังจากเอ่ยสองคำนั้นจบลง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นพลังอำนาจน่าตะลึงระลอกหนึ่งก็ระเบิดตูมตามออกมาจากรอบกายเขา พัดพาให้เส้นผมของเขาปลิวสยาย บึงน้ำที่คนทั้งหมดมองไม่เห็นกลับแผ่คลุมไปทั่วรัศมีหมื่นลี้ และอยู่ดีๆ รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมีหนามแหลมหลายแท่งทิ่มแทงขึ้นมา หนามพวกนี้คล้ายพังทลายหงายไปข้างหลัง เพราะพอมันผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วก็ตวัดโค้งงอลงอย่างว่องไวไม่ต่างกัน สุดท้ายกรงเล็บสัตว์น่าครั่นคร้ามข้างหนึ่งที่กินพื้นที่พันลี้ก็ผงาดพรวดออกมาจากพื้นดิน!
ฟ้าดินคล้ายจะพังถล่มทลาย เสียงอึกทึกดังไปทั่วแปดทิศ มังกรทองสองตัวนั้นร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด ตัวหนึ่งที่ชนเข้ากับกรงเล็บของสัตว์ร้าย เมื่ออยู่ต่อหน้ากรงเล็บนั้นมังกรที่น่าเกรงขามกลับกลายมาเป็นเหมือนไส้เดือนตัวหนึ่งที่ร่างแหลกละเอียด ขณะเดียวกันก็ทำให้องค์ชายรองกระอักเลือดอีกคำใหญ่ ร่างของเขาที่ปลิวกระเด็นไปไกลสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง เหล่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ถลาเข้ามายังไม่ทันหน้าเปลี่ยนสีก็รู้สึกเหมือนถูกภูเขากระแทกเข้าใส่ร่าง เลือดเป็นสายพุ่งออกจากปากทุกคน ทั้งยังถูกม้วนตลบกันระนาว
โดยเฉพาะห่างออกไปไกล พวกคนสิบกว่าคนที่เดิมทียอมแพ้ไปแล้วแต่ตอนนี้เพิ่งจะบินมาได้ครึ่งทาง จู่ๆ เห็นภาพนี้ก็พากันชะงักอยู่กลางอากาศมองตาค้าง
จะไม่ให้พวกเขามองเซ่อได้อย่างไร ชั่วขณะก่อนหน้านี้มองดูเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนและองค์ชายรองฝีมือทัดเทียมกัน ทว่าเพียงแค่ชั่วกะพริบตา องค์ชายรองกลับกระอักเลือดบาดเจ็บสาหัส ส่วนคนอื่นๆ ก็ถูกม้วนตลบลอยลิ่วไปไกล แถมยังมีคนส่วนหนึ่งที่เพียงแค่เจอกับการโจมตีนี้ก็ถึงกับลมหายใจรวยริน
นี่ทำให้พวกเขาทุกคนอ้าปากหวอ หนังตาเต้นกระตุกยิกๆ ในใจขมขื่นทั้งเสียใจอย่างสุดแสน ตอนนี้จะเดินหน้าก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ควร เหมือนถูกแขวนเติ่งอยู่กลางอากาศ พอความอกสั่นขวัญผวาหายไป แต่ละคนมองหน้ากันไปมา ไม่นานทุกคนก็แตกฮือ ไม่ได้ไปยังจุดที่ตั้งของบุปผาราชาผี แล้วก็ไม่ได้ไปตรงปากของกาหลอมวิญญาณ
พวกเขากลัวแล้วจริงๆ เวลานี้จึงคิดว่าทุกคนควรตัวใครตัวมัน โลกในกาหลอมวิญญาณกว้างใหญ่ขนาดนี้ เมื่อพวกเขากระจายตัวกันไปซ่อน ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหาเจอก็ไม่แน่ว่าจะหาเจอได้ครบทุกคน
เมื่อเห็นว่าคนสิบกว่าคนที่เดินมาได้ครึ่งทางหนีกระเจิงกันไปหมด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้สนใจ หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาร่ายใช้เขตแดนธาราหลังจากที่ฝ่าทะลุสู่ก่อกำเนิด กรงเล็บที่เกือบสมบูรณ์แบบซึ่งกินพื้นที่พันลี้นั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำอย่างดุเดือด
