Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 397

ตอนที่ 397

อูเฉิน

เมิ่งฮ่าวเรียนรู้เกี่ยวกับชนเผ่าอูต๋าจากอูไห่ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเผ่านี้มีซือหลงระดับเจ็ดอยู่ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงส่งและได้รับความนับถือเป็นอย่างมาก แม้แต่หัวหน้าเผ่าและผู้เฒ่าสูงสุดก็แสดงท่าทีมีมารยาทต่อมัน

เขายังได้รู้อีกว่าชนเผ่าอูปิงเพิ่งจะรับซือหลงระดับเจ็ด ที่มาพร้อมกับยักษ์เถื่อนเมื่อเร็วๆ นี้อีกด้วย ซือหลงคนใหม่ผู้นี้ ได้รับความนับถือเป็นอย่างยิ่งในเผ่าอูปิงทันที และสร้างความเกรียวกราวให้กับเผ่าอื่นๆ อีกด้วย

เมื่อเขาได้ยินข่าวนี้ สีหน้าแปลกๆ ก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าเมิ่งฮ่าว และเขาก็คิดถึงกู่ลา ซึ่งหายตัวไปในช่วงการเคลื่อนย้ายทางไกลมายังทะเลทรายตะวันตก

ดำเนินชีวิตไปเช่นนี้จนในที่สุดก็ผ่านไปครึ่งไป เมิ่งฮ่าวรู้สึกค่อนข้างสงบสุขอยู่ในเผ่าอูต๋า ทำให้เข้าคิดย้อนกับไปตอนที่เพิ่งจะเข้าสังกัดสำนักจื่อยิ่นเป็นครั้งแรก

เหมือนกับในตอนนั้น ไม่มีใครมารบกวนเขา และไม่มีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้น ความลับเขาไม่ได้ถูกเปิดเผย และเขาก็สามารถทำตามแผนการที่วางไว้ โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้

ทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็หัวเราะออกมา เมื่อมองลงไปยังห้าสุนัขป่าชิงมู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในครึ่งปีที่ผ่านมา ทำให้เขามีความเข้าใจถึงความหมายของการเป็นผู้ผนึกอสูรมากยิ่งขึ้น

ความเข้าใจนี้มาพร้อมกับความรู้แจ้งส่วนตัวของเขาเอง และประสบการณ์ในการผนึกของวิชาผนึกความเที่ยงธรรม

เขารู้ว่าถ้าต้องการ เขาก็จะสามารถผนึกต้าเหมาได้เพียงชั่วพริบตา ปราณที่อยู่ภายในร่างต้าเหมาเป็นปราณอสูร ซึ่งสงบนิ่งอยู่ในอาณาจักรที่เขาสามารถผนึกมันได้

เช่นเดียวกัน ถ้าเขาต้องการ ก็สามารถทำให้สุนัขป่าตัวอื่นๆ เป็นเหมือนกับต้าเหมา

จากวิชาผนึกความเที่ยงธรรม ทำให้เมิ่งฮ่าวคิดได้มากมายเกี่ยวกับมันในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ตอนนี้ เขาแน่ใจว่าสามารถใช้วิชาผนึกความเที่ยงธรรมกับเหล่าสัตว์ปีศาจได้ทั้งหมด

เกือบจะเหมือนกับเป็นการผนึกพวกมันตามลำดับขั้น!

ยิ่งสัตว์ปีศาจมีระดับสูงมากเท่าใด พวกมันก็ยิ่งกระหายต่อการผนึกความเที่ยงธรรม สัตว์ตัวไหนที่ไม่กระหายต่อการผนึกความเที่ยงธรรม ก็ไม่ใช่สัตว์ปีศาจที่แท้จริง!

