Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 463

ตอนที่ 463

เสี่ยวไกว้ไกว้

ม่านตาเมิ่งฮ่าวหดเล็กลง เขาอยู่เบื้องหน้าจ้าวโยวหลัน และบุคคลที่เด็กสาวทาสสะพานกำลังพุ่งตรงเข้ามาก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวเขาเอง

ขณะที่คำพูดดังออกมาจากปากจ้าวโยวหลัน หญิงสาวตัวเล็กๆ ก็ปรากฎขึ้นอีกครั้งบนหัวไหล่นางอย่างน่ามหัศจรรย์ สีหน้าของหญิงสาวตัวเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ขณะที่ร่ายเวทด้วยสองมือและจากนั้นก็ชี้ตรงไป

ทันใดนั้น บุปผาสีแดงก็ก่อตัวขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว อย่างน่าตกใจ หนึ่งในกลีบดอกสามารถมองเห็นเป็นใบหน้าของเด็กสาวผู้นั้น ทันทีที่มันปรากฎขึ้น บุปผาก็เริ่มแตกกระจายไป

ในตอนนี้ จ้าวโยวหลันกระอักโลหิตออกมา ร่างของหญิงสาวตัวเล็กๆ บนไหล่นางแวบขึ้น และดูเลือนลางลงมากกว่าเดิม ดูเหมือนจะเหน็ดเหนื่อยจนถึงที่สุด

ในเวลาเดียวกันนั้น ร่างของเด็กสาวที่พุ่งเข้ามาจู่ๆ ก็หยุดชะงักลง ท่าทางเจ็บปวดเต็มอยู่บนใบหน้า และนางก็ส่งเสียงกรีดร้องโดยไร้เสียงออกมา จากนั้นใบหน้านางก็ยิ่งมีความดุร้ายมากขึ้น และกลิ่นอายอันน่ากลัวก็ระเบิดออกมาจากร่าง ทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณนั้นจู่ๆ ก็แวบขึ้น กลุ่มหมอกที่อยู่รอบๆ เดือดพล่านปั่นป่วน

“เร็วเข้า…ใช้ปราณกระบี่เริงระบำของเจ้าจัดการนาง!! อย่าปล่อยให้นางเข้ามาใกล้พวกเรา…”

ในห้วงวิกฤตนี้เองที่ดวงตาเมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยการตกลงใจ ทำให้ปราณสุราพุ่งออกมา และจากนั้นก็ทำให้ปราณกระบี่ที่รวมตัวกันเรียบร้อยแล้วพุ่งออกมาเช่นเดียวกัน ทั้งสองอย่างนี้หลอมรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นปราณสุราที่มีรูปร่างเป็นกระบี่อย่างน่าตกใจ พุ่งออกไปในอากาศตรงไปยังศีรษะของเด็กสาว จากนั้นก็พุ่งทะลุผ่านไป

ร่างของนางสั่นสะท้าน และกลุ่มหมอกรอบๆ ตัวนางก็ม้วนตัวไปมา ทันใดนั้น นางก็หยุดลง สีหน้าอันดุร้ายจางหายไป แทนที่ด้วยท่าทางผ่อนคลาย

“ท่านพ่อ, ท่านแม่…” นางกล่าวเสียงแผ่วเบา “พวกท่านยังคงอยู่ที่นี่…? พวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน…? ทำไมพวกท่านถึงปล่อยให้ข้าอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว…? มันนานมาก…นานมากๆ แล้ว…” เด็กสาวผู้นั้นดูเหมือนจะไม่ใช่ปีศาจอีกต่อไป แต่เป็นผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และโดดเดี่ยวเดียวดาย พึมพำอยู่ตลอดเวลา ร่างกายนางค่อยๆ หายตัวไปอย่างช้าๆ

ตรงจุดที่เด็กสาวหายตัวไป เส้นใยบางๆ ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ

เมิ่งฮ่าวรู้สึกเอะใจจากคำพูดของเด็กสาว ทันใดนั้นก็คิดย้อนกลับไปยังเรื่องราวของหานซานที่เกี่ยวข้องกับทาสสะพาน เขาถอนหายใจออกมา ยื่นมือออกไปและคว้าจับเส้นใยบางๆ นั้น

ทาสสะพานคนอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งใดๆ และเคลื่อนที่ห่างออกไปเรื่อยๆ

หลังจากที่พวกมันจากไป สีเทาได้หายไป เช่นเดียวกับกลุ่มหมอก อย่างน่าแปลกใจ ครั้งนี้ไม่มีลมพายุปรากฎขึ้น

หลังจากที่สีกลับคืนมาเป็นปกติเหมือนเดิม ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็สาดประกายขึ้น กำมือเป็นหมัดและต่อยออกไปอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันนั้น ริมฝีปากจ้าวโยวหลันก็อ้าขึ้น และลำแสงสีขาวก็พุ่งออกมาจากปากของนางตรงไปยังเมิ่งฮ่าว

เวทอาคมของคนทั้งสองกระแทกเข้าหากัน และเสียงระเบิดขนาดใหญ่ก็ดังก้องออกมา คนทั้งสองถอยไปด้านหลัง เงาร่างเล็กๆ บนหัวไหล่จ้าวโยวหลันใช้สองมือขยับร่ายเวท เตรียมที่จะใช้พลังของบุปผาแปลกๆ นั้นขึ้นอีกครั้ง

ในตอนนี้เอง ที่ปราณสุราก็เริ่มม้วนตัวไปมาอยู่ภายในร่างเมิ่งฮ่าว

ฉับพลันนั้น เงาร่างเล็กๆ ก็หยุดนิ่ง และจ้องมายังเมิ่งฮ่าว ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวมองเห็นเงาร่างเล็กๆ นี้มีรูปร่างเป็นหญิงสาว และมีความงดงามเป็นอย่างมาก จนจ้าวโยวหลันยากที่จะเปรียบเทียบได้

นางนั่งอยู่บนหัวไหล่จ้าวโยวหลัน มองดูคล้ายกับเป็นวิญญาณแรกก่อตั้งเป็นอย่างยิ่ง แต่นางมีความอ่อนช้อยกว่าวิญญาณแรกก่อตั้ง รวมถึงมีกลิ่นอายอันน่าพึงพอใจกระจายออกมาจากร่าง คล้ายกับดินเซียนเป็นอย่างมาก

มีเส้นใยบางๆ โปร่งแสงเชื่อมต่อมือของนางกับร่างของจ้าวโยวหลัน เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้จ้าวโยวหลันไร้จิตใจของตัวเอง แต่กำลังถูกควบคุมเหมือนเป็นหุ่นเชิด

ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวรู้สึกค่อนข้างสับสน ไม่แน่ใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นระหว่างภูติสาวจื่อเซียงและจ้าวโยวหลัน

ทันใดนั้นจื่อเซียงก็ยิ้มให้ และกล่าวด้วยเสียงที่ไพเราะมีเสน่ห์ “เสี่ยวตี้ตี (น้องชายคนเล็ก) ปราณกระบี่เริงระบำของเจ้าอาจทำให้ข้าบาดเจ็บได้ จริงๆ แล้ว ก็มีโอกาสเจ็ดถึงสิบส่วนที่สามารถกำจัดเซียนศักดิ์สิทธิ์ของข้าได้ แต่…สุดท้าย พื้นฐานฝึกตนของเจ้าก็ไม่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะหลบเลี่ยงการโจมตีครั้งสุดท้ายก่อนตายของข้าได้”

“ด้วยเช่นนั้น แล้วพวกเราจะมาต่อสู้กันเพื่ออะไร? สถานที่แห่งนี้เป็นที่ซึ่งทาสสะพานอาศัยอยู่ แทนที่คนใดคนหนึ่งในพวกเราต้องตายไป ทำไมพวกเราถึงไม่มาสำรวจสถานที่แห่งนี้ด้วยกัน? เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

เมิ่งฮ่าวมองไปยังภูติสาวจื่อเซียงที่มีขนาดเล็ก สำหรับนางการเรียกเขาว่า ‘เสี่ยวตี้ตี’ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่นางกล่าวมานั้นสมเหตุสมผล