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว…แทบจะกินกันไม่ลงกับหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญเลย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายลงหนึ่งอึก เขารู้ดีว่านี่ต้องเกี่ยวข้องกับก่อกำเนิดวิถีฟ้าของเขาแน่นอน ถึงทำให้เขาแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ ปลงอนิจจังอยู่ในใจอีกครั้ง ความลำบากและเหน็ดเหนื่อยที่ตนทุ่มเทไปเพื่อก่อกำเนิดวิถีฟ้า ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก
เขายังถึงขั้นแอบมีลางสังหรณ์ว่ากรงเล็บที่เมื่อครู่นี้ตนคิดว่าสมบูรณ์แบบ แท้จริงแล้วยังไม่สมบูรณ์แบบ…ราวกับว่ากรงเล็บที่โผล่ออกมานี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
“สัตว์แห่งชะตาชีวิตของข้า…” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกาย ขยับร่างหนึ่งทีก็รวบเอาพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่บาดเจ็บสาหัสเพราะการปรากฏตัวของเขตแดนธาราโยนใส่ไว้ในถุงเก็บของ ส่วนองค์ชายรองนั้นพยายามดิ้นรนขัดขืนและกำลังจะขยับปากพูด ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่มีอารมณ์มารับฟัง จับตัวอีกฝ่ายได้ก็โยนเก็บไปทันที
ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หันไปมองคนเพียงสองคนที่ยังเหลืออยู่ หนึ่งคือกงซุนอี้ เขายังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาเตี้ยๆ แห่งนั้น ดวงตาทั้งคู่หลับนิ่งอยู่ตลอดเวลาไม่มีการลืมขึ้น ต่อให้การโจมตีเมื่อครู่นี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนจะสะท้านฟ้าแค่ไหน เขาก็ยังคงหลับตา ทว่าในสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน กงซุนอี้ในเวลานี้คล้ายมีพละกำลังระลอกหนึ่งกำลังไต่ทะยานอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าวินาทีที่ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปิดขึ้น นั่นก็คือช่วงเวลาที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิตของเขา ณ ปัจจุบันนี้
ม่านตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัวลงน้อยๆ รู้สึกไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก ก่อนจะหันไปมองคนที่สอง…เฉินม่านเหยา
เฉินม่านเหยายืนอยู่ตรงนั้น คิ้วงามขมวดมุ่นมองป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจำตนได้หรือไม่ ในใจตื่นเต้นเล็กน้อย ทว่าสีหน้ากลับยังคงนิ่งเฉย จงใจเผยความเย็นชาออกมาพร้อมกับเอ่ยเนิบช้า
“ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เจ้ายังไม่เคยลงมือกับข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ เจ้าไปซะเถอะ” ท่าทางของป๋ายเสี่ยวฉุนหยิ่งยโสอย่างมาก กล่าวจบก็เดินเข้าไปหากงซุนอี้โดยไม่สนใจเฉินม่านเหยาอีก ทว่าแท้จริงแล้วเขาแอบมองประเมินสีหน้าของเฉินม่านเหยาอยู่เงียบๆ เหมือนกัน
หนังตาของกงซุนอี้พลันสั่นระริกคล้ายกำลังอาศัยแรงกดดันจากป๋ายเสี่ยวฉุนมาเพิ่มปณิธานในการต่อสู้ของตัวเองต่อไป คิดจะอดกลั้นให้ถึงขีดสุด
ทว่าวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ห่างจากกงซุนอี้ไม่ถึงร้อยจั้ง