นอกจากนี้การเข้าใจในเรื่องของการผนึกอสูรอย่างลึกซึ้งในช่วงครึ่งปีมานี้ ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวจัดการให้ลานบ้านของเขาเต็มไปด้วยดอกบัวด้วยเช่นกัน ในที่สุดมันก็เริ่มเหมือนกับลานบ้านของเขาในเมืองเซิ่งเสวี่ยเป็นอย่างมาก

บุคคลภายนอกไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ผู้ฝึกตนโดยทั่วไปมีระดับของความอิสระที่คนอื่นๆ ไม่อาจจะมาแทรกแซงยุ่งเกียวได้ นอกจากนี้ ก็ไม่มีใครรู้ว่าดอกบัวเหล่านี้มีความสำคัญต่อเมิ่งฮ่าวอย่างไร

แน่นอนว่า ดอกบัวเหล่านี้มีความสำคัญอย่างสูงสุดต่อการเข้าใจ และรู้แจ้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลกระบี่ดอกบัวของเขาเป็นอย่างยิ่ง จากตอนที่เขาได้เรียนรู้วิชาค่ายกลกระบี่จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาได้ศึกษาการบานขึ้นและเหี่ยวแห้งลงของดอกบัวมาอย่างต่อเนื่อง ในตอนนี้ ดอกบัวได้เบ่งบานอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าวอย่างถาวรแล้ว

ความรู้สึกเช่นนี้เป็นเรื่องที่ยากจะอธิบายออกมาได้ ถ้าเขาหลับตาลง มันก็ราวกับว่ามีดอกบัวกำลังเบ่งบานอยู่ในจิตใจ เขาไม่จำเป็นต้องใช้ค่ายกลกระบี่ ตั้งแต่ที่บรรลุถึงขั้นนี้ แต่ก็เชื่อมั่นว่าถ้าเขาใช้ออกไป ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต้องแตกต่างไปจากเดิมอย่างแน่นอน

เมิ่งฮ่าวยังได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องภาพศักดิ์สิทธิ์เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ได้แต่คาดเดาเกี่ยวกับพวกมันได้ลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น

ตอนนี้ที่ด้านนอกมีแต่ความมืด เมื่อมองออกไป ก็ยากจะบอกได้ว่าเป็นเวลากลางคืน หรือท้องฟ้ากำลังถูกบดบังด้วยก้อนเมฆสีดำ แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้นที่อยู่ในอากาศ

“ฝนกำลังจะเริ่มตกอีกครั้ง” เขาพึมพำ เมื่อเร็วๆ นี้ มีฝนตกลงมามากมาย บางครั้งมันก็ตกลงมาอย่างหนัก จนทำให้พื้นดินกลายเป็นแอ่งน้ำ เกิดเป็นลำธารไหลลงไปด้านล่าง เสียงของสายฝนดังราวกับว่ามันกำลังต่อสู้กับฟ้าดิน

บางครั้ง มันก็ตกลงไปกระทบพื้นอย่างรุนแรง จนหยดน้ำพุ่งขึ้นไปในอากาศ ราวกับว่ามันต้องการจะกลับขึ้นไปบนสวรรค์ที่ด้านบน แต่ก็ต้องกลายเป็นหมอกควันไป

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ากลุ่มหมอกนั้นจะประกอบไปด้วยความดื้อรั้นเช่นเดียวกับสายฝน

เมิ่งฮ่าวมองออกไปด้านนอก ยังหยดน้ำฝนที่สาดกระหน่ำลงมา และสามารถรับรู้ได้ถึงเจตจำนงอันแข็งกร้าวไม่ยินยอมอย่างบางเบาของสายฝน แม้หลังจากที่มันกำลังกลายเป็นกลุ่มหมอก ก็ยังคงลอยกลับขึ้นไปในท้องฟ้า

“ถูกฝังอยู่ในพื้นปฐพี แต่ก็ยังปรารถนาที่จะกลับไปมีชีวิตอยู่บนสวรรค์…”

เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังก้อนเมฆสีดำซึ่งปกคลุมท้องฟ้าไว้ หลังจากที่เวลานาน, นามมากผ่านไป เขาก็หลับตาลง

