Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 437

ตอนที่ 437

สะพานเซียนเดินหน

“ความกรุณาที่เผ่าอูต๋ามีต่อข้าในครั้งแรก ก็คือภาพศักดิ์สิทธิ์ต้นชิงมู่”

เมิ่งฮ่าวกล่าวขณะที่เดินมาช้าๆ ด้วยน้ำเสียงแปลกๆ ราวกับว่าเต็มไปด้วยเสียงคลุมเครือไม่ชัดเจน ของสัตว์ปีศาจจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนกำลังส่งเสียงคำรามโดยพร้อมเพรียงกัน “ครั้งที่สองเป็นน้ำในสระแห่งโชคชะตาของเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งช่วยให้ข้าได้พลังของธาตุไม้ครบวงจร ภายในดินแดนสักการะ ข้าได้พบกับอีกาศักดิ์สิทธิ์ และได้รับรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุทอง นั่นก็คือความกรุณาครั้งที่สาม”

“เมิ่งฮ่าว เป็นผู้ที่มีบุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระอย่างชัดเจน พวกท่านทำการทดสอบข้า และปล่อยให้ศัตรูบุกมาโจมตีข้า แต่ทั้งหมดนั้นก็เพื่อความปลอดภัยของเผ่า และพวกท่านก็ไร้ทางเลือก ซึ่งข้าก็เข้าใจ”

“ข้าไม่ต้องการหินลมปราณของพวกท่าน สำหรับสัตว์ปีศาจ พวกมันจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นถ้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของข้า แต่ถ้าห้าชนเผ่ายังคงอยู่หลังจากการต่อสู้จบลง ข้าก็จะมอบพวกมันคืนให้กับพวกท่าน”

“เกี่ยวกับเรื่องของการแบ่งทรัพย์สมบัติ หรือสิ่งอื่นๆ ข้า, เมิ่งฮ่าว จะยืนอยู่เคียงข้างพวกท่านตลอดทั้งการต่อสู้ครั้งนี้ สหายเต๋าทั้งหลาย เหตุผลที่ข้าทำเช่นนี้…ก็เนื่องจากความกรุณาทั้งสามนั้น ดังนั้น ได้โปรดอย่าได้ทดสอบข้าอีก และต้องไม่มีเหตุการณ์เช่นเมื่อวานเกิดขึ้นอีก มิเช่นนั้น ข้าจะต้องตัดความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับความกรุณาเหล่านั้นอย่างแท้จริง”

เมื่อพูดจบ เขาก็ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับบุคคลต่างๆ ของทั้งห้าเผ่า

พวกมันมองกลับไปที่เขาด้วยความตกตะลึงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นสีหน้าพวกมันก็เต็มไปด้วยความละอายใจ ในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกมันที่จะไม่ตระหนักว่า ทั้งหมดนี้ก็คือคำเตือน ไม่ได้เรียกร้องให้จ่ายค่าตอบแทน มีเพียงสิ่งเดียวที่เมิ่งฮ่าวต้องการก็คือ ทัศนคติที่เหมาะสม

ข้าจะช่วยพวกท่านเพื่อตอบแทนบุญคุณ สิ่งที่ข้าต้องการเพียงอย่างเดียวก็คือ…ความนับถือ!

นั่นเป็นสิ่งที่เมิ่งฮ่าวต้องการ และก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงไม่ได้ปรากฎตัว แต่ส่งกู่ลามาพบกับพวกมันแทน

“นอกจากนี้” เมิ่งฮ่าวกล่าวต่อไป “ข้าอยากจะรู้เกี่ยวกับสะพานเซียนเดินหน ซึ่งหัวหน้าเผ่าอูปิงได้กล่าวถึงให้มากกว่านี้”

