Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 564

ตอนที่ 564

โชคชะตาอยู่ที่ไหน

เมิ่งฮ่าวรู้สึกราวกับว่า สายลมอันหนาวเย็นเพิ่งจะพุ่งผ่านลงไปในลำคอ เขากระแอมไอแห้งๆ ออกมาสองสามครั้ง และมองขึ้นไปยังฟางอวี๋ ภายในใจ เขารู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่า หญิงสาวนางนี้เป็นคนที่ไม่ควรจะไปตอแยด้วยในอนาคตข้างหน้า

นางอาจจะเอาแต่ใจ และมีอารมณ์ที่ดุร้ายรุนแรง แต่สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญมากเท่าใดนัก แค่ในตอนนี้ นาง…กำลังวางหลุมพรางเพื่อให้จี้เซี่ยวเซี่ยวตกลงไป โดยที่ไม่มีเบาะแสหรือร่องรอยใดๆ แม้แต่น้อย ทันใดนั้นก็ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องเสียวสันหลังวาบ

ตลอดหลายปีแห่งการฝึกตน เมิ่งฮ่าวได้หลอกลวงผู้คนทั้งซ้ายและขวา เริ่มจากตอนแรกที่อยู่ในสำนักเอกะเทวะ แน่นอนว่าจริงๆ แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าจะมีผู้คนมากมายเท่าใด ที่กัดฟันแน่นเมื่อคิดไปถึงการหลอกลวงของเขาด้วยความเกลียดชัง

สิ่งที่น่าตกใจมากไปกว่านั้นก็คือว่า เมิ่งฮ่าวไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้เลย ซึ่งก็หมายความว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองกำลังหลอกลวงผู้คนอยู่ สำหรับเขาแล้ว การหลอกลวงผู้คนได้กลายเป็นความเคยชิน และความเคยชินนั้นก็กลายเป็นสัญชาตญาณ

ด้วยสัญชาตญาณเช่นนั้น ก็นำมาซึ่งผลลัพธ์อันน่ากลัว…ทันทีที่เขามีโอกาสจะได้หลอกลวงใครบางคน เขาก็จะเริ่มกระทำในทันที…

“นั่นก็…เจี่ยเจีย (พี่สาว) นั่นอาจจะไม่ดีนัก” เขากล่าว กระแอมไอเบาๆ

“ไม่จำเป็นต้องอาย” นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ลึกลับ “เจ้าคิดว่าเหลาเจี่ย (พี่สาว) ไม่สังเกตเห็นตอนที่เจ้ามองไปยังจี้เซี่ยวเซี่ยวในครั้งแรก?” เมิ่งฮ่าวรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกแทงด้วยคำพูดของนาง

เขาอยากจะอธิบายแก้ตัว แต่ก็รู้ว่ายิ่งพยายามจะอธิบายเรื่องราวมากเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้เลวร้ายลงไปมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา

“เจ้ามาช่วยข้าหลอกลวงนาง” ฟางอวี๋กล่าว ดวงตาสาดประกายด้วยแสงเจิดจ้ามากขึ้นกว่าเดิม “แต่ก็ไม่ต้องกังวลใจ จี้เซี่ยวเซี่ยวอาจจะไร้ยางอาย, ใจแคบ, เจ้าเล่ห์, ชั่วร้าย แต่…นางก็ยังคงน่ารัก และมีความภาคภูมิใจในตัวเองด้วยเช่นกัน นางอาจจะเป็นภรรยาน้อยที่ดีสำหรับเจ้าก็ได้ ข้ารับรอง” ดูเหมือนว่านางจะคิดว่าเป็นแผนการที่ดีอย่างแท้จริง จากนั้นก็สังเกตเห็นรอยยิ้มที่แห้งแล้งของเมิ่งฮ่าว ดวงตานางก็เบิกกว้าง “ดี เมื่อตกลงกันได้แล้ว พวกเราก็มาเริ่มกันเถอะ!”

