Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 668

ตอนที่ 668 เข้ารับตำแหน่งราวกับออกรบ

ที่ทำการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหากเทียบกับหน่วยงานอื่นในเมืองหลวงก็ไม่เท่าไร แต่ในสายตาราษฎรแล้ว หน่วยงานก็นับว่าอยู่อันดับต้นๆ

ดังนั้นถนนหน้าที่ทำการจึงไม่ค่อยมีคนผ่านไปมานัก ผู้ใดอยากมาสัมผัสกลิ่นอายไม่มงคลที่นี่กัน หากไม่มีธุระ ล้วนพากันหลบให้ไกล บนถนนจึงมีคนน้อยมาก

ลั่วซือกงยืนมาเกือบสองชั่วยาม ก็ไม่เห็นใครผ่านมา จึงส่งคนของตนสองคนไปดู ในนั้นมีคนหนึ่งที่เมื่อคืนดื่มมากไปวันนี้มาสาย วิ่งมาชนกับเจ้านายนับว่าโชคร้าย อีกคนเป็นคนที่เพิ่งกลับจากปฏิบัติหน้าที่ที่ส่านซี ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว

เห็นขบวนม้าปรากฏ ปฏิกิริยาแรกของทุกคนก็คือใต้เท้าหวังมาแล้ว แต่อยู่ ๆ ก็รู้สึกไม่ใช่ละ ใต้เท้าหวังมารับตำแหน่ง ย่อมต้องมีกลิ่นอายมงคล ตอนนี้เหมือนกลิ่นอายสังหาร

ขบวนม้าแถวละห้านาย เรียงหน้ามาอย่างเรียบร้อย เห็นทหารม้าบนม้าในชุดเกราะชั้นดี หมวกเกราะไม่เหมือนกับชุดของทหารหมิงใช้กัน เปล่งรัศมีบางอย่างจากภายในสู่ภายนอกออกมา

ทหารม้า 20 กว่า เครื่องม้าครบ ทหารในชุดเกราะ ปฏิบัติการเป็นระเบียบเรียบร้อย แสดงแสนยานุภาพน่าเกรงขาม ฝีเท้าม้าย่ำมาดังพร้อมเพรียง

ขบวนม้าเข้าใกล้มา คนที่รอก็ยิ่งร้อนใจ สนามรบทัพมามาถึง ก็มักจะตั้งแถวหน้ากระดานบุก ทหารราบไม่ต้องรอให้ทหารม้ามาถึง ก็แตกกระจายไม่เป็นขบวนไปแล้ว

ทหารองครักษ์เสื้อแพรหน้าที่ทำการแม้ว่าเป็นขุนนางบู๊ แต่ปกติล้วนปฏิบัติหน้าที่ในที่ทำการ มีแต่พากันออกไปจับคนมาดำเนินคดี ไม่เคยผ่านสมรภูมิรบมาก่อน

เห็นขบวนม้าเบื้องหน้าดาหน้าเข้ามาใกล้ พวกตีฆ้องตีกลองที่เอามาประโคมทนไม่ไหวหนีไปก่อน ที่เหลือก็โยนเครื่องดนตรีทิ้ง หนีกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง

นักดนตรีเปิดหนีก่อน นายกองร้อยจากกองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพรนับว่าเป็นบัณฑิตสายบุ๋น ก็หันหลังวิ่งเข้าที่ทำการเช่นกัน แต่นับว่ายังนิ่ง เพราะรู้ดีกว่าขบวนม้าวิ่งเข้ามา อย่างไรก็ย่อมไม่วิ่งเข้าที่ทำการ

นักดนตรีกับนายกองร้อยกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่ใช่ขุนนางบู๊ การจะลนลานหนีก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา แต่คนที่เหลือสีหน้าก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร

บางคนกระชับดาบแน่น บางคนถอยหลังไม่รู้ตัว สถานการณ์อลหม่าน หากลั่วซือกงยังพอมีความกล้าอยู่บ้าง แต่ก็มีท่าทางสับสน ทหารม้าที่มาสวมหมวกเกราะบังใบหน้า มองไม่ออกว่าเป็นผู้ใด ลั่วซือกงหันกลับไปมอง ก่อนจะหันมามองด้านหน้า ในใจก็ยิ่งไม่รู้จะทำเช่นไร

“ผู้บัญชาการลั่ว เข้าไปหลบด้านในก่อน!!”

“ยังยืนเซ่อทำไมเล่า รีบไปตามกำลังมา ให้ทหารอารักขาที่ทำการมาให้หมด!!”