ร่างเมิ่งฮ่าวปกคลุมเต็มไปด้วยรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ และมีกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งกระจายออกมา เมื่อได้ยินคำพูดที่จริงใจของเขา หัวหน้าเผ่าอูปิงก็กล่าวขึ้นช้าๆ “สะพานเซียนเดินหน คือซากปรักหักพังที่ขยายยืดยาวออกไป จากตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมา มันเคยเป็นเก้าสะพานในดินแดนอันยิ่งใหญ่ของทะเลทรายตะวันตก สำหรับใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา ยากที่จะบ่งชี้ได้ บางคนกล่าวว่าพวกมันก่อตัวขึ้นมาจากดินที่มาจากดวงดาวตามธรรมชาติ”

“สำหรับสะพานเหล่านี้ พวกมันเคยถูกใช้สำหรับการกลายเป็นเซียน โดยการเดินไปบนสะพานทั้งสาม ท่านก็จะสามารถสร้างร่างเซียนขึ้นมาได้ ถ้าเดินไปได้หกสะพาน ท่านก็สามารถสร้างวิญญาณเซียนได้ ถ้าเดินไปได้ทั้งเก้าสะพาน ท่านก็จะบรรลุกลายเป็นเซียน”

“กล่าวกันว่า สะพานเหล่านี้ได้เชื่อมต่อไปยังดวงดาวต่างๆ และตั้งอยู่ถัดจากขุนเขาทะเล…แต่โชคร้าย ที่สะพานเหล่านี้ได้เผชิญพบกับการลงทัณฑ์อันยิ่งใหญ่ สวรรค์ไม่พึงพอใจ และทำลายพวกมันด้วยสายฟ้า เกิดเป็นเสียงกระหึ่มกึกก้องไปทั่วนานถึงเก้าร้อยสามสิบเจ็ดปี ก่อนจะในที่สุดสะพานก็พังทลายลง และเปลี่ยนเข้ามาอยู่ในโลกอีกแห่งหนึ่ง คนรุ่นหลังเรียกโลกนั้นว่า…อาณาจักรแห่งซากสะพาน!”

“ภายในอาณาจักรแห่งซากสะพานนั้นก็คือ ซากปรักหักพังของสะพานเซียนเดินหน ยังมีดินเซียนซึ่งประกอบไปด้วยปราณเซียนอยู่ในนั้นด้วย

สำหรับผู้ฝึกตนเช่นพวกเรา ปราณเซียนเช่นนั้นก็เหมือนกับยาบำรุงที่หายาก ดีกว่าเม็ดยาใดๆ ทั้งหมด ในอาณาจักรซากสะพานนั้นยังมีหินลมปราณระดับสูง ซึ่งหินลมปราณที่โลกด้านนอกไม่อาจจะเทียบได้อยู่อีกด้วย”

“ยิ่งไปกว่านั้น ภายในซากปรักหักพังของสะพานเซียนเดินหน ซึ่งอยู่ในอาณาจักรแห่งซากสะพานนั้น สามารถพบกับเวทเซียนและความสามารถศักดิ์สิทธิ์มากมายนับไม่ถ้วน แม้แต่สิ่งมีชีวิตซึ่งสูญพันธุ์อยู่ในโลกด้านนอกมาตั้งแต่สมัยโบราณก็อาจจะพบเห็นได้อยู่ในนั้น อาณาจักรแห่งซากสะพานเป็นหนึ่งในของวิเศษอันล้ำค่ามากที่สุดของทะเลทรายตะวันตก!”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ สีหน้าเมิ่งฮ่าวก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไป และเขาก็รับฟังอย่างเยือกเย็นต่อไป

“อาณาจักรแห่งซากสะพานจะเปิดออกทุกๆ หนึ่งพันปี เมื่อมันเกิดขึ้น ผู้คนจากดินแดนด้านใต้, ดินแดนตะวันออก และทะเลทรายตอนเหนือ ไม่อาจจะเข้าไปได้! มีเพียงผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกที่มีภาพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ที่สามารถผ่านเข้าไปในโลกนี้ และไขว่คว้าความโชคดีจากในนั้นได้!”

“อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนทุกคนจากทะเลทรายตะวันตกจะเข้าไปได้ จากข้อมูลในบันทึกโบราณที่ถูกส่งต่อมาจนถึงรุ่นนี้ มีเพียงแค่ยี่สิบสามคนเท่านั้นที่จะผ่านเข้าไปได้ นั่นเป็นเพราะว่าในสมัยโบราณ มีเพียงยี่สิบสามเผ่าที่ถูกถือว่าเป็นเผ่าอันยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าพวกมันจะล่มสลายนานมาแล้ว แต่สายโลหิตของพวกมันก็ยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้!”

“เมื่อถึงเวลาที่อาณาจักรแห่งซากสะพานเปิดออก ศิลาเซียนจะตกลงมายังเผ่าที่ยิ่งใหญ่แต่ละเผ่า ซึ่งช่วยให้พวกมันผ่านเข้าไปได้!”

“เผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ครั้งหนึ่งเคยเป็นหนึ่งในเผ่าอันยิ่งใหญ่ของทะเลทรายตะวันตก ดังนั้น พวกเราจึงมักจะมีสิทธิ์ในการเข้าไปในอาณาจักรแห่งซากสะพาน”

“ตราบเท่าที่สายโลหิตของชนเผ่าพวกเรายังคงอยู่ต่อไป ก็จะมีสิทธิ์นั้นต่อไปด้วย ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเผ่าห้าพิษถึงได้มาโจมตีพวกเรา เมื่อดินแดนสักการะอีกาศักดิ์สิทธิ์พังทลายลง”

“ถ้าพวกมันจับพวกเราไปเป็นทาสได้ นำภาพศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราไป และกักขังคนของเผ่าเราไว้ เช่นนั้น…พวกมันก็จะสามารถใช้สิทธิ์ของเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในอาณาจักรแห่งซากสะพานได้” ผู้นำเผ่าอูปิงไม่ได้พยายามปกปิดความจริงใดๆ ไว้ มันกำลังบอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเมิ่งฮ่าว รวมถึงเรื่องราวความลับที่รู้กันเฉพาะพวกมัน

ขณะที่เมิ่งฮ่าวรับฟังคำพูดเหล่านั้น ดวงตาก็เริ่มสาดประกายเจิดจ้าขึ้น เขาบอกได้ว่าสิ่งที่หัวหน้าเผ่าอูปิงพูดมานั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องจริง ยิ่งไปกว่านั้น การพูดถึงดินเซียนก็ทำให้เขารู้สึกสนใจมากเป็นอย่างยิ่ง

“จากการคำนวนของพวกเรา เหลือเวลาอีกแค่หนี่งปีที่อาณาจักรแห่งซากสะพานจะเปิดออก ก่อนที่จะเกิดเรื่องเช่นนั้น ศิลาเซียนจะตกลงมาที่พวกเรา ถ้าท่านช่วยพวกเรา เมิ่งต้าซือ, พวกเราก็จะส่งมอบศิลานั้นให้กับท่านในอีกหนึ่งปีข้างหน้านี้!” ด้วยเช่นนั้น หัวหน้าเผ่าอูปิงก็ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับเมิ่งฮ่าว

เมิ่งฮ่าวเงียบไปชั่วขณะ ขณะที่เขาคิดไปถึงสิ่งที่ถูกเรียกว่าดินเซียน เขาเคยได้รวบรวมดินยันต์เซียนในดินแดนสีดำมาแล้ว

“ในแง่ของภาพศักดิ์สิทธิ์ห้าธาตุของข้า” เขาคิด “ตอนนี้ข้ายังขาดน้ำ, ไฟและดิน ข้าจำเป็นต้องได้พวกมันมาเพื่อให้บรรลุถึงระดับที่พวกมันกลายเป็นตัวอักษรโบราณ จากนั้นก็จะสามารถปรุงวิญญาณแรกก่อตั้งห้าสีของข้าได้ ข้าอยากรู้นักว่าดินเซียนในอาณาจักรแห่งซากสะพาน…จะสามารถใช้เป็นหนึ่งในรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ของข้าได้หรือไม่?”

