บทที่ 753 แดนทุรกันดารช่างเป็นพื้นที่แห่งความซวยของข้า
และค่ายกลสุดท้ายนั่นก็กินแรงป๋ายเสี่ยวฉุนไปมากเหมือนกัน สุดท้ายจึงได้แต่ร่ายใช้หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญ ยังดีที่มียาวาสนาทลายฟ้า หาไม่แล้วป๋ายเสี่ยวฉุนก็คงจนปัญญาไม่น้อย
ยามนี้เขามองศิษย์แห่งความภาคภูมิใจรอบด้าน ในใจโมโหเดือดจึงทิ่มร่มครบทุกคน ยิ่งพวกโจวหง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งโหดเหี้ยม ทิ่มติดต่อกันหลายที
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นๆ ลงๆ มีเพียงโจวหงคนเดียวที่กัดฟันกรอด ไม่เปล่งเสียงร้อง จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง
“ทำไม เจ้าไม่พอใจหรือไง ท่านย่าเจ้าเถอะ ครานั้นที่อยู่ในกาหลอมวิญญาณ เจ้าก็มาหาเรื่องข้าก่อน ซุนอี้ฝานกับซือหม่าเทาก็เป็นเจ้าที่จัดหามา ละครในวันนี้ก็ยิ่งหนีไม่พ้นฝีมือเจ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตากลับไป อยากจะขยี้โจวหงให้ตายดับไปซะจริงๆ แต่กลับจำต้องพิจารณาถึงบิดาของอีกฝ่าย…
“หากไม่เพราะเจ้ามีพ่อเป็นครึ่งเทพ นายท่านป๋ายอย่างข้าก็คงสังหารเจ้าไปนานแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็น เอาร่มทิ่มไปบนร่างโจวหงอีกหลายที จนกระทั่งพลังชีวิตของโจวหงถูกดูดไปจนเหลือแค่เสี้ยวเดียว การชุบหลอมกระดูกขั้นที่เก้าในร่างของเขาก็พลันเกิดคลื่นเคลื่อนไหว
ป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดมือทันใด สัมผัสได้ว่าขอบเขตกระดูกคงกระพันในร่างของตัวเองมีกระแสอบอุ่นขุมหนึ่งไหลผ่าน แล้วแผ่กระจายไปตามกระดูกทั่วร่าง ทำเอาเขาตัวสั่นเยือกเพราะสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ายามนี้ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังหรือการป้องกันทางกล้ามเนื้อก็เหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นมาอีกระดับแล้ว
ขณะเดียวกันขั้นกระดูกหลอมของเขาก็ฝ่าทะลุ เหยียบย่างเข้าสู่…ขั้นกระดูกกำลังอย่างแท้จริง!
“หึ เจ้ามีคนหนุนหลัง ข้าเองก็มีเหมือนกัน!” หากความน่ายินดีอย่างการเพิ่มระดับของเขตกระดูกคงกระพันนี้เกิดขึ้นในเวลาอื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนคงฮึกเหิมอย่างมาก ทว่าตอนนี้แม้ปากของเขาจะเอ่ยออกไปเช่นนั้น แต่ในใจกลับกระวนกระวายไม่เป็นสุข กลัดกลุ้มอย่างมาก
“ราชาผียักษ์ ครั้งนี้ท่านต้องพึ่งพาได้นะ หาไม่แล้วคราวนี้ข้าก็ซวยจริงๆ แน่ แม้ว่าข้าจะไม่ใช่ลูกของเจ้า แต่ข้าก็เป็นลูกเขยเจ้านะ ใครก็ว่ากันว่าลูกเขยก็เหมือนลูกชายครึ่งหนึ่ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาว รู้สึกหงุดหงิดเต็มที เพราะครั้งนี้เขาได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างแท้จริง นี่มันคือการหาเรื่องระรานอย่างไร้เหตุผล เขาไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง กำลังหลอมไฟในบ้านตัวเองอยู่ดีๆ แต่คนพวกนี้กลับสมองมีปัญหา พากันยกพวกมาตีตนเสียได้