“บางทีนั่นก็เป็นวิถีของผู้ผนึกอสุรด้วยเช่นกัน” เขาพึมพำ เมื่อได้บรรลุถึงระดับพื้นฐานฝึกตนของเขาในตอนนี้ ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ถึงความเป็นจริงบางอย่างที่มีอยู่ในสวรรค์และปฐพีแห่งนี้ แต่ละการรู้แจ้งที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้จิตใจเขามีการพัฒนามากขึ้น เป็นความรู้ความเข้าใจที่จะกลายไปเป็นพลังเพื่อใช้ในการตัดวิญญาณ

“แต่อะไรที่ดีกว่ากัน…ผนึกอสูรทั้งหมดภายใต้สวรรค์แห่งนี้? หรือรับรองพวกมันด้วยผนึกความเที่ยงธรรม?”

เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ที่นั่นจมอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด สุนัขป่าชิงมู่ห้าตัวนอนอยู่รอบๆ ข้างกายเขา อยู่เป็นเพื่อนเขาอย่างเงียบๆ ขณะที่เขามองออกไปยังสายฝน

จนกระทั่งรุ่งอรุณมาเยือน สายฝนก็เริ่มลดน้อยลง ในช่วงเช้าตรู่เช่นนั้น เขตเลี้ยงสัตว์ปีศาจก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีเสียงร้องของสัตว์ปีศาจใดๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัด

ในตอนนี้เองที่ได้ยินเสียงฝีเท้าดังทำลายความเงียบขึ้น เป็นเสียงเดินลุยน้ำได้ยินมา และกลิ่นที่ไม่คุ้นเคยก็ลอยมา ทำให้ความเงียบสิ้นสุดลง

เป็นบุรุษหนุ่มที่อายุมากกว่ายี่สิบปีเล็กน้อย สวมใส่ชุดที่มีเพียงกลุ่มคนชั้นสูงของเผ่าเท่านั้นที่จะใส่ได้ เป็นชุดหนังยาวสีเขียว ถูกขริบชายขอบด้วยผ้าไหมหรือผ้าแพร ส่องแสงแวววาวอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า ทำให้บุรุษหนุ่มผู้นี้ดูไม่ธรรมดา ถึงแม้ว่าพื้นฐานฝึกตนของมันจะค่อนข้างต่ำ

ในตอนนี้ มันกำลังขมวดคิ้วขณะที่รู้สึกอึดอัดใจกับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ในบริเวณนั้น มันถือร่มอยู่ในมือขณะที่เร่งเดินตรงไปยังลานบ้านที่อยู่ห่างไกลออกไป

“อูอาหลี่ ชักมากเกินไปแล้วในครั้งนี้ เมื่อบิดาข้ายังมีชีวิตอยู่ ผู้คนในสายโลหิตของท่านมักจะแสดงความสุภาพและนับถือเมื่อพวกมันพบเห็นข้า แต่ตอนนี้…”

บุรุษหนุ่มกัดฟันแน่นด้วยโทสะขณะที่มันเดินไป

นี่ก็คือ อูเฉิน แห่งเผ่าอูต๋า เป็นหนึ่งในกลุ่มคนของสามสายโลหิตที่ยิ่งใหญ่ของเผ่า สายโลหิตอันยิ่งใหญ่ทั้งสามเป็นคนรุ่นหลังของหัวหน้าเผ่า นอกจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น หัวหน้าเผ่าคนต่อไปมักจะถูกเลือกมาจากกลุ่มคนรุ่นหลังเหล่านี้

แน่นอนว่า อูเฉิน ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น นามของบิดามันสร้างความสั่นสะเทือนให้กับห้าชนเผ่าของอีกาศักดิ์สิทธิ์เมื่อหลายปีก่อน แต่โชคร้ายที่บิดามันได้ตายไปด้านนอกเผ่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา และยังไม่มีผลตัดสินอย่างเป็นทางการ