ในเวลาเดียวกันนั้น…

ถ้าออกมาจากเขตเทือกเขาที่ประกอบไปด้วยห้าเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ และบินไปประมาณหนึ่งเดือน ก็จะไปถึงอาณาเขตที่ถือว่าเป็นทะเลทรายตะวันตกตอนเหนือ แต่จริงๆ แล้วก็ถือว่าเป็นภาคกลางของทะเลทรายตะวันตก

ไม่มีภูเขาอยู่ที่นี่ มีเพียงที่ราบอันกว้างใหญ่ซึ่งถูกเรียกว่าที่ราบโลหิต เหตุผลสำหรับนามนี้ก็เป็นเพราะว่าดินของที่ราบแห่งนี้มีสีแดง

ภายในดินสีแดง มีต้นหญ้าพิษหลายชนิดแตกต่างกันนับหมื่นต้น ในช่วงฤดูฝน หมอกพิษจะเต็มอยู่ในท้องฟ้า เปลี่ยนพื้นที่บริเวณนั้นให้กลายเป็นเขตหวงห้ามสำหรับผู้ฝึกตน

ยังมีสัตว์ปีศาจพิษจำนวนมากมายอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้ที่ราบแห่งนี้คล้ายกับเป็นหลุมพรางแห่งพิษ

เป็นเรื่องยากที่จะมีผู้ฝึกตนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ยกเว้น…สองเผ่าอันยิ่งใหญ่ของเขตทางเหนือทะเลทรายตะวันตก, หนี่งในนั้นก็คือเผ่าห้าพิษอันยิ่งใหญ่!

มันเป็นเผ่าขนาดใหญ่ที่ถูกแบ่งออกเป็นห้าสาขา ซึ่งแต่ละสาขาก็มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามชนิดของสัตว์พิษ พวกมันคล้ายกับเป็นบุปผาสีดำซึ่งมีห้ากลีบ แผ่กระจายออกไปทั่วพื้นที่ราบแห่งนี้

แต่ละสาขาของพวกมัน มีขนาดเท่ากับชนเผ่าขนาดกลาง เมื่อรวมเข้าด้วยกัน ก็ก่อตั้งเป็นเผ่าห้าพิษอันยิ่งใหญ่ ซึ่งมีชื่อเสียงที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเขตเหนือของทะเลทรายตะวันตก

พวกมันแตกต่างเป็นอย่างมากกับห้าเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ เผ่าห้าพิษนี้ไม่ได้แตกออกจากกัน แต่เนื่องจากพวกมันมีภาพศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกัน จึงได้แยกออกเป็นห้าเผ่าย่อยที่ถูกเรียกว่าสาขา ตรงจุดศูนย์กลางของพื้นที่ราบมีห้องโถงสำหรับจัดทำพิธีกรรมอยู่ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับให้ผู้เฒ่าสูงสุดทั้งสิบห้าคนมาชุมนุมพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องราวที่สำคัญของเผ่าห้าพิษ

แต่ละสาขาจะไม่มีหัวหน้า มีเพียงผู้เฒ่าสูงสุด สำหรับหัวหน้าเผ่านั้น…มีเพียงแค่คนเดียวในเผ่าห้าพิษ

ในอดีตที่ผ่านมา เขตทางเหนือของทะเลทรายตะวันตก มีสามเผ่าอันยิ่งใหญ่ก็คือ อูเสิน (อีกาศักดิ์สิทธิ์), อู่ตู๋ (ห้าพิษ) และเหยียนปิง (น้ำแข็งเพลิง) หลังจากหลายปีผ่านไป เผ่าห้าพิษและเผ่าน้ำแข็งเพลิงยังคงมีอยู่ แต่เผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ได้ล่มสลายไป หลังจากที่ถูกแยกออกเป็นห้าเผ่ารอง พวกมันก็ยิ่งมีความอ่อนแอมากขึ้น และถูกจัดให้อยู่ตำแหน่งที่ด้อยกว่า

ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะการคงอยู่ของดินแดนสักการะอีกาศักดิ์สิทธิ์ พวกมันก็คงจะถูกจับตัวไป ถูกขโมยพลังของภาพศักดิ์สิทธิ์ไป และถูกบังคับให้กลายเป็นสาขาย่อยของเผ่าที่แข็งแกร่งอื่นๆ

โชคร้ายที่ดินแดนสักการะอีกาศักดิ์สิทธิ์ได้ล่มสลายไป ไม่จำเป็นต้องมีข่าวคราวกระจายออกไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ คนอื่นๆ สามารถรู้สึกได้ถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์โบราณที่ได้หายไป ดังนั้นปรมาจารย์พิษซึ่งเผ่าห้าพิษนับถือบูชามานับหมื่นปี จู่ๆ ก็ได้บอกกับคนในเผ่าว่า ดินแดนสักการะอีกาศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายลงไปแล้ว อีกาศักดิ์สิทธิ์…ตายแล้ว!

ด้วยเช่นนั้น หนึ่งในเหตุผลที่เผ่าห้าพิษคงอยู่มาได้เป็นเวลายาวนานก็เนื่องมาจาก ความระมัดระวังตัวของพวกมัน พวกมันไม่ได้ก่อสงครามขึ้นในทันที แต่ตัดสินใจที่จะหยั่งเชิงเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ก่อน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกมันถึงได้ส่งซือหลงระดับเก้า โจวเยี่ย แห่งสาขาแมงมุมไป

ทันทีที่โจวเยี่ยตาย แผ่นหยกวิญญาณของมันก็แตกกระจายไป สาขาแมงมุมก็รับรู้ได้ในทันที เสียงแผดร้องอย่างมีโทสะ ดังก้องไปทั่วทุกทิศทาง เผ่าห้าพิษรีบเรียกประชุมที่ห้องโถงพิธีกรรมอย่างเร่งด่วน

ในช่วงการประชุมของพวกมัน ผู้เฒ่าสูงสุดทั้งสิบห้าคนจากห้าสาขา ตัดสินใจที่จะส่งสาขาแมงมุมไปประกาศสงครามกับห้าเผ่าของอีกาศักดิ์สิทธิ์

สามวันหลังจากนั้น ก็ได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการ และทั่วทั้งสาขาแมงมุมก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับการทำสงคราม มีผู้ฝึกตนภาพศักดิ์สิทธิ์มากกว่าสามพันคน, ซือหลงระดับเก้าสามคน และสัตว์ปีศาจจำนวนมากมาย ได้เข้าไปในประตูเคลื่อนย้ายทางไกลซึ่งอยู่ในที่ราบโลหิต และมุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาอีกาศักดิ์สิทธิ์

ด้วยการใช้ประตูเคลื่อนย้ายทางไกล ทำให้พวกมันประหยัดเวลาได้มากมาย การเดินทางที่ยาวนานถึงหนึ่งเดือน ตอนนี้ก็ลดลงเหลือเพียงแค่เจ็ดวัน

นั่นก็คือสาเหตุของการเกิดสงคราม!