“ข้าจะทำอะไรได้อีก ไม่เอาคืนข้าก็ต้องถูกพวกเขาฆ่าตาย ข้าเองก็ไม่อยากฆ่าใคร นั่นมันเป็นอุบัติเหตุ” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดยิ่งสลดใจ แถมเขายังหนีไม่ได้ด้วย เพราะหากเขาหนี เขาก็ไม่เหลือทางให้เดินอีกแล้วจริงๆ
พอคิดว่าหากตนแอบไปซ่อนตัวจนเรื่องลุกลามถึงขั้นที่แดนทุรกันดารประกาศจับไล่ฆ่า ถ้าอย่างนั้นก็สู้เปิดเผยตัวตนให้คนรู้กันไปเลยดีกว่าว่าตนคือป๋ายเสี่ยวฉุน
“หากถึงขั้นนั้นจริงๆ …ข้าก็ล้มเหลวเกินไปแล้ว แดนทุรกันดารนี่มันพื้นที่แห่งความซวยของข้าจริงๆ ตัวตนสองอย่างนี้ถึงถูกประกาศจับ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็อยากปล่อยโฮออกมาดังๆ จริงๆ แล้วก็เริ่มมากลุ้มเรื่องตบะของตัวเองอีก ตอนนี้เขาไม่กล้าหลอมทารกก่อกำเนิด หากยังหลอมต่อไป คนก็ต้องรู้กันหมดว่าเขาคือป๋ายเสี่ยวฉุน
“ทำยังไงดี…เฮ้อ ปวดหัวยิ่งนัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ รีบส่งข้อความเสียงหาราชาผียักษ์ พอบอกอีกฝ่ายว่าตนฆ่าคนไป ราชาผียักษ์ก็ถึงกับเงียบงัน พักใหญ่ถึงได้ด่าป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่สองสามคำ ก่อนจะรีบไปจัดการ
พอได้ยินว่าราชาผียักษ์ยังด่าตัวเองได้ ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย ครุ่นคิดว่าไม่เสียแรงที่ตนซื่อสัตย์ภักดีกับราชาผียักษ์ขนาดนี้…
“ยังมีซวี่ซานกับเฉินม่านเหยาอีก พวกนางเป็นต้นกำเนิดแห่งหายนะเลยทีเดียว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดขึ้นได้ว่าก่อนจะเกิดศึกนี้ขึ้น คนรอบกายมีการซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย หลายคนล้วนพูดถึงหญิงสาวสองคนนั้น เขาจึงเข้าใจได้ไม่ยาก
“พวกนางก่อเรื่องทิ้งไว้ ส่วนตัวเองดันหนีไปแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งอึดอัดขับข้องใจ ทว่าเวลานี้เอง เขาก็พลันหน้าเปลี่ยนสี เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าท้องฟ้ามีเสียงกัมปนาทส่งผ่านมา พลานุภาพสยบที่น่าครั่นคร้ามระลอกหนึ่งเยื้องกรายมาจากสี่ด้าน
อีกทั้งบนท้องฟ้ายังปรากฏใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์สองหน้า หนึ่งคือวัยกลางคน อีกหนึ่งคือผู้เฒ่า เมื่อพวกเขาปรากฏตัว ปราณคนฟ้าก็ระเบิดออกมาอย่างไร้เทียมทาน ก่อกลายมาเป็นการปิดผนึกที่ทำให้ฟ้าดินรอบด้านเหมือนเปลี่ยนมาเป็นกรงขัง
“คนฟ้า…” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหดตัว เขารู้ดีว่าพวกคนในตระกูลที่อยู่เบื้องหลังเหล่าผู้กล้าได้พากันมาเยือนแล้ว และก็เห็นได้ชัดว่าคนฟ้าสองคนนี้เป็นสองในสิบเจ้าพระยาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งนครจักรพรรดิขุย
ขณะเดียวกันกับที่สองคนนี้ปรากฏตัวก็ยิ่งมีปราณครึ่งก้าวคนฟ้าหลายเส้นทะยานมาจากรอบด้านอย่างรวดเร็ว ทั้งยังรู้สึกได้ถึงวิกฤตดั่งมีอาวุธอานุภาพร้ายกาจเล็งเป้าสังหารซึ่งทำให้ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ
“คนฟ้าสองคน ครึ่งก้าวคนฟ้าเก้าคน และยังมีผู้ฝึกวิญญาณอีกนับไม่ถ้วน…” ใจป๋ายเสี่ยวฉุนร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาเข้าใจดีว่าที่นี่คือนครจักรพรรดิขุย เป็นสถานที่ที่รวบรวมผู้แข็งแกร่งที่สุดของแดนทุรกันดารเอาไว้