ทันใดนั้นดวงตาของเฉินม่านเหยาพลันฉายแสงคมกริบ มือขวาทำมุทรา รอบกายนางก็มีภาพมายาของเกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนโปรยปราย ก่อนจะตรงเข้ามาก่อตัวเป็นกระจกน้ำแข็งบานหนึ่งซึ่งหันส่องสะท้อนไปทางป๋ายเสี่ยวฉุน
การส่องสะท้อนครั้งนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เขารีบถอยกรูดทันใด และชั่วขณะที่เขาถอยหนีออกไปนั้น จุดที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ ความว่างเปล่าพลันก่อตัวเป็นน้ำแข็ง เสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่น พื้นที่จุดนั้นก็มีน้ำแข็งเกาะตัวแล้วแผ่ลามออกไป
น้ำแข็งนี้ประหลาดอย่างมาก พอปรากฏตัวไอความเย็นรอบด้านก็แผ่กระจาย ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ ค้นพบว่าภายใต้ไอเย็นนี้ วิชาแห่งความเย็นของตนกลับถูกชักนำจนเหมือนจะแผ่ออกมาจากในร่าง ยังดีที่ตบะของเขาแข็งแกร่งมากพอ เมื่อฉุกคิดได้จึงระงับมันเอาไว้ทัน เขาเบือนหน้าไปมองเฉินม่านเหยาด้วยใจที่ซับซ้อน ทว่าสีหน้าที่มองกลับเต็มไปด้วยความเดือดดาล
“เจ้าคิดจะทำอะไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะพูดจบ
เฉินม่านเหยากลับทำมุทราชี้ไปอย่างไม่ใยดี ทันใดนั้นน้ำแข็งนี้ก็พลันพลิกเปลี่ยนกลายมาเป็นเปลวเพลิงที่ระเบิดตูมออกมา ทะเลเพลิงแลบปลาบไปสี่ด้านแปดทิศ พุ่งเข้าหาหมายเขมือบกลืนป๋ายเสี่ยวฉุน เป้าหมายยังเหมือนเดิม นั่นคือต้องการหยั่งเชิงดูว่าในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนมีพลังโลกแห่งความเย็นอยู่หรือไม่!
เปลวเพลิงนี้จู่โจมโดยตรงยิ่งกว่า เมื่อมันเขมือบกลืนเข้ามาก็คล้ายจะไปกระตุ้นสัญชาตญาณของนักพรต หากนักพรตผู้นั้นฝึกธาตุความเย็น เมื่อเจอกับเปลวเพลิง ต่อให้จะพยายามระงับไว้แค่ไหน ทว่าความเย็นที่อยู่ในร่างมานานปีก็ต้องเผยพิรุธออกมาให้เห็นในเปลวเพลิงนี้
เม็ดเหงื่อผุดซึมออกจากหน้าผากของป๋ายเสี่ยวฉุน การหยั่งเชิงเช่นนี้ชัดเจนมากพอแล้ว ด้วยความตื่นตระหนกเขาเองก็รู้ดีว่าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าตนอาจเผยพิรุธออกมาจริงๆ ยามนี้ไม่มีเวลามามัวคิดมากจึงหมุนตัวกลับร่ายขยายความเร็วแล้วมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเฉินม่านเหยาโดยตรง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นด้วยสีหน้าดุดัน
“รนหาที่ตาย!” ท่ามกลางเสียงกัมปนาท ป๋ายเสี่ยวฉุนเหวี่ยงหมัดออกไป
ทว่านัยน์ตาของเฉินม่านเหยากลับเผยประกายประหลาด และนางก็ยืนนิ่ง จ้องเขม็งป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ตรงนั้นไม่ยอมหลบเลี่ยง ปล่อยให้หมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนต่อยมาโดนตัวเอง
ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง หากหมัดนี้กระแทกลงไป เฉินม่านเหยาที่ไม่ต้านทาน หากไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเก็บหมัดกลับคืน
ทว่าวินาทีที่ชักหมัดกลับมานั้น ดวงตาคู่งามของเฉินม่านเหยากลับเผยแววปิติยินดี นางกัดริมฝีปาก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม…ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจได้ทันทีว่าตัวเองติดกับแล้ว เฉินม่ายเหยาใช้ร่างของตัวเองมาหยั่งเชิง และเดิมพัน…