“เมื่อครู่นี้ การกระทำของนางที่มีต่อทาสสะพานไม่ใช่สิ่งหลอกลวง” เขาคิด “ข้าอยู่ใกล้กว่า แต่นางก็ยังคงพยายามป้องกันตัวเอง นางคิดว่าข้าคงจะมีเส้นใยแห่งปราณกระบี่แค่ครั้งเดียว แต่เมื่อพบว่าไม่ใช่ นางก็เปลี่ยนใจ” เมิ่งฮ่าวจ้องมองไปยังกลุ่มหมอกที่อยู่ในบึงน้ำ เมื่อมันกลายมาเป็นกลุ่มหมอกที่แปลกประหลาด ไม่ว่าในแง่ของประสบการณ์หรือวิชาเวท เขาก็คงไม่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะจัดการมันได้ด้วยตัวเองคนเดียว การร่วมมือกับนางก็เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามใดๆ

ขณะที่เขากำลังพิจารณาถึงเรื่องเหล่านี้ จ้าวโยวหลันก็มองมาที่เขาและขมวดคิ้ว ภายในใจนางกล่าวขึ้น “จื่อเซียงเจีย (พี่จื่อเซียง) คนผู้นี้เจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งโหดร้ายไร้ความปราณี เป็นคนที่เลือดเย็นโดยสิ้นเชิง และมีความเด็ดขาดอย่างน่าเหลือเชื่อ ถ้าท่านร่วมมือกับมัน ท่านต้องระมัดระวังตัวให้มากไว้”

คำตอบของจื่อเซียงดังก้องอยู่ในจิตใจของจ้าวโยวหลัน “อืม, ตอนนี้ข้าเพิ่งจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเจ้าก็รักพี่สาวคนนี้, เสี่ยวไกว้ไกว้ (เด็กน้อยที่เชื่อฟัง)”

จ้าวโยวหลันหน้าแดง

เมื่อรู้สึกได้ว่าใบหน้าของนางเริ่มกลายเป็นสีชมพู จื่อเซียงก็หัวเราะขึ้น ทำให้ใบหน้าจ้าวโยวหลันกลายเป็นสีชมพูเข้มมากขึ้นกว่าเดิม

“เสี่ยวตี้ตี, เจ้าคิดว่าอย่างไร? มีทรัพย์สมบัติอยู่มากมายในที่แห่งนี้ เจี่ยเจีย (พี่สาว) ไม่โลภมาก ข้าต้องการแค่ครึ่งเดียว ส่วนที่เหลือเป็นของเจ้า, ตกลงหรือไม่?” ด้วยเช่นนั้น เงาร่างเล็กๆ ที่อยู่บนหัวไหล่จ้าวโยวหลันก็หัวเราะออกมาเบาๆ นางยกมือขึ้นและชี้ตรงไปยังกลุ่มหมอก เส้นใยปราณพุ่งตรงไปยังกลุ่มหมอก ทำให้มันพลุ่งพล่านปั่นป่วน และจากนั้นก็ค่อยๆ เบาบางลง ร่างจ้าวโยวหลันพุ่งเข้าไปในกลุ่มหมอก

“ถ้าเจ้าเห็นด้วยก็ติดตามมา เจี่ยเจียกำลังรอเจ้าอยู่!” เสียงของภูติสาวจื่อเซียงเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดใจ ทำให้เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง จากนั้นดวงตาก็สาดประกาย เต็มไปด้วยความระมัดระวังตัว และเตรียมปราณกระบี่ให้พร้อมใช้งาน พุ่งเข้าไปในกลุ่มหมอก

พวกเขาพุ่งตรงไปตามลำดับก่อนหลัง ทะลุผ่านกลุ่มหมอกเข้าไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็สามารถมองเห็นบึงน้ำและอาคารบ้านเรือนที่หรูหราได้ชัดเจน บ้านเรือนแต่ละหลังเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาจากดินเซียนทั้งหมด ทำให้บึงน้ำนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของดินเซียนอย่างเข้มข้น

“เซียนอมตะเคยอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้” จื่อเซียงกล่าวขึ้นจากตำแหน่งที่อยู่บนหัวไหล่จ้าวโยวหลัน “มันเป็นหนึ่งในราชวังของเซียนที่โดดเด่นเก้าสิบเก้าคน ซึ่งเป็นกองกำลังรักษาการณ์ของสะพานเซียน หลังจากที่สะพานถูกทำลายลง เซียนทั้งเก้าสิบเก้าคนก็ตายไป และหลอมรวมเข้าด้วยกันกับสะพานเซียน พวกมันปรารถนาที่จะฟื้นฟูสะพานและกลับคืนสู่โลกนี้ เมื่อพวกมันกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ ก็ไม่มีกายเนื้อ แต่ราชวังของพวกมันยังคงมีอยู่ และเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย” ขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้ราชวัง เกราะเรืองแสงทันใดนั้นก็ปรากฎขึ้น ปิดกั้นเส้นทางพวกเขาไว้ กลิ่นอายอันทรงพลังกระจายออกมา แรงกดดันรุนแรงพร้อมกับเงาเวทเปล่งแสงออกมา

จ้าวโยวหลันกระอักโลหิตออกมา และภูติสาวจื่อเซียงก็ยกมือขวาขึ้น โบกสะบัดตรงไปยังโลหิตกลุ่มนั้น

“รวมตัว!”

ทันใดนั้นโลหิตก็กลายเป็นหมอกสีแดง ซึ่งจากนั้นก็ก่อตัวเป็นบุปผาสีแดงขนาดใหญ่ บุปผาลอยตรงไป และสัมผัสไปโดนเกราะป้องกัน ทันทีที่เกิดขึ้นเช่นนั้น มันก็จมลงไปในเกราะป้องกัน หลอมรวมเข้าไปข้างใน

เกราะป้องกันทั้งหมดเริ่มบิดเบี้ยวไปมา เพียงชั่วพริบตา เส้นใยโลหิตก็ดูเหมือนจะกระจายออกไปทั่วเกราะป้องกัน มันเริ่มกระพริบแสงอย่างรวดเร็วและจากนั้นก็แตกกระจายไป พลังที่ระเบิดออกมาจนทำให้มันแตกกระจายออกไปนั้น ทำให้ดวงตาเมิ่งฮ่าวต้องหดเล็กลง เขาไม่สามารถจะทำลายเกราะป้องกันนี้ได้ ถึงแม้จะใช้ปราณกระบี่เริงระบำก็ตามที

“ข้าได้สะกดเกราะป้องกันนี้ไว้แล้ว” จื่อเซียงกล่าว “แต่มันจะคงอยู่ได้แค่สองชั่วยามเท่านั้น ราชวังแห่งนี้ทั้งหมดน่าจะมีกองกำลังรักษาทรัพย์สมบัติ เสี่ยวตี้ตี ท่านก็เห็นแล้ว มีห้องโถงหลักอยู่ที่จุดศูนย์กลาง สิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ได้ขยายออกไปทั้งสองข้าง เจ้าเลือกไปหนึ่งข้าง และพวกเราจะมาพบกันที่จุดตรงกลาง”

“เจ้าจะครอบครองทรัพย์สมบัติได้มากมายเท่าใด ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเอง” จื่อเซียงหัวเราะ และจ้าวโยวหลันก็มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่เย็นชา จากนั้นคนทั้งสองก็มุ่งหน้าตรงไปยังอาคารราชวังที่อยู่ด้านขวามือ

เมิ่งฮ่าวมองไปยังเกราะป้องกันที่ถูกสะกดไว้ และบุปผาสีแดงขนาดใหญ่ที่กำลังลอยอยู่ที่นั่นในกลางอากาศ บุปผานี้กำลังสะกดข่มพลังของเกราะป้องกัน ช่วยให้พวกเขาผ่านเข้าไปได้

“สองชั่วยาม? ข้าไม่เชื่อนางในเรื่องนี้ อย่างมากที่สุด มันคงจะอยู่ได้นานแค่หนึ่งชั่วยาม” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย หลังจากที่สำรวจดูอยู่ชั่วขณะ การตกลงใจก็เต็มอยู่ในดวงตา โดยไม่ลังเล เขาพุ่งตรงไปยังกลุ่มอาคารราชวังที่อยู่ด้านซ้ายมือ

“ด้วยพื้นฐานฝึกตนของข้า โดยปกติแล้วข้าคงไม่อาจจะเข้ามาในสถานที่เช่นนี้ได้ ไม่ว่าจะมีทรัพย์สมบัติอะไรอยู่ในอาคารเหล่านี้ พวกมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะสามารถนำออกไปได้ ถ้าข้าโลภมากเกินไป ก็คงจะต้องจบลงโดยการต้องจ่ายค่าตอบแทนที่น่ากลัว”

“ดังนั้น ข้าจะต้องยึดหลักการเดิม ข้าไม่ต้องการทรัพย์สมบัติ ข้าต้องการแค่ดินเซียน!” ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า ร่างกายแวบขึ้นและไปปรากฎอยู่เบื้องหน้าหนึ่งในอาคารราชวัง หลังจากที่มองไปที่อาคารหลังนั้นด้วยความระมัดระวัง เขาก็มองเห็นประตูหลักถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา ด้วยพลังของการผนึกบางอย่าง

เมิ่งฮ่าวไม่ได้ใช้เวลาในการขบคิดว่าจะต้องเปิดประตูออกได้อย่างไร กระบี่บินปรากฎขึ้นอยู่ในมือ และเขาก็คุกเข่าลง โคจรพลังลมปราณ ใช้กระบี่บินพยายามงัดแงะกระเบื้องปูพื้นแผ่นหนึ่งขึ้นมา โชคร้ายที่เสียงแตกร้าวได้ยินมา ขณะที่กระบี่บินหักออกเป็นสองท่อน

เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว ร่างกายแวบขึ้น ขณะที่บินขึ้นไปบนหลังคา และเริ่มพยายามจะดึงกระเบื้องหลังคาออกมา แต่โชคร้ายที่กระเบื้องหลังคานั้นแน่นหนาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเขาจะทำเช่นไร ก็ไม่อาจจะดึงมันออกมาได้

“สิ่งของพวกนี้ช่างทนทานอย่างแท้จริง” เขาคิด ดวงตาสาดประกายด้วยความคมกริบ โคจรพลังลมปราณอย่างเต็มกำลัง ทำให้ค่ายกลกระบี่แห่งกาลเวลาปรากฎขึ้น และปลดปล่อยพลังไปบนกระเบื้องแผ่นนั้น ต่อมาหลังจากนั้น เขาก็ดึงกระเบื้องนั้นขึ้นมา เปรี๊ยะ! เมิ่งฮ่าวดึงแผ่นกระเบื้องออกมาได้สำเร็จ

จิตใจเขาเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น กระเบื้องแผ่นนั้นมีขนาดเท่ากับฝ่ามือ แต่ถูกสร้างขึ้นมาจากดินเซียนทั้งแผ่น เขาเก็บมันไว้ และเริ่มใช้วิธีเดียวกันเพื่อรื้ออาคารหลังนั้นต่อไปในทันที

อย่างรวดเร็ว แผ่นกระเบื้องหลังคาของอาคารหลังนั้นทั้งหมด ก็ถูกเมิ่งฮ่าวรื้อออกมาเก็บไว้จนหมดสิ้น ต่อมา เขาก็ลงไปจัดการกับกระเบื้องปูพื้น ใช้เวลาไม่นานก่อนที่กระเบื้องปูพื้นทั้งหมดจะถูกเก็บเข้าไปในถุงสมบัติ

“รวย! ข้ารวยแล้วจริงๆ!” หอบหายใจ, ดวงตาสาดประกาย เมิ่งฮ่าวมองต่อไปยังสิงโตหินที่อยู่สองข้างประตู เมื่อเก็บพวกมันไว้เรียบร้อยแล้ว เขาก็มองไปยังชายคาของอาคารราชวังต่อไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!