ดังนั้นมองดูเหมือนคนฟ้าจะปรากฏตัวเป็นประจำ ทว่าในความเป็นจริงแล้วตลอดทั้งแดนทุรกันดาร คนฟ้าก็มีแค่ไม่กี่คนนี้เท่านั้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนก ทว่าพวกโจวหงที่อยู่รอบกายเขาซึ่งถึงแม้จะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก กระนั้นพอเห็นคนฟ้าสองคนรวมถึงผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนรอบด้าน แม้ร่างจะมิอาจกระดุกกระดิกได้ ทว่าสายตาของพวกเขากลับเผยความตื่นเต้นนั้นออกมาอย่างชัดเจน
บนท้องฟ้าในเวลานี้ คนฟ้าสองคนที่มาเยือนมองทุกคนที่อยู่รอบด้าน มองสภาพคนที่ถูกดึงพลังชีวิตออกไป ยิ่งเห็นลูกหลานของตัวเองอยู่ในนั้น สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนมาเป็นไม่น่ามองทันที
ไม่นานสายตาของพวกเขาก็ย้ายมาที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
วินาทีที่มองป๋ายเสี่ยวฉุน ไอสังหารขุมหนึ่งก็พลันแผ่ออกมา ด้วยตัวตนของพวกเขา ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาลงมือเอง แค่มาที่นี่ก็บอกท่าทีของพวกเขาได้แล้ว
“จับตัวเจ้าป๋ายฮ่าวผู้นี้เอาไว้!” ชายวัยกลางคนที่มีตบะคนฟ้าเอ่ยเนิบช้า เสียงของเขาประหนึ่งมีพลานุภาพแห่งฟ้ากังวานออกมา สั่นคลอนไปแปดทิศ
เมื่อเสียงคำสั่งของเขาดังจบ พระยาสวรรค์ครึ่งก้าวคนฟ้าที่อยู่รอบด้านก็ระเบิดไอสังหารอบอวล พวกเขาเองก็มองเห็นลูกหลานของตระกูลตัวเองที่อยู่ในกลุ่มคนด้านล่างเช่นกัน ยิ่งพระยาสวรรค์สองคนในนั้น ดวงตาของพวกเขาถึงกับแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าลูกหลานของพวกเขาเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่
เมื่อเจ้าพระยาสวรรค์คนนั้นออกคำสั่ง คนทั้งเก้าก็กลายร่างเป็นรุ้งยาวเก้าเส้นตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน!
ลมหายใจป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักค้าง ยามนี้ไม่มีเวลามามัวคิดมาก รีบถอยกรูดออกห่าง แทบจะขณะเดียวกับที่เขาถอยออกไป จุดที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ก็มีเสียงกัมปนาทดังลั่น พื้นดินแตกแยก ความว่างเปล่าพังทลาย ดับสลายไปในพริบตา
หากเขาหลบช้ากว่านี้อีกนิด ต้องถูกรั้งตัวอยู่ตรงนั้นแน่นอน
ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจ ทว่าตอนนี้เขาไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว ได้แต่เชื่อว่าราชาผียักษ์จะสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้ ขณะที่ถอยกรูดไปข้างหลัง พระยาสวรรค์ครึ่งก้าวคนฟ้าเก้าคนนั้นก็พลันพุ่งเข้ามาประหัตประหาร
เก้าคนนี้ไม่เหมือนกับราชาชัยน้อยในครั้งนั้น เมื่อครั้งที่กงซุนอี้ราชาชัยน้อยต่อสู้กับป๋ายเสี่ยวฉุน เป็นเพราะเขาเพิ่งจะเลื่อนขั้นกะทันหัน ขอบเขตยังไม่มั่นคง ทว่าเก้าคนนี้คือพระยาสวรรค์ ไม่เพียงแต่เป็นครึ่งก้าวคนฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังแช่อยู่ในขอบเขตของตัวเองมานานหลายปี ต่อให้เป็นครึ่งก้าวคนฟ้า แต่ต่างก็เป็นสุดยอดฝีมือทั้งสิ้น
ไม่ว่าใครต่างก็เทียบเคียงได้กับบุตรกิเลน!
หากให้สู้กันตัวต่อตัว ป๋ายเสี่ยวฉุนยังมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ ทว่าตอนนี้คนทั้งเก้าร่วมมือกัน ทำให้เขาชาไปทั้งหนังหัว ได้แต่ถอยร่น
ตูมๆๆ!
คนทั้งเก้าลงมืออย่างเหี้ยมโหดโดยไม่คิดออมมือ มาถึงก็ร่ายใช้ท่าไม้ตาย พริบตาเดียวเดือนและดาวก็ไร้แสง ความว่างเปล่าเปลี่ยนแปลง เวทคาถามากมายหลายชนิดเหมือนจะแหวกฟ้าผ่าดิน ประหนึ่งมีมือยักษ์ประหลาดเก้านิ้วที่ตรงเข้ามาหมายคว้าจับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างต่อเนื่อง!
มือใหญ่นี้น่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญแขวน มีลางสังหรณ์ว่าหากตนถูกมือใหญ่นั่นคว้าไว้ได้ ถ้าเช่นนั้นต่อให้กล้ามเนื้อของตนจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ยังไม่พ้นแหลกสลายทั้งกายและจิต!
“ราชาผียักษ์ หากเจ้ายังคลี่คลายปัญหาได้ช้ากว่านี้ ชีวิตน้อยๆ ของข้าก็ต้องหายไปแน่ๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกรีดร้องอยู่ในใจ หน้าผากมีเหงื่อผุดลงมาเป็นสาย ท่ามกลางเสียงกัมปนาทดังสะท้อน ร่างของเขาก็ถอยกรูดหลบไปอย่างรวดเร็ว เขาเข้าใจดีว่าหากตนช้ากว่านี้อีกสักนิดจะต้องถูกมือใหญ่เก้านิ้วนั้นคว้าไว้ได้แน่!
“แน่จริงก็เข้ามากันทีละคนสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น แต่ปากกลับร้องคำรามดัง ร่างถอยหนีไปอีกครั้ง ยังดีที่ระดับความเร็วของกล้ามเนื้อเขาน่าตะลึงมากพอ บวกกับการโคจรตบะ ทำให้ความเร็วยิ่งเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งที่สำคัญที่สุดคือขอบเขตกระดูกคงกระพันของเขาได้เลื่อนจากกระดูกหลอมไปถึงกระดูกกำลังแล้ว กล้ามเนื้อของเขาจึงแข็งแกร่งมากกว่าเดิม ในด้านความเร็วที่แสดงออกมาจึงมากกว่าก่อนหน้านี้อีกเล็กน้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ขณะที่เขาหลบเลี่ยงไปรอบด้านอย่างรวดเร็วจึงปรากฏเป็นภาพติดตาจำนวนมาก แม้ว่าเมื่ออยู่ภายใต้เวทอภินิหารของพระยาสวรรค์ทั้งเก้าคนนี้ เขาจะไม่สามารถโต้กลับไปได้ ทว่าอาศัยกำลังของคนคนเดียว เขากลับถ่วงเวลาไว้ได้
ภาพนี้ทำให้พระยาสวรรค์ทั้งเก้าคนขมวดคิ้วมุ่น คนทั้งเก้าร่วมมือกัน เดิมทีก็ประเมินอีกฝ่ายสูงอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้ความเร็วของคนผู้นี้กลับเหนือคนทั่วไปจนถึงขั้นที่พวกเขามิอาจไล่ฆ่าอีกฝ่ายได้ในระยะเวลาสั้นๆ
เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ เจ้าพระยาสวรรค์สองคนที่อยู่บนท้องฟ้าก็ยิ่งมีสีหน้ามืดคล้ำ เจ้าพระยาสวรรค์วัยกลางคนแค่นเสียงเย็นหนึ่งที
ใบหน้าใหญ่ยักษ์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าของเขาเวลานี้ได้มารวมกันกลายเป็นร่างจริง มือขวายกขึ้นแล้วชี้ไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังหนีเตลิดอย่างสบายๆ!
วินาทีที่นิ้วนี้ชี้ไป ห่างออกไปไกลพลันมีเสียงของสตรีธุลีแดงที่แฝงเร้นไว้ด้วยความเดือดดาลดังลอยมา
“เฉินฮ่าวซง หยุดเดี๋ยวนี้!!”