“ข้า…” เมิ่งฮ่าวกำลังจะกล่าวตอบ แต่ฟางอวี๋ก็พุ่งนำหน้าไปก่อน ทิ้งเมิ่งฮ่าวไว้ด้านหลังท่ามกลางฝุ่นควัน มองเห็นรอยยิ้มอิ่มเอมใจอยู่บนใบหน้านาง และดวงตาก็สาดประกายเจิดจ้า ยิ่งนางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองฉลาดมากขึ้นเท่านั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วนางกำลังวางหลุมพรางอย่างชั่วร้ายให้กับจี้เซี่ยวเซี่ยว…

เมิ่งฮ่าวฝืนยิ้มต่อไป แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่นางได้กล่าวมาในท่อนสุดท้าย พุ่งติดตามนางไป ด้วยสีหน้าสบายๆ แต่ภายในใจเต็มไปด้วยความระมัดระวังตัว นอกจากนี้เขายังได้เรียนรู้ที่จะปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงไว้นานแล้ว ดังนั้นเขาจึงมักจะยิ้มน้อยๆ อยู่บนใบหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นๆ รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จริงๆ

“อันที่จริงนางไม่ได้ระวังข้าเลยแม้แต่น้อย” เขาคิด “หรือว่านั่นเป็นการเสแสร้ง?” ความครุ่นคิดปรากฏขึ้นในแววตา ขณะที่คิดย้อนกลับไปยังภาพที่อยู่ด้านนอกของถ้ำกำเนิดใหม่เมื่อปีนั้น

อีกครั้งที่เขามองลงไปยังหลังมือข้างขวาโดยไม่รู้ตัว ความไม่แน่ใจปะทุขึ้นมาในจิตใจมากยิ่งขึ้น

“บางทีทุกสิ่งอาจจะชัดเจนขึ้น หลังจากที่ไปถึงซากศพนั้น ข้าจะตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายในตอนนั้น” ประกายแสงที่แทบจะมองไม่เห็นแวบขึ้นมาภายในดวงตาเมิ่งฮ่าว

รุ่งอรุณจางหายไปโดยสิ้นเชิง อาณาจักรเซียนอสูรโบราณไม่ได้มืดมิดอีกต่อไป แสงตะวันปีนป่ายขึ้นไปในท้องฟ้า ขณะที่เมิ่งฮ่าวและฟางอวี๋บรรลุถึงซากปรักหักพังที่ยืดยาวออกไป ในท่ามกลางยอดเขาที่สองและที่สาม

สถานที่แห่งนี้เสียหายเป็นอย่างมาก มีซากศพนอนเรียงรายอยู่ทุกที่ รู้สึกถึงความเก่าแก่โบราณแผ่กระจายออกไปเต็มอยู่ในอากาศ ตามมาด้วยกลิ่นอายของความเน่าเปื่อย ที่ดูเหมือนไม่ต้องการจะสลายหายไป

หินปูนที่ปกคลุมอยู่บนพื้น ถูกบดขยี้จนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วนมานานแล้ว อาคารบ้านเรือนที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา ก็พังทลายลงโดยหัตถ์ยักษ์บางอย่าง ที่กระแทกลงมาจากด้านบน พลังนั้นทำให้สิ่งปลูกสร้างพังทลายไปโดยสิ้นเชิง และจากนั้นก็กลายเป็นระลอกคลื่น ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งอยู่ในรัศมีหนึ่งหมื่นจ้างทั่วทุกทิศทางถูกทำลายลงไป

“ถึงแล้ว” ฟางอวี๋กล่าว “ครั้งนี้ตระกูลฟางมาแค่สามคน ข้าจะแจ้งให้อีกสองคนไม่ต้องเลือกสถานที่แห่งนี้ นี่เป็นซากศพของศิษย์สายในที่ค่อนข้างจะมีตำแหน่งที่สูงส่ง ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ศิษย์หลัก แต่ผู้ฝึกตนรุ่นก่อนของตระกูลฟาง ซึ่งเคยมายังที่แห่งนี้ได้กล่าวว่า คนผู้นี้มีสหายอยู่มากมาย ถ้าเจ้ากระทำได้อย่างถูกต้อง ก็ควรจะค้นหาโชควาสนาได้บ้าง” ด้วยเช่นนั้น นางก็หยิบเอาแผ่นหยกออกมา และยื่นส่งให้

“ที่ถูกบันทึกอยู่ในแผ่นหยกนี้ เป็นเจ็ดเส้นทาง โดยสมาชิกต่างๆ ของตระกูลฟางรุ่นก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกมันกระทำและกล่าวมา ถูกบันทึกอยู่ด้านใน เพราะช่วงเวลาที่พวกเราจะต้องเดินทางไปไม่ได้ถูกกำหนดไว้ เนื้อหาส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเจ้ามากนัก แต่กระนั้นเจ้าก็ควรจะต้องศึกษาไว้”

ด้วยเช่นนั้น ฟางอวี๋ก็มองไปรอบๆ ศึกษาพื้นที่บริเวณนั้น ก่อนที่จะมุ่งหน้าต่อไป ขณะที่คนทั้งสองเคลื่อนที่ไป ฟางอวี๋ก็อธิบายรายละเอียดทั้งหมดออกมา

“จงใส่ใจในเส้นทางที่ข้าเดินไป ยกตัวอย่างเช่น เห็นนั่นหรือไม่? นั่นก็คือค่ายกลเวทป้องกัน ซึ่งยากที่จะเจาะเข้าไปได้ มันน่าจะช่วยให้เจ้าปลอดภัยอย่างแท้จริง”

“อย่าไปแตะต้องของสิ่งนั้น! นั่นเป็นเวทป้องกันลับ!”

“อย่าไปสัมผัสโดนนี่ด้วย”

“เจ้าต้องรออยู่ที่นี่ชั่วธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก ให้ความใส่ใจกับเงาบนพื้นดิน”

เมิ่งฮ่าวพยักหน้าเพื่อตอบรับคำอธิบายของนาง ภายในใจ ความสงสัยก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตระหนักว่าฟางอวี๋ไม่ได้ปิดปังสิ่งใดๆ ไว้อย่างแท้จริง

คนทั้งสองเดินอ้อมเป็นวงเข้าไปในจุดศูนย์กลางของซากปรักหักพัง สองสามชั่วยามหลังจากนั้น เมื่อยามบ่ายมาเยือน จู่ๆ เมิ่งฮ่าวก็หยุดนิ่ง มองออกไปยังที่ห่างไกล ที่นั่น ในท่ามกลางซากปรักหักพังบางแห่ง มีแผ่นหยกที่ส่องแสงสีฟ้าอันเจิดจ้าออกมา มันกำลังลอยอยู่เหนือพื้นดิน ล้อมรอบไปด้วยกระแสแห่งสัญลักษณ์เวทมากมายนับไม่ถ้วน

เพียงมองแค่แวบแรก ก็เห็นได้ว่าแผ่นหยกนั้นมีความสวยงามอย่างยิ่งยวด

รอบๆ แผ่นหยกประมาณสิบกว่าจ้างทั่วทุกทิศทาง เป็นเวทป้องกันที่เรืองแสงแพรวพราว

“อย่าแม้แต่จะคิด” ฟางอวี๋กล่าว “จากบันทึกแรกสุดของตระกูลฟาง ที่เกี่ยวกับอาณาจักรเซียนอสูรโบราณจนกระทั่งถึงตอนนี้ ไม่มีใครสามารถผ่านเข้าไปในเวทป้องกันนั้นได้ ถ้าเจ้ามองดูให้ละเอียด ก็จะรับรู้ได้ว่าเวทแห่งเต๋าที่ประกอบอยู่ในแผ่นหยกนั้น ต้องอยู่ในอันดับสูงสุดจากวิชาเวทหนึ่งพันชนิดนั้น” เสียงของนางราวกับมองว่านี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

“เห็นซากศพทั้งหมดที่อยู่รอบๆ แสงเหล่านั้นหรือไม่? บุคคลเหล่านั้นเป็นคนรุ่นก่อนที่เกิดความละโมบ และพยายามจะทะลวงผ่านเข้าไปในเวทป้องกัน…” เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินเช่นนี้ เขาก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ เขาได้สังเกตเห็นว่าซากศพในบริเวณนี้บางซาก ดูแตกต่างไปจากซากศพที่เป็นสมาชิกสำนักเซียนอสูรมาก่อนหน้านี้แล้ว

“อาณาจักรเซียนอสูรโบราณเปิดออกมาแล้วกี่ครั้ง?” เขาถามขึ้นในทันใด “เป็นไปได้หรือไม่ว่า สมาชิกของสำนักยังคงมีชีวิตรอดอยู่ในที่แห่งนี้?”

“เป็นไปไม่ได้” ฟางอวี๋กล่าวตอบ ส่ายศีรษะ “ทุกคนตายไปหมดแล้ว นอกจากจะมีใครบางคนได้หลบหนีจากไปก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติขึ้น มิเช่นนั้นทุกคนต้องตายหมด และทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดขึ้นมานาน นานมากแล้ว จากบันทึกโบราณได้บอกกล่าวไว้อย่างชัดแจ้งว่า ทั่วทั้งสำนักได้ถูกทำลายล้างไปจนหมดสิ้น”

“ถ้ามันเปิดออกทุกๆ หนึ่งพันปี ก็เป็นไปได้หรือไม่ว่า จะมีคนกลับมาและอยู่ในที่แห่งนี้ต่อไป?” เขากล่าวต่อไป แววตาสาดประกาย

ฟางอวี๋ดูเหมือนไม่ได้สงสัยต่อคำถามของเมิ่งฮ่าวแม้แต่น้อย “ผู้คนที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ได้ มีแต่คนตายเท่านั้น ใครก็ตามที่เข้ามาจะถูกขับไล่ออกไปเมื่ออาณาจักรปิดตัวลง ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่ข้าก็อยากรู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน และคนที่ตอบคำถามข้าก็เป็นผู้อาวุโสที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแค่คนเดียวของตระกูลที่เคยมายังสถานที่แห่งนี้”

เมิ่งฮ่าวไม่ถามอะไรเพิ่มอีก เขาหันหลังกลับ ติดตามฟางอวี๋ขณะที่นางมุ่งหน้าต่อไป ครั้งนี้พวกเขาเดินไปเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ก่อนจะในที่สุดก็บรรลุถึงบ้านหลังหนึ่ง ที่พังทลายลงไปเหลืออยู่แค่ครึ่งหลัง หลังจากที่มองไปรอบๆ ชั่วครู่ ฟางอวี๋ก็หยิบแผ่นหยกออกมาบดขยี้ ทันใดนั้น ความเลือนลางก็ปกคลุมไปรอบๆ บ้านหลังนั้น เมื่อความเลือนลางจางหายไปกลายเป็นเด่นชัด บ้านหลังนั้นก็หายไป สถานที่แห่งนั้นได้กลายเป็นปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่

เมิ่งฮ่าวไม่ได้ประหลาดใจเท่าใดนัก ในช่วงของการเดินทางมา เขาได้เห็นฟางอวี๋กระทำสิ่งเดียวกันนี้เจ็ดถึงแปดครั้ง นางยังได้ทำสิ่งอื่นๆ อีกด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ถูกใครติดตามมา

ในท่ามกลางปล่องภูเขาไฟนั้นเป็นซากศพ เมื่อเข้าไปใกล้ ก็มองเห็นได้ชัดว่ากล้ามเนื้อและโลหิตได้หายไปนานแล้ว สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่เป็นซากศพที่แห้งเหี่ยว ศีรษะของมันหันหน้ามองขึ้นไปในอากาศ เหมือนกับว่าก่อนที่จะตกตายไป มันกำลังมองขึ้นไปในท้องฟ้า ถึงแม้จะผ่านมาเป็นเวลานานมากแล้ว เมิ่งฮ่าวก็ยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงท่าทางหวาดกลัวและความโดดเดี่ยวบนใบหน้าของมัน

“มันมีนามว่าฉือหลง และเป็นสมาชิกของสำนักเซียนอสูรมานานแล้ว เริ่มต้นจากการเป็นศิษย์สายนอก จนในที่สุดก็ถูกเลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายใน จบชีวิตลงในช่วงมหันตภัย”

“ถ้าไม่ใช่มหันตภัยเช่นนั้น มันก็อาจจะกลายเป็นศิษย์หลักในที่สุด” ฟางอวี๋ยื่นมือออกไป มองเห็นแผ่นหยกแปดชิ้นอยู่บนฝ่ามือ แผ่นหยกทั้งหมดประกอบด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรเซียนอสูรโบราณ นางส่งมอบให้กับเมิ่งฮ่าวทีละชิ้น

“เหลือเวลาอีกไม่นานแล้วในตอนนี้” นางกล่าว “เจ้าน่าจะปลอดภัยอยู่ในที่แห่งนี้ ข้าจะไปค้นหาซากศพในที่อื่น” ฟางอวี๋มองเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง ไม่ได้พยายามปิดบังความห่วงหาอาทรในดวงตาของนาง

เมิ่งฮ่าวมองไปยังแผ่นหยก และจากนั้นก็มองไปขณะที่ฟางอวี๋หันหลังพุ่งจากไป

หลังจากผ่านไปนานชั่วครู่ เขาก็ใช้เวลาบางส่วนตรวจสอบสิ่งที่อยู่รอบๆ พื้นที่แถบนั้น เห็นได้ชัดว่า…ไม่มีอันตรายใดๆ ในบริเวณใกล้เคียงนั้น นี่เป็นสถานที่ซึ่งน้อยคนมากจะมาเพื่อค้นหาร่างอาศัย

“อย่าบอกข้านะว่า นางไม่มีความคิดมุ่งร้ายใดๆ อย่างแท้จริง” เขาพึมพำเสียงแผ่วเบา หันหน้ามองไปยังซากศพ จากนั้นก็เดินอย่างครุ่นคิดไปนั่งลงข้างๆ เพื่อตรวจสอบโดยละเอียด

อารมณ์เขาค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าจริงๆ แล้ว ซากศพนี้มีความแข็งแกร่งกว่าซากศพที่เขาเคยเห็นมาก่อนหน้านี้มากนัก แม้หลังจากที่เข้าไปในวิญญาณดวงที่เจ็ด เขาก็ยังไม่อาจจะทำให้โครงกระดูกของมันแตกร้าวได้แม้แต่น้อยนิด

ทำให้จิตใจเขาหมุนคว้าง เขายังสามารถรับรู้ได้ถึงแรงกดดันเล็กน้อย ที่กระจายออกมาจากร่างซากศพนี้ ซึ่งทำให้เส้นผมเขาต้องลุกตั้งชี้ชัน ทั่วทั้งร่างราวกับว่าเต็มไปด้วยความหนาวเย็น เกิดเป็นแรงกดดันอันยากจะอธิบายออกมาได้กดทับลงมาในจิตใจ

หลังจากเวลานานผ่านไป เขาก็ตื่นขึ้นมาจากภวังค์และถอยไปด้านหลังสองสามก้าว เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาจากใบหน้า มองลงไปยังซากศพด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“นี่เป็นศิษย์สายในแห่งสำนักเซียนอสูรโบราณ…มันช่างแตกต่างเป็นอย่างมากกับซากศพอื่นๆ ที่ข้าตรวจสอบมา มันมีความแข็งแกร่งกว่ามาก! ซึ่งก็หมายความว่าซากศพทั้งหมดที่ข้าเห็นมานั้นเป็นเพียงแค่ศิษย์สายนอกเท่านั้น” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่นั่งลงขัดสมาธิ

“ฟางอวี๋ไม่มีความคิดมุ่งร้ายอยู่จริงๆ ในตอนนี้มีเวลาเหลืออยู่ยี่สิบชั่วยาม ถ้าข้าอยู่ที่นี่ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะสามารถเข้าไปในอาณาจักรแห่งที่สอง แต่…” ดวงตาสาดประกายขณะที่มองออกไปยังทิศทางของยอดเขาที่สามและสี่

เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเห็นมา หลังจากที่ตื่นขึ้นในแม่น้ำแห่งดวงดาว ขณะที่มันมุ่งหน้ามายังอาณาจักรเซียนอสูรโบราณนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุรุษที่เขามองเห็นบนยอดเขาลูกที่สี่

เขาไม่รู้ว่าอาณาจักรเซียนอสูรโบราณได้เปิดออกมากี่ครั้งแล้วเมื่อในอดีต และไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกตนมากมายเท่าใด ที่เคยผ่านเข้าไปในแต่ละรุ่น ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น จะมีใครที่เคยตื่นขึ้นมาเช่นเดียวกับที่เขาเป็น ถ้าเคยมี ก็แน่ใจได้เลยว่ามันต้องเกิดขึ้นน้อยมากอย่างน่าเหลือเชื่อ นอกจากนั้น เขาก็เชื่อเป็นอย่างมากว่าที่ตื่นขึ้นมาได้นั้น ก็เนื่องมาจากการช่วยเหลือของหานซาน

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามีผู้คนเคยตื่นขึ้นมาเมื่อในอดีตจริงๆ ก็ไม่ได้จะหมายความว่าพวกมันจะเคยเห็นบุรุษคนเดียวกันกับที่เขาเห็น

เป็นไปได้เป็นอย่างมากว่า เมิ่งฮ่าวเป็นเพียงคนเดียวที่ตื่นขึ้นมาและมองเห็นบุรุษผู้นั้น

“นั่นก็คือข้อได้เปรียบของข้า นั่นเป็นสถานที่ ที่โอกาสเพียงหนึ่งเดียวของข้าอยู่ที่นั่น ถ้าข้าเฝ้ารออยู่ที่นี่ ข้าอาจจะไม่มีอันตรายใดๆ แต่ก็หมายความว่าข้าจะต้องยกเลิกโอกาสที่จะได้ครอบครองโอกาสเพียงหนึ่งเดียวนี้” เขารู้สึกลังเล

“บุคคลที่อยู่บนยอดเขาลูกที่สี่…คือใครกัน…?” หลังจากที่ครุ่นคิดเป็นเวลานาน ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็เต็มไปด้วยแสงแห่งความมุ่งมั่น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!