ทำให้สายโลหิตของมันสูญเสียตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ไป สำหรับอูเฉิน ศักดิ์ศรีของมันในตอนนี้เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา จนยากที่จะปกปิดความเจ็บช้ำน้ำใจไว้ได้

เนื่องจากกฎแห่งป่าของโลกแห่งการฝึกตน สายโลหิตใดๆ ที่ไม่มีผู้แข็งแกร่ง ไม่ว่าสายโลหิตนั้นจะมีศักดิ์ศรีใดๆ ก็จะตกเป็นเป้าโจมตี นี่คือความเป็นจริงแม้จะอยู่ในเผ่าอูต๋าก็ตามที

หลายปีที่ผ่านมา อูเฉินมีตำแหน่งที่ลดลงไปจากก่อนหน้านี้ ด้วยความหยิ่งยโสของมันทำให้ไม่อาจจะยอมรับได้ แต่จริงๆ แล้ว มันก็ไม่อาจจะทำอันใดได้ มันต้องทนทุกข์ทรมานจากคู่แข่ง และสมุนบริวารในชนเผ่าก็เริ่มไม่ยอมรับนับถือมันเพิ่มมากขึ้น ไม่มีทางที่มันจะทำอะไรได้ นอกจากก้มศีรษะและปฏิบัติตามความปรารถนาของพี่สาวมัน

แต่มันก็ไม่อาจจะรักษาท่าทีประนีประนอมในสถานการณ์เช่นนี้ได้ ในจิตใจของมัน คำพูดของพี่สาวไม่ถูกต้อง มันเพิ่งจะทะลวงผ่านพื้นฐานฝึกตน และตอนนี้ก็อยู่ในระดับแปดขั้นรวบรวมลมปราณ ตอนนี้มันยินดีที่จะจ่ายด้วยราคาใดๆ ก็ตาม เพื่อที่จะได้ครอบครองสัตว์ปีศาจระดับสาม มันยังได้แอบไปขอยืมผลึกลมปราณจำนวนมากมายมาจากเผ่าอื่นๆ อีกด้วย

“ด้วยสัตว์ปีศาจระดับสาม คนในเผ่ารุ่นเดียวกับข้าทั้งหมดก็ต้องให้ความสนใจข้าเป็นแน่ พวกมันส่วนใหญ่ต่างก็มีสัตว์ปีศาจระดับสามกัน ข้าไม่อาจอยู่ล้าหลังได้!” มันกัดฟันแน่น และไม่สนใจความเจ็บปวดในจิตใจ เลือกที่จะไม่ไปคิดถึงว่ามันจะจ่ายค่าดอกเบี้ยคืนกลับไปได้อย่างไร มันเดินตรงไปอย่างช้าๆ

มันคิดว่าจะไปหาซือหลงระดับสาม, สุ่ยมู่ ซึ่งเป็นเพียงหนทางเดียวที่มันจะได้ครอบครองสัตว์ปีศาจระดับสามด้วยราคาที่ไม่แพงมากนัก

กลุ่มคนทั้งหมดของเผ่าอูต๋าจะได้รับสัตว์ปีศาจระดับหนึ่ง หลังจากที่บรรลุถึงพื้นฐานฝึกตนที่กำหนดไว้ และทำการช่วยเหลือสนับสนุนชนเผ่า

ยิ่งใครมีพื้นฐานฝึกตนที่สูง ก็จะทำการช่วยเหลือได้มากขึ้น จากนั้นก็จะได้รับค่าตอบแทนมากขึ้นเช่นเดียวกัน

ยิ่งคนจากสามสายโลหิตอันยิ่งใหญ่ก็ยิ่งมีความพิเศษมากขึ้น พวกมันจะได้ครอบครองสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งแบบไม่คิดค่าใช้จ่าย ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งพวกมันมีพื้นฐานฝึกตนสูงขึ้นเท่าใด พวกมันก็จะได้รับสัตว์ปีศาจที่ดีกว่าขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีค่าใช้จ่าย