“เจ้าเล่ห์นักนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก วัวหายแล้วเขาก็ได้แต่ล้อมคอก แม้จะเก็บหมัดกลับคืนมา
ทว่ากลับเปลี่ยนหมัดเป็นฝ่ามือที่ตบลงไปบนร่างของเฉินม่านเหยา ปิดผนึกตบะของนาง ไม่ทันรอให้เฉินม่านเหยาเปิดปาก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบคว้าร่างนางโยนเข้าไปในถุงเก็บของ ไม่กล้ามองดวงตาของอีกฝ่าย…
“นี่มันเรื่องอะไรกัน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเล เขาเดาเอาว่ามีความเป็นไปได้ครึ่งหนึ่งที่เฉินม่านเหยาจะเดาตัวตนของตัวเองออกแล้ว นี่ทำเอาเขาปวดหัวอย่างมาก รู้สึกว่าตนอำพรางตัวได้ดีขนาดนี้ เหตุใดถึงถูกสงสัยเสียได้
ใจอยากถามให้รู้แล้วรู้รอด แต่ตอนนี้เขาไม่กล้ามองเฉินม่านเหยาจริงๆ กังวลว่าจะเผยพิรุธอะไรอีก
ถอนหายใจหนึ่งที ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว สายตามาตกอยู่บนร่างของคนสุดท้าย วินาทีที่เขามองไป หนังตาของกงซุนอี้ก็ยิ่งกระตุกถี่ขึ้น
“น่าสนใจ นี่คือการนำความกดดันจากข้ามาเป็นหินขัดเกลาฝีมือ เตรียมปณิธานในการต่อสู้ของตัวเอง…วิธีนี้มีประโยชน์ด้วยหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็น เรื่องของเฉินม่านเหยาทำเอาหงุดหงิดใจมากพออยู่แล้ว ยามนี้จึงกระโจนเข้าหากงซุนอี้อย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
เขายังจำได้ว่ากงซุนอี้ผู้นี้แหละที่ใช้ตาข่ายใหญ่ปิดผนึกเอาไว้จนเขาต้องหยุดชะงัก จึงเปิดโอกาสให้เวทอภินิหารของพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจกระแทกลงมาบนร่างของตน พอนึกถึงวิกฤตในเวลานั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็โมโหเดือด
ความเร็วของเขามีมาก พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้
ทว่าชั่วขณะที่ขยับเข้าใกล้กงซุนอี้ในระยะสิบจั้ง ดวงตาทั้งคู่ของกงซุนอี้พลันเบิกโพลง วินาทีที่ดวงตาทั้งคู่ลืมขึ้น แสงจากดวงตาของเขาก็โชติช่วงราวดวงอาทิตย์ ทั้งยังมีปณิธานแห่งการต่อสู้ที่คล้ายถูกบีบอัดจนถึงขีดสูงสุดซึ่งบัดนี้ได้ระเบิดตูมออกมาจากในร่างของเขาแล้วพวยพุ่งขึ้นสู่นภากาศ
“ป๋ายฮ่าว!!” กงซุนอี้คำรามต่ำ เมื่อปณิธานแห่งการรบตลอดทั้งร่างทะยานสู่ฟากฟ้า นอกร่างของเขาก็พลันมีอักขระหนึ่งแสนตัวลอยขึ้นมา อักขระเหล่านี้เพิ่งจะปรากฏก็ล้อมวนหมุนโคจรอย่างรวดเร็ว มองไปจึงเหมือนลำแสงสีทองหลายเส้นทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ซึ่งหมุนติ้วรอบกายเขา มองไกลๆ ก็ราวกับพายุงวงช้างสีทอง
เสียงกัมปนาทดังกึกก้องสะท้านฟ้า ท่ามกลางแสงเจิดจ้าพร่างพราย
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่เบื้องหน้ามันก็ราวกับกลายมาเป็นเมล็ดหลิวที่ลอยละล่อง สามารถถูกพายุลูกนี้แยกร่างออกเป็นเสี่ยงๆ ได้ตลอดเวลา และอักขระสีทองหนึ่งแสนตัวที่หมุนโคจรอย่างรวดเร็วนั้น ในความเร็วระดับนี้ก็ยิ่งทำให้มันกลายมาเป็นมีดแหลมคมที่แข็งแกร่งทนทานไม่มีวันถูกทำลาย พกพาเอาความคมกริบทะยานอู้เข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน