ตอนที่ 398
สาขาของผู้ผนึกอสูร
อูเฉินชี้ไปที่ซื่อเหมา
ซื่อเหมาดูสูงใหญ่แข็งแรงกว่าสุนัขป่าตัวอื่นๆ อยู่เล็กน้อย ซึ่งเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ตอนที่พวกมันยังเล็กอยู่ แต่เมิ่งฮ่าวได้ตั้งชื่อให้พวกมันตามความแข็งแกร่ง ซึ่งอู่เหมาจะอ่อนแอมากที่สุด
ซื่อเหมาที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากที่สุดหรือน้อยที่สุด เมื่อถูกชี้โดยอูเฉินก็ทำให้ดวงตามันเริ่มสาดประกายด้วยความดุร้าย เปล่งแสงอันเย็นเยียบ และส่งเสียงขู่คำรามออกมา ในความคิดของมัน มีแต่เจ้านายมันเท่านั้นที่สามารถชี้มาที่มันเช่นนั้นได้ ไม่มีใครควรค่าพอที่จะทำเช่นนี้
“พื้นฐานฝึกตนของเจ้าไม่เพียงพอ” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ
“เจ้าไม่อาจจะควบคุมมันได้ ไปเลือกจากบ้านหลังอื่นเถอะ” เขาลูบไปที่ศีรษะซื่อเหมาเบาๆ ซื่อเหมาก้มศีรษะลงอย่างเชื่อฟังด้วยท่าทางน่ารักเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเมิ่งฮ่าวไม่ได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้ มันก็คงจะพุ่งตรงไปกัดอูเฉินจนกลายเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว
“เจ้า!” อูเฉินร้องตะโกนออกมา ใบหน้าบิดเบี้ยว มองมายังเมิ่งฮ่าว มันรับรู้ได้ถึงความล้ำลึกในพื้นฐานฝึกตนของเขา แต่มันก็เป็นกลุ่มคนในชนเผ่าอูต๋า และเป็นลูกหลานของหนึ่งในสามสายโลหิตอันยิ่งใหญ่ เมื่อพิจารณาถึงตัวตนของมัน ก็ไม่สำคัญว่าศักดิ์ฐานะของมันจะลดน้อยลงไป มันยังคงอยู่เหนือสมุนบริวารในชนเผ่า
“ข้าอยู่ในระดับแปดขั้นรวบรวมลมปราณแล้ว! ข้าสามารถควบคุมสัตว์ปีศาจระดับสอง สุนัขป่าชิงมู่ขึ้นชื่อในเรื่องความรวดเร็วว่องไว ไม่ใช่เรื่องการต่อสู้ มีเหตุผลบ้าบออะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าข้าไม่อาจจะควบคุมมันได้!” อูเฉินกัดฟันแน่นขณะที่จ้องมายังเมิ่งฮ่าว
เกือบจะในทันทีที่มันพูดจบ ดวงตาซื่อเหมาก็สาดประกายเย็นเยียบออกมา จู่ๆ ภาพเลือนลางสีเขียวก็ปรากฎขึ้น เพียงชั่วพริบตา
ซื่อเหมาก็มายืนอยู่ตรงหน้าอูเฉิน ปากของมันอ้ากว้างจ่ออยู่ที่จมูกอูเฉิน เกือบจะงับมันไป สีหน้าอูเฉินเต็มไปด้วยความตกใจในทันที มันส่งเสียงแผดร้องด้วยความหวาดกลัวและถอยไปด้านหลัง
เหงื่อเย็นๆ ไหลรินลงมาทั่วร่าง สีหน้ามันซีดขาวราวคนตาย หายใจอย่างเร่งร้อน ม่านตาหดเล็กลง ยืนอยู่ที่นั่น จิตใจหมุนเคว้งคว้าง เมื่อครู่นี้มันรู้สึกได้ถึงความตายที่ใกล้เข้ามาอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกที่มันไม่เคยพบเห็นมาก่อน และทำให้ร่างกายมันสั่นสะท้าน ความหวาดกลัวยังคงไหลซึมออกมาอย่างต่อเนื่อง
เมิ่งฮ่าวส่งเสียงดุอยู่ในลำคอ เมื่อซื่อเหมาได้ยิน ก็ทำให้มันอ่อนปวกเปียกลงในทันที มันก้มศีรษะลง ไม่ต้องการแม้แต่จะมองไปยังเมิ่งฮ่าว
อูเฉินสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แสงเจิดจ้าสาดประกายอยู่ในดวงตาขณะที่มันจ้องนิ่งไปยังซื่อเหมา มันหายใจหนักหน่วงมากขึ้นในตอนนี้ จิตใจเริ่มเต้นรัว ขณะที่มองไปยังซื่อเหมาที่มีขนาดยาวมากกว่าหนึ่งจ้าง มองดูขนสีเขียวและท่าทางอันยิ่งใหญ่ของมัน
“ข้าเคยเห็นสุนัขป่าชิงมู่ระดับสองมามากมาย” มันคิดกับตัวเอง
“แม้แต่ตัวที่เป็นของกลุ่มคนสายโลหิตอื่นๆ ก็ไม่มีตัวไหนที่จะรวดเร็วเท่าตัวนี้เลย นี่ก็คือ…สุนัขป่าชิงมู่กลายพันธุ์อย่างแน่นอน”
“ต้องใช่แน่ๆ! มีแต่กลายพันธุ์เท่านั้น ถึงจะรวดเร็วได้เช่นนี้! มันสามารถสังหารข้าได้ในชั่วพริบตา!!” ในตอนนี้ มันมองมายังเมิ่งฮ่าว
“จากกฎของเผ่า สุนัขป่าชิงมู่นี้เป็นของเผ่าอูต๋า ข้ามีสิทธิ์ที่จะนำมันไป!” คำพูดของมันฟังดูเหมือนกับจะเข้มแข็ง แต่จริงๆ แล้ว จิตใจของมันกำลังเต้นรัว ถ้าสุนัขป่าไม่ได้ทำให้มันตกใจมากเช่นนั้น มันก็คงจะไม่พูดจาเช่นนี้ นำกฎของเผ่าออกมาข่มขู่
เมิ่งฮ่าวแอบหัวเราะอยู่ในใจ และส่ายหน้า เมื่อพิจารณาถึงระดับพื้นฐานฝึกตนของเขาแล้ว เขาก็ไม่ควรจะโต้เถียงกับผู้ฝึกตนที่อยู่แค่ระดับแปดขั้นรวบรวมลมปราณ
“ถ้าเจ้าสามารถนำมันไป ก็ลองดู” เขากล่าว จากนั้นก็หลับตาลง และไม่สนใจถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น
“ดี, เจ้าพูดเองนะ!” อูเฉินตอบ ไม่อาจจะปกปิดความยินดีที่เต็มอยู่ในจิตใจไว้ได้ นอกจากเป็นทายาทของสามสายโลหิตอันยิ่งใหญ่แล้ว อูเฉินก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่ก็ได้สืบทอดสายโลหิตที่เก่งในเรื่องวิชาตราประทับสัตว์ปีศาจมา ซึ่งมันได้ศึกษามาตั้งแต่เยาว์วัย จริงๆ แล้วมันก็เชี่ยวชาญในวิชาตราประทับที่แตกต่างกันมากกว่าสิบชนิด
ดังนั้น มันจึงมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า สามารถทำได้สำเร็จแม้แต่สัตว์ปีศาจที่อยู่ในระดับสาม โดยไม่ต้องพูดถึงระดับสอง ถึงแม้ว่านี่จะเป็นสัตว์ปีศาจที่กลายพันธุ์มา มันก็ยังคงอยู่แค่ระดับสองเท่านั้น และอูเฉินก็ไม่ได้สงสัยใดๆ เลยแม้แต่น้อย
ด้วยการหัวเราะเสียงดัง มันค่อยๆ เข้าไปใกล้ซื่อเหมา ความมุ่งหวังสาดประกายอยู่ในดวงตา มันเริ่มร่ายเวทอาคมด้วยมือขวาอย่างระมัดระวัง สร้างเป็นเครื่องหมายตราประทับแปลกๆ ขึ้นมา ซึ่งดูคล้ายกับเป็นศีรษะของสุนัขป่า
เมื่อเครื่องหมายตราประทับปรากฎขึ้น ท่าทางสับสนเกิดขึ้นในดวงตาซื่อเหมา เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ทำให้อูเฉินมีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น เครื่องหมายตราประทับส่องประกายเจิดจ้า และจากนั้นก็กลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังซื่อเหมา
เพียงชั่วพริบตา มันก็หายเข้าไปตรงหน้าผากของซื่อเหมา
“มันได้ผล!” อูเฉินร้องตะโกนออกมาด้วยความฮึกเหิม ส่วนแรกของขั้นตอนนี้ได้กระทำไปแล้ว หลังจากกระทำการต่อไป เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอน สัตว์ปีศาจตัวนี้ก็จะกลายเป็นสัตว์อสูรภาพศักดิ์สิทธิ์ของมัน
เมิ่งฮ่าวยังคงหลับตาลง และไม่ได้สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เขาไม่ได้ทำอะไรที่จะหยุดอูเฉินจาการเข้าไปใกล้ซื่อเหมา อูเฉินยกมือขึ้นไปแตะสัมผัสมัน
แต่ขณะที่ทำเช่นนั้น ซื่อเหมาก็เงยหน้าอันใหญ่โตของมันขึ้นมาในทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย ดวงตาของมันสาดประกายด้วยแสงอันเย็นชาและโหดเหี้ยม
แววตาของมันทำให้สีหน้าอูเฉินสลดลงในทันที จิตใจอูเฉินเริ่มหนักอึ้ง และล่าถอยไปด้านหลังในทันที แววตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่มีทาง มันจะผิดพลาดไปได้อย่างไร…?” มันตัดสินใจเปลี่ยนวิธีสร้างตราประทับในทันที ในที่สุด ครึ่งชั่วยามก็ผ่านไป อูเฉินพยายามสร้างตราประทับที่แตกต่างกันเจ็ดถึงแปดวิธี แต่ท้ายที่สุด ก็ไม่มีวิธีใดจะประสบความสำเร็จ
ความดุร้ายในแววตาซื่อเหมาเริ่มเข้มข้นมากขึ้น ในที่สุด อูเฉินก็ยอมแพ้ ใบหน้ามันซีดขาวและเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ซื่อเหมาส่งเสียงคำรามออกมา จากนั้นพุ่งกระโจนไป ปากของมันอ้ากว้าง มุ่งตรงไปยังลำคอของอูเฉิน
รังสีสังหารอันเข้มข้นและความโหดเหี้ยมดุร้ายกระจายออกมา มันเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็วโดยที่อูเฉินไม่มีทางจะหลบเลี่ยงพ้น ลำแสงสีเขียวเต็มอยู่ในดวงตา ซึ่งจากนั้นก็เริ่มกลายเป็นสีดำ ไม่มีแม้แต่เวลาที่จะรับรู้ถึงอันตรายที่พุ่งขึ้นมา
ในช่วงวิกฤตนี้เอง เมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้นและกล่าวว่า “ซื่อเหมา, มานี่”
ซื่อเหมาส่งเสียงครางหงิงๆ และจากนั้นก็เริ่มตัวสั่นสะท้าน ฟันอันแหลมคมราวใบมีดของมัน เกือบจะฝังเข้าไปในลำคอของอูเฉิน
แต่ซื่อเหมาก็พุ่งถอยไปด้านหลัง กลับไปนอนอยู่ตรงพื้นข้างกายเมิ่งฮ่าว ด้วยสีหน้าที่น่ารักและมีเสน่ห์
ใบหน้าอูเฉินซีดขาวไร้สีเลือดโดยสิ้นเชิง ร่างกายกำลังสั่นไปมา จิตใจก็สับสนยุ่งเหยิง หลังจากที่มาถึงลานบ้านอันน่ากลัวนี้ มันก็เกือบจะตายไปแล้วสองครั้ง จากประสบการณ์ที่คาดไม่ถึงทั้งหมดนี้ได้จารึกแน่นอยู่ในจิตใจ มีเพียงสิ่งเดียวที่มันสามารถทำได้ก็คือ มองไปยังเมิ่งฮ่าว ซึ่งในตอนนี้ ได้ถูกประทับแน่นอยู่ในจิตใจของมัน
ภาพของเมิ่งฮ่าวที่กำลังนั่งอยู่ที่นั่น ถูกห้อมล้อมด้วยฝูงสุนัขป่าชิงมู่ทั้งห้าตัว เป็นสิ่งที่อูเฉินไม่อาจจะลืมเลือนไปได้ ถูกประทับลึกลงไปในจิตใจมันอย่างถาวร
“ผู้อาวุโส…ข้า…” อูเฉินไม่รู้ว่าต้องกล่าวอันใด มันมองไปยังเมิ่งฮ่าวและสุนัขป่าชิงมู่ชั่วขณะ ร่างสั่นไปมา มันประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ จากนั้นก็เร่งรีบออกไปจากลานบ้าน ปิดประตูลง จากนั้นก็ยืนอยู่ที่ด้านนอก และโค้งตัวลงอีกครั้ง มีความรู้สึกทั้งตกใจและประหลาดใจ มันหันหลังและจากไป
“ผู้เก่งกล้า! ผู้เก่งกล้าอย่างแท้จริง ที่สามารถเลี้ยงสัตว์ปีศาจกลายพันธุ์นี้ขึ้นมาได้! มันต้องเป็นซือหลงที่แท้จริง!! คงมีเหตุผลบางอย่างที่มันต้องมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่…ข้าต้องไม่บอกใคร บางทีถ้าข้าพบเจอกับปัญหาบางอย่างในวันข้างหน้า มันคงจะ…ให้คำแนะนำข้าได้บ้าง!!” เมื่อตัดสินใจได้แล้ว อูเฉินก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และวิ่งจนหายลับตาไป
เมิ่งฮ่าวมองดูบุรุษหนุ่มจากไป สีหน้าราบเรียบเหมือนเช่นเคย เป็นเรื่องยากที่จะแอบซ่อนความสามารถพิเศษของสุนัขป่าชิงมู่ไว้ และเขาก็ไม่คิดจะทำเช่นนั้นด้วย ในความคิดของเขา การที่ถูกรู้ว่าเป็นซือหลงก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเท่าใดนัก
อันที่จริง วิธีการควบคุมสัตว์ปีศาจของเมิ่งฮ่าว ก็ยอดเยี่ยมเกินกว่าวิธีการของซือหลง นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่ใช่ซือหลง แต่จริงๆ แล้วก็เป็น…ผู้ผนึกอสูร!
ผู้ผนึกอสูรที่ปลอมตัวมาเป็นซือหลงก็เหมือนกับเป็น เจ้าโอสถของเต๋าแห่งการปรุงยาที่เสแสร้งเป็นนักปรุงยาทั่วไป ทั้งสองอย่างนี้มีระดับที่แตกต่างห่างไกลกันโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะกระทำเช่นนั้น ทุกสิ่งที่ซือหลงสามารถทำได้ ผู้ผนึกอสูรก็กระทำได้เช่นเดียวกัน แต่ซือหลงไม่อาจจะทำได้เช่นเดียวกับผู้ผนึกอสูร
“ข้ามักจะคิดว่ามีเรื่องที่เหมือนกันอย่างมากมาย ระหว่างซือหลงและผู้ผนึกอสูร ซึ่งข้าคิดว่าคงจะแตกต่างกันน้อยมากในอดีตที่ผ่านมา” จากการศีกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มาครึ่งปี ยิ่งทำให้เขามั่นใจในข้อสรุปนี้มากยิ่งขึ้น
“วิชาลับของซือหลงทำให้พวกมันสามารถเลี้ยงดูสัตว์ปีศาจให้เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว คนทั่วไปมักจะรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องเช่นนี้ แต่จากการใช้วิธีการเช่นนี้ ก็ทำให้สัตว์ปีศาจมีขอบเขตอายุอยู่ในระดับที่ธรรมดา ไม่อาจจะเพิ่มมากไปกว่านั้นได้”
“แต่การผนึกความเที่ยงธรรมโดยการใช้ปราณอสูร ก็เป็นวิชาที่เหนือกว่าวิชาลับซือหลง มันสามารถทำลายขอบเขตธรรมดานั้นทิ้งไป สามารถเปลี่ยนแปลงพื้นฐานธรรมชาติของสัตว์ปีศาจได้อย่างแท้จริง” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เมิ่งฮ่าวก็ยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ยิ่งเขาวิเคราะห์ค้นคว้าเรื่องนี้มากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าซือหลงก็คล้ายกับผู้ผนึกอสูรซึ่งอยู่บนเส้นทางที่แตกต่างกัน และกำลังพยายามลอกเลียนแบบผู้ผนึกอสูรที่แท้จริงอย่างดีที่สุด
“ข้าอยากรู้นักว่า ย้อนกลับไปในอดีตของผู้ผนึกอสูรรุ่นแปด จะมีซือหลงตกทอดมรดกไว้เบื้องหลังบ้างหรือไม่?” เป็นความคิดที่น่าสนใจยิ่ง แต่โชคร้าย ที่มีช่องว่างอันกว้างใหญ่ระหว่างตัวเขา ซึ่งเป็นผู้ผนึกอสรูรุ่นที่เก้า และผู้ผนึกอสูรรุ่นแปด เขารู้สึกว่ามีมรดกมากมายที่หายสาบสูญไป และรู้สึกเสียใจที่ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับผู้ผนึกอสูรรุ่นก่อนๆ
“ข้าสงสัยว่าถ้ามีร่องรอยของผู้ผนึกอสูรได้ถูกค้นพบในทะเลทรายตะวันตก…” สีหน้าเขาสงบนิ่งขณะที่พิจารณาถึงเรื่องนี้ “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าจำเป็นต้องใช้โอกาสทุกอย่างเท่าที่มีเพื่อสังเกตดูภายในเผ่าอูต๋า เพื่อให้แน่ใจว่าข้าจะสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ได้”
เผ่าอูต๋ามีผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งอยู่สามคน แต่เมิ่งฮ่าวก็มั่นใจว่า ถ้าเขาสวมใส่หน้ากากสีโลหิต ก็มีเพียงแต่มนุษย์ต้นไม้บนยอดเขาเท่านั้น ที่จะเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตเขาได้
ดังนั้น เขาจึงระมัดระวังการกระทำเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้จะพยายามปกปิดสิ่งใดๆ มากจนเกินไป
“ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อไหร่ที่ข้าเผชิญกับบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้ผนึกอสูร มันก็จะไปกระตุ้นปฏิกิริยาของแผ่นหยกผนึกอสูร แต่หลังจากเข้ามาในทะเลทรายตะวันตก ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางที…ข้าเพิ่งจะอยู่ในสถานที่ถูกต้องในที่แห่งนี้” เขาตบไปที่ถุงสมบัติ และหยิบเอาแผ่นหยกผนึกอสูรออกมาถืออยู่ในมือ และตรวจสอบมันอย่างละเอียด
มันให้ความรู้สึกที่อบอุ่นและเรียบลื่นเมื่อถืออยู่ในมือ ราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเขาอย่างแท้จริง เมื่อมองไปที่แผ่นหยกเขาก็รู้สึกสงบเย็น และค่อยๆ เลื่อนเข้าไปในอยู่ขั้นแปลกๆ
หลังจากที่ผ่านไปเป็นเวลานาน เขาก็เก็บแผ่นหยกโบราณนี้ไว้ และหลับตาลงเข้าฌาณ