จุดสำคัญของความแข็งแกร่งนี้ จริงๆ แล้วก็ไม่มีขีดจำกัด ถ้าใครต้องการจะได้ครอบครองสัตว์ปีศาจที่แพงมากๆ แน่นอนว่า ต้องจ่ายค่าตอบแทนมากขึ้นเช่นกัน

สำหรับอูเฉิน มันสามารถครอบครองสัตว์ปีศาจระดับสองได้แบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้ามันต้องการระดับสาม มันต้องจ่ายผลึกลมปราณไปบางส่วน

ผู้เลี้ยงสัตว์ปีศาจทั้งหมด รวมถึงเมิ่งฮ่าว ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าอูต๋า งานของพวกมันในเผ่าก็คือเลี้ยงดูสัตว์ปีศาจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะเป็นเจ้าของสัตว์ปีศาจจริงๆ

โดยหลักการแล้ว ใครก็ตามที่จะนำสัตว์ปีศาจไป ต้องมาพร้อมกับเหรียญคำสั่ง ซึ่งก็เป็นแค่หลักการ แต่ในความเป็นจริง ก็ยังไม่มีกฎที่ถูกเขียนไว้อย่างแน่ชัด เพื่อป้องกันสิ่งที่เกิดขึ้น จริงๆ แล้ว ผู้เลี้ยงสัตว์ปีศาจเป็นแค่ซือหลงระดับต่ำ ซึ่งจะถูกจัดระดับจากการที่พวกมันสามารถเลี้ยงสัตว์ปีศาจได้ถึงระดับสูงแค่ไหน

เนื่องจากเช่นนั้น และเนื่องจากความนับถือที่มีต่อซือหลง ซึ่งไม่อาจจะล่วงละเมิดได้ ทุกชนเผ่าในทะเลทรายตะวันตก ก็จะมีประเพณีปฏิบัติเช่นเดียวกัน ซือหลงมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่า จะให้หรือไม่ให้สัตว์ปีศาจที่พวกมันเลี้ยงดูมากับใครก็ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ซือหลงยังมีสิทธิ์ที่จะขอซื้อสัตว์ปีศาจใดๆ ที่พวกมันเลี้ยงก็ได้เป็นคนแรก

 

อูเฉินที่มีใบหน้าเคร่งเครียด เดินตรงไปยังลานบ้านเป้าหมายของมันอย่างเร่งรีบ กลิ่นที่ลอยอบอวลอยู่ในอากาศยามเช้าตรู่ ทำให้มันรู้สึกอึดอัด แต่เพราะการมายังที่นี่ของมันเมื่อครู่นี้ได้ทำลายความเงียบสงบไป เสียงคำรามแผดร้องของสัตว์ปีศาจเริ่มดังขึ้นมาจากลานบ้านต่างๆ ในบริเวณนั้น

ยิ่งทำให้อูเฉินรู้สึกรำคาญขึ้นเล็กน้อย มันเร่งเดินผ่านบริเวณที่มีสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งและสองไป จากนั้นก็เข้าไปยังพื้นที่ซึ่งมีสัตว์ปีศาจระดับสามเป็นส่วนใหญ่ ในตอนนี้เองที่มันเดินผ่านตรงเข้าไปยังลานบ้านของเมิ่งฮ่าว

ในขณะที่มันกำลังจะเดินต่อไป สุนัขป่าชิงมู่ของเมิ่งฮ่าว และสัตว์ปีศาจตัวอื่นๆ ก็เริ่มส่งเสียงคำรามขึ้นมา