แน่นอนว่า สงครามครั้งนี้ได้ดึงดูดความสนใจของเผ่าอื่นๆ ที่อยู่ในเขตทางเหนือของทะเลทรายตะวันตก มีการส่งคนมาสังเกตุการณ์มากมาย สงครามระหว่างชนเผ่าเป็นสิ่งปกติในอาณาเขตทางเหนือ แต่…ห้าเผ่าของอีกาศักดิ์สิทธิ์ ครั้งหนึ่งเคยเป็นชนเผ่าอันยิ่งใหญ่ ด้วยเช่นนั้น ทำให้สงครามในครั้งนี้น่าสนใจมากกว่าปกติ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเผ่าอันยิ่งใหญ่แห่งอื่นในพื้นที่บริเวณนั้น ซึ่งก็คือเผ่าน้ำแข็งเพลิง พวกมันกำลังให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกมันอยู่ห่างไกลกว่าเผ่าห้าพิษแล้วละก็ พวกมันก็คงต้องเข้าร่วมด้วยเช่นกัน คนอื่นๆ อาจจะคิดว่า การทำสงครามจะช่วยให้เผ่าพวกมันขยายใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม แต่เผ่าน้ำแข็งเพลิงรู้ว่าจุดประสงค์หลักที่เผ่าห้าพิษตัดสินใจทำสงครามก็คือ…สิทธิ์ในการเข้าไปในอาณาจักรแห่งซากสะพาน

เจ็ดวันหลังจากนั้น สงครามก็ได้เริ่มขึ้นที่ห้าเผ่าของอีกาศักดิ์สิทธิ์

ในวันนั้น เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่ในลานบ้านหลังภูเขา ที่เบื้องหน้ามีภาพศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเรืองแสงอยู่สามภาพ หนึ่งเป็นวิหคเพลิง, อีกหนึ่งเป็นหยดน้ำ ภาพที่สามเป็นยักษ์ศิลา

ภาพศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มาจากเผ่าอูเหยียน, อูโต้ว และอูอ้าน ตามลำดับ

ภาพศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ไม่อาจจะเทียบได้กับต้นชิงมู่ที่เมิ่งฮ่าวได้มาก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย ยิ่งไม่อาจจะเทียบได้กับเมล็ดพันธุ์ของภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุทอง ซึ่งอีกาศักดิ์สิทธิ์ได้มอบให้เขาในตอนแรก จึงเป็นเหตุให้เมิ่งฮ่าวลังเลใจว่าจะหลอมรวมกับภาพศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ดีหรือไม่

เมล็ดพันธุ์จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าภาพศักดิ์สิทธิ์จะแปลงร่างเป็นแบบไหนในภายหลัง เมื่อต้องตัดสินใจเลือกเช่นนี้ เมิ่งฮ่าวจะไม่คิดให้รอบคอบได้อย่างไร?

หลังจากเวลาผ่านไปนาน ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขารวบรวมเมล็ดพันธุ์ภาพศักดิ์สิทธิ์เก็บไว้ในถุงสมบัติ ถ้าไม่อาจจะหาภาพศักดิ์สิทธิ์ได้ดีกว่านี้ในวันข้างหน้า เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้พวกมัน

หลังจากที่เก็บเมล็ดพันธุ์ภาพศักดิ์สิทธิ์ไว้แล้ว ดวงตาก็สาดประกายและเขาก็เงยหน้าขึ้น มองเห็นว่ากลุ่มหมอกสีดำทันใดนั้นก็เริ่มกระจายตัวออกมายังพื้นที่รอบๆ และพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต กลุ่มหมอกสีดำปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างเป็นวงกว้าง และกระจายตัวออกมาอย่างรวดเร็ว

จากที่ห่างไกลออกไป ก็ยังคงมองเห็นกลุ่มหมอกสีดำนี้ได้ อย่างน่าตกใจที่กลุ่มหมอกสีดำอันไร้ขอบเขตนี้ จริงๆ แล้วก็สร้างขึ้นมาจากแมงมุมที่ดุร้ายอย่างน่ากลัว

ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงกระหึ่มกึกก้องก็ดังเต็มอยู่ในท้องฟ้า สวรรค์สะท้านปฐพีสะเทือน ทำให้แม้แต่ภูเขาก็สั่นไปมา ต้นไม้ใบหญ้าใดๆ ที่กลุ่มหมอกลอยไปถึงก็จะแห้งเหี่ยวและตายไปในทันที

“พวกมันมาถึงเร็วนัก!” เมิ่งฮ่าวคิด ดวงตาสาดประกายด้วยความเย็นเยียบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!