หลายคนพากันตะโกนกันคนละคำสองคำ นายกองพันหลายคนนับว่านิ่งพอควร คนที่เหลือก็พากันคิดหาที่หลบ ทั้งไร้หนทางรับมือทั้งตะโกนโหวกเหวกดัง

ที่ทำการมีทหารสองกองร้อยอารักขา แต่ทหารพวกนี้ก็ล้วนเป็นลูกหลานชาวองครักษ์เสื้อแพร ใช้การได้หรือไม่ ทุกคนรู้ดีแก่ใจ

เห็นคนแรกทางขวาของขบวนม้ายกมือขึ้นสูง ขบวนม้าก็เริ่มผ่อนฝีเท้าลง ลั่วซือกงกลืนน้ำอายเอื้อก ถอยหลังไม่สองก้าวอย่างไม่ทันรู้ตัว

ขบวนม้านี้ห่างจากเข้าราวห้าก้าวก็หยุดลง ฝีเท้าม้าทะยานย่ำมา ทำเอาฝุ่นกระจาย พอหยุด ก็มีลมพัดมาหอบหนึ่ง ฝุ่นทั้งหมดพัดเข้าใส่ขบวนต้อนรับพอดิบพอดี ทำเอาฝุ่นตลบเลอะเต็มหน้าเต็มตัว แต่ยามนี้ ทุกคนก็ไม่อาจสนใจเรื่องเหล่านี้ ขบวนแถวรอรับสองข้างทางเมื่อครู่ชุลมุนอลหม่านไร้ทิศทางไปหมดแล้ว

ขบวนม้าหยุดลง รู้แล้วไม่ได้มาร้าย แต่แผ่นดินสะเทือนเมื่อครู่ กลิ่นอายสังหารเมื่อครู่ ยังคงทำให้จิตใจทุกคนสั่นไหวไม่หยุด ชั่วขณะหนึ่งยังไม่อาจทำจิตใจให้สงบลงได้

“กล้ารบกวนใต้เท้าลั่วมาต้อนรับได้อย่างไร ท่านเป็นเจ้านาย ข้าเป็นลูกน้อง ข้ามารับตำแหน่งก็ควรจะไปเยือนคารวะท่านถึงจะถูก ไยท่านจึงออกมาต้อนรับเช่นนี้ ไม่กล้ารับๆ !!”

ได้ยินเสียงดังกังวานบนหลังม้า ทุกคนในที่สุดก็รู้แล้วว่าทหารม้าในชุดเกราะมายิ่งใหญ่อลังการนี้ก็คือรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหวังทงที่มารับตำแหน่งใหม่ จิตใจที่ก่นด่าในใจก่อนหน้าว่าวางท่าทำเป็นมาช้า ตอนนี้ก็ยิ่งด่าหนักขึ้นไปอีก หวังทงขณะที่พูดก็โดดลงจากหลังม้ามา

ตอนยกมือยกเท้าขึ้น เกราะหวังทงกับทหารอารักขาก็กระทบกันส่งเสียงดัง ยังมีควันหลงจากม้าที่ยังหายใจแรง และฝุ่นที่ยังฟุ้งตลบ พวกที่เคยออกไปนอกด่านมารู้สึกภาพหลอนขึ้น นี่ไม่ใช่ประตูหน้าที่ทำการสำนักองครักษ์เสื้อแพร แต่เป็นผืนทรายนอกด่าน

“ใต้เท้าหวังกล่าวอันใดกัน ท่านมาปฏิบัติหน้าที่ คนกันเองทั้งนั้น ไหนเลยมีเจ้านาย ลูกน้อง กล่าวเช่นนี้ใช่ว่าห่างเหินหรือนี่ วันหน้าอย่าได้เรียกขานเช่นนี้ เรียกข้าว่าพี่ลั่วก็พอ!!”

สีหน้าลั่วซือกงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รีบรับคำ สองคนหัวเราะเฮฮา เห็นได้ว่าสนิทสนมยิ่ง นายกองพันและนายกองร้อยสองข้างและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายต่างก่นด่าในใจ ในใจคิดว่าเจ้าลั่วซือกงอย่างไรก็เป็นถึงผู้บัญชากร กับลูกน้องถึงกับทำเหมือนเอาหัวโขกพื้นไปแล้ว เจ้ายังมีเกียรติอีกหรือไม่

องครักษ์เสื้อแพรให้ความสำคัญกับการสืบทอด พ่อส่งต่อลูกชาย มาปฏิบัติหน้าที่ที่นี่ แปดเก้าส่วนย่อมมีชาติกำเนิดต้นตระกูลจากองครักษ์เสื้อแพร ย่อมเคยพบเคยเห็น รู้ว่าธรรมเนียมแต่ไรมา องครักษ์เสื้อแพรสืบทอดรุ่นสู่รุ่น คนนอกไม่มายุ่งเกี่ยว แต่คนในก็เข้าใจกันดี

ตำแหน่งใหญ่กว่าหนึ่งขั้นย่อมข่มอีกฝ่ายให้ตายคามือได้ ยังมีเรื่องการสืบทอดตำแหน่งจากวงศ์ตระกูลอีก บิดาหวังทงแค่นายกองธงเล็ก ก่อนเขาได้เลื่อนเป็นรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็แค่นายกองพัน ระดับต่ำกว่าลั่วซือกงไม่ว่า ที่บ้านหากเทียบกับทวดลั่วซือกงที่เป็นถึงนายกองพันผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็นับว่าห่างไกลกันมาก

แต่ตอนนี้เห็นภาพเช่นนี้ ลั่วซือกงไม่เอาหน้ำตาไว้แล้วกระมัง กลับประจบหวังทงที่ยังหนวดเคราขึ้นไม่เท่าไรไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นนี้ได้ ช่างน่าไม่อาย มีคนคิดว่าเจ้ายอมศิโรราบก็เรื่องของเจ้า พวกเรายังรักหน้ำตาอยู่ ถึงเวลาก็ทำไปตามมารยาทก็พอ จะไม่ประจบสอพลอแทบคุกเข่าคลานเป็นบ่าวเช่นนั้นเด็ดขาด

สองฝ่ายกล่าววาจาตามมารยาท ลั่วซือกงหันกลับไปตะโกนว่า

“ท่านนี้ก็คือรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงใต้เท้าหวัง เป็นหัวหน้าทุกคน วันหน้าใต้เท้าหวังสั่งอันใด ก็เหมือนข้าสั่ง อย่าได้ฝ่าฝืนคำสั่ง พวกเจ้าเข้าใจไหม!!?”

เสียงลูกน้องรับคำโหวกเหวก ลั่วซือกงหน้าแดงก่ำ ตามมาด้วยเสียงตะโกนดังอีกว่า

“ยังไม่คารวะใต้เท้าหวัง!!”

ได้ยินลั่วซือกงกล่าว หวังทงก็ประสานมือยิ้มกล่าวว่า

“ข้ามารับตำแหน่งใหม่ ยังต้องให้ท่านและทุกคนช่วยดูแลให้มาก”

ทุกคนคิดจะก้มคำนับให้พอเป็นมารยาทก็พอ แต่มองไปเห็นทหารอารักขาด้านหลังหวังทงพอดี ทหารหวังทงยังคงสวมชุดเกราะอยู่ กำลังมองลอดหมวกเกราะออกมายังทุกคนพอดี

เห็นทหารในชุดเกราะเต็มตัว พร้อมอาวุธในมือ ยังมีสายตาโหดเหี้ยมกลิ่นอายสังหารที่กวาดตามองมา อีกฝ่ายที่จิตใจสั่นไหวยังไม่เป็นปกติก็เริ่มหนาวเหน็บอีกครา พวกขี้ขลาด ก็คุกเข่าลงอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้ พอมีคนคุกเข่า ที่เหลือก็ไม่อาจยืนต่อได้ ทุกคนพากันคุกเข่าลง

ลั่วซือกงเดิมคิดว่าก็แค่กล่าวอย่างงั้น คิดไม่ถึงว่าพอบอกให้คารวะ ทุกคนถึงกับทำถึงขั้นนี้ได้ ถึงกับคุกเข่าลงกันหมด ทำให้เขาเองก็งงไปหมด

“ให้ใต้เท้าลั่วรอนานแล้ว เกรงใจจริงๆ เมื่อครู่พวกข้าน้อยสามชุดเกราะเดินทางมา ถูกทหารศาลอาญาใหญ่และมือปราบศาลซุ่นเทียนเข้ามาสอบถาม ทำให้เสียเวลา”

“ใต้เท้าหวังไยต้องเกรงใจเช่นนี้ แต่เหตุใดจึงไม่สวมชุดขุนนางคอกลมมาเล่า มาที่ทำการ สวมชุดคอกลมสบายกว่า!!”

“ตอนอยู่เทียนจิน องครักษ์เสื้อแพรเราทุกระดับล้วนแต่งกายเต็มยศพร้อมอาวุธ ไม่รู้ว่าที่นี่มีธรรมเนียมเช่นนี้ด้วย ขายหน้าใต้เท้าแล้ว”

ทั้งสองเดินเข้าไปด้านในพลางกล่าววาจาตามมารยาท นายกองพันที่ออกมารอรับข้างนอก มีสองคนที่หน้ำตาคุ้นเคยดี หนึ่งก็คือนายกองพันโจวหลินปิ่ง หัวหน้าตนในตอนนั้น อีกหนึ่งก็คือนายกองพันเก่อลี่ที่ถูกหวังทงจัดการทั้งที่เมืองหลวงและเทียนจิน สองคนพอเห็นสายตาหวังทงมองมา ก็รีบก้มคำนับ

เมื่อครู่ตอนขี่ม้ามา ขบวนแถวรอรับหน้าประตูลนลาน หวังทงไม่ได้มองอันใดมาก แต่พอมองเห็นทุกคนในตอนนี้ เขาภายนอกก็เกรงใจมีมารยาท และในใจนั้นแค่นยิ้ม เดินเข้าไปที่ทำการพร้อมลั่วซือกง จากนั้นแต่ละคนก็ไปปฏิบัติหน้าที่ตนเอง มีคนออกไป แต่ไม่มีผู้ใดเข้ามาคารวะเองสักคนเดียว

ที่ทำการเย็นชากับหวังทงมาก หวังทงเองก็รู้สึกได้ ทหารติดตาม 20 นายด้านหลังเขาเงียบไป เจ้าหน้าที่ที่ทำการเห็นทหารในชุดเกราะ แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ไม่น้อยที่มิได้ลนลานเหมือนคนด้านนอกพวกนั้น ล้วนพากันวิพากษ์วิจารณ์หัวเราะเงียบๆ มีบางวาจาทั้งอาจตั้งใจและไม่ตั้งใจให้หวังทงได้ยินเข้าว่า

“ทำเรื่องถึงขั้นนี้คิดว่าตนเองมีบารมีล่ะสิ ก็แค่คงอัดอั้น บ้านนอกเข้าเมืองแท้ๆ !!”

“เขาชาติกำเนิดอันใดกัน บิดาก็แค่นายกองธงเล็ก ไม่เคยเห็นโลกภายนอกหรือไง คนเช่นนี้ชอบกินแต่แผ่นแป้งกับเนื้อตุ๋นหยาบๆ ……”

“ถุยๆ คนเช่นนี้ถึงกับได้เป็นรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ขายหน้าพวกเราหมด!”

ลั่วซือกงมองซ้ายขวาด้วยความโมโห ผ่านห้องทำงานไป ทุกคนก้มหน้าลงทำงาน มองไม่ออกว่าผู้ใดพูด

ข่าวจากสำนักรักษาความสงบรายงานมาวันนี้ ลั่วซือกงผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเองก็ไม่ใช่ว่านั่งในตำแหน่งได้ด้วยการยอมรับ มิน่าเขาเองก็ไม่เสียดายตำแหน่งนี้สักเท่าไร จึงเข้ากับตนเองได้ดีเช่นนี้

“เหตุใดจึงไม่เห็นรองและผู้ช่วยล่ะ?”

“ทั้งสามท่านวันนี้มีภารกิจต้องจัดการ วันนี้เที่ยงข้าได้จัดงานเลี้ยงรับรองใต้เท้าหวัง พวกเขาก็ไม่อาจเข้าร่วมได้ น่าเสียดายจริงๆ !”

ลั่วซือกงยิ้มแห้งๆ กล่าวขึ้น หวังทงไม่สนใจถามต่อ เบื้องหน้าก็คือห้องทำงานของหวังทง ที่เรียกว่าห้องทำงานก็คือห้องออฟฟิศในสมัยปัจจุบันเรานี่เอง ที่เห็นนี้เป็นเรือนเดี่ยวแยกออกมา จัดสถานที่ได้ตั้งใจดี พอเดินไปถึง ลั่วซือกงก็ผายมือยิ้มแนะนำว่า

“นี่ก็คือห้องทำงานใต้เท้าหวัง ทุกอย่างจัดตามระเบียบเหมือนของข้าทุกอย่าง หากท่านไม่พอใจสิ่งใด ก็โปรดเอ่ยมา จะต้องจัดให้ท่านพอใจได้อย่างแน่นอน”

หวังทงส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า

“ข้าฝึกทหารใหม่นอกเมือง ลาดตระเวนสืบคดีอยู่ท้องถนน คุมวินัยทหารก็อยู่ในเมืองที่ต่างๆ ขอบคุณใต้เท้าลั่วที่จัดให้ ข้าไม่ทำงานที่ที่ทำการ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!