เป็นเสียงที่ดูเหมือนจะปกติธรรมดา แต่ทันทีที่อูเฉินได้ยิน จิตใจมันก็สั่นสะท้าน และสีหน้าก็เปลี่ยนไปด้วยความตกใจ เสียงคำรามของสุนัขป่าชิงมู่ไม่ได้แหลมสูงมากนัก แต่เมื่อมันเข้าไปอยู่ใกล้เสียงนั้นก็ทำให้จิตใจมันหมุนเคว้งคว้าง ฉับพลันนั้น มันก็รู้สึกว่าร่างกายกำลังสั่นสะท้าน ราวกับว่ามีแรงกดดันอันมหาศาลกำลังกดทับลงมาที่ตัวมัน

มันอ้าปากค้าง หันหน้ามองไปยังเมิ่งฮ่าวที่ลานบ้าน มันเคยได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ปีศาจระดับสองมาก่อน แต่ก็ไม่เคยจะทำให้มันต้องสั่นสะท้านเช่นนี้มาก่อน โดยไม่ลังเล มันผลักประตูให้เปิดออก และมองเข้าไปด้านใน เห็นนักศึกษาเยาว์วัยท่าทางสุภาพ กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น มองกลับมาที่มันด้วยสายตาที่สดใสราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน

นักศึกษาเยาว์วัยถูกห้อมล้อมไปด้วยสุนัขป่าชิงมู่ห้าตัว ซึ่งกำลังจ้องมองมายัง

อูเฉินด้วยสายตาเย็นเยียบ และเต็มไปด้วยความดุร้าย โดยเฉพาะสายตาที่จ้องมาของตัวที่ดูค่อนข้างซูบผอม ร่างกายอูเฉินเริ่มสั่นสะท้านอย่างไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้

สีหน้ามันเต็มไปด้วยความตกใจ แรงกดดันอันรุนแรงกดทับลงมา และมันก็เริ่มหอบหายใจ จิตใจหนักอึ้งราวกับว่ามันกำลังจะตกตายไป

อูเฉินแทบไม่อาจจะทนรับแรงกดดันที่กระจายออกมาจากสุนัขป่าชิงมู่ที่อยู่ในลานบ้านได้ รู้สึกราวกับว่ามันกำลังจะระเบิดออก

“มีอะไรให้ข้าช่วย, สหายเต๋า?” เมิ่งฮ่าวถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ทันทีที่เสียงพูดแผ่วเบาของเขาดังก้องออกมา จู่ๆ แรงกดดันก็หายไป อูเฉินรู้สึกว่าร่างกายมันเริ่มอ่อนปวกเปียก และเกือบจะหล่นลงไปกองกับพื้น ใบหน้ามันซีดขาว แต่ก็ยืดหน้าอกขึ้นอย่างมีศักดิ์ศรี ความหยิ่งยโสปกคลุมทั่วใบหน้า

“ข้าคืออูเฉิน หนึ่งในกลุ่มคนของสามสายโลหิตอันยิ่งใหญ่ สุนัขป่าชิงมู่ระดับสองของเจ้าในตอนนี้เป็นของข้าแล้ว!” จริงๆ แล้ว มันมีความกังวลและตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย มันได้ยกเลิกความคิดเกี่ยวกับสัตว์ปีศาจระดับสามไปเรียบร้อยแล้ว มันกำลังรู้สึกมีความสุข เพราะมองเห็นว่าสุนัขป่าชิงมู่เหล่านี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง จากสิ่งที่มันสัมผัสได้ ถึงแม้พวกมันจะไม่อาจจะเปรียบได้กับระดับสาม แต่ก็ต้องอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับสองอย่างแน่นอน

มันกำลังจะเอื้อมมือเพื่อชี้ไปยังต้าเหมาที่ขนยาวเงางาม แต่จากนั้นก็ลังเลอยู่ชั่วขณะ และชี้ไปยังหนึ่งในสุนัขป่าชิงมู่ตัวอื่น ซึ่งดูท่าทางน่าประทับใจมากกว่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!