ตอนที่ 632
ทะเลเทียนเหอ
ทะเลเทียนเหอ ตั้งอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของดินแดนแห่งดาวหนานเทียน แยกดินแดนทั้งหมดออกเป็นสองทวีป ทวีปหนึ่งประกอบด้วยดินแดนตะวันออก และดินแดนทางเหนือ อีกหนึ่งเป็นดินแดนด้านใต้และทะเลทรายตะวันตก
บริเวณที่เป็นทะเลเทียนเหอมีขนาดกว้างใหญ่ ใหญ่กว่าดินแดนใดๆ ของทั้งสองทวีป ถ้าเปรียบเทียบขนาดของมันกับดินแดนด้านใต้ ทะเลเทียนเหอมีขนาดใหญ่กว่าประมาณห้าเท่า
ดังนั้น มันจึงถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ซึ่งถูกเรียกว่าวงแหวน ส่วนที่อยู่ด้านนอกของวงแหวนทั้งสี่ ถูกเรียกว่าทะเลชั้นนอก
ทะเลอันไร้ขอบเขตนี้ มักจะมีพายุม้วนตัวกวาดออกไปอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดเป็นคลื่นขนาดใหญ่พุ่งขึ้นไป แต่ก็ยังพบเห็นหมู่เกาะอยู่มากมาย บ้างก็มีขนาดใหญ่ บ้างก็เล็ก ซึ่งก็หมายความว่าต้องมีผู้ฝึกตนอยู่ด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่า ต้องมีสัตว์ทะเลว่ายไปมาอยู่ในน้ำด้วยเช่นกัน เลือดเนื้อของพวกมันมักจะมีค่าต่อผู้ฝึกตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ทะเลที่เหมือนกับผู้ฝึกตน และถูกเรียกว่าอสูรทะเล หัวใจของอสูรทะเลมีค่าอย่างมากมาย หัวใจของอสูรทะเลหนึ่งดวง สามารถปล่อยพลังปราณออกมา เทียบได้กับหินลมปราณระดับกลาง
ด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ ทะเลเทียนเหอจึงกลายเป็นเป้าหมายของผู้ฝึกตนมานานหลายปี มีผู้คนมาตั้งรกรากมากมาย ขยับขยายออกไปเรื่อยๆ และในที่สุดก็รวมตัวกันเป็นโครงสร้างของกองกำลังผุดขึ้นมา
มีทั้งกองกำลังที่แข็งแกร่งและอ่อนแออยู่ในทะเลเทียนเหอ และพวกมันก็กระจัดกระจายอยู่ท่ามกลางหมู่เกาะต่างๆ ที่อยู่บนผิวน้ำทะเล กองกำลังส่วนใหญ่จะอยู่ในวงแหวนทั้งสี่ มีเพียงสำนักและตระกูลที่แข็งแกร่งเท่านั้น ถึงจะมีคุณสมบัติอยู่อาศัยในวงแหวนที่สาม
แน่นอนว่า ต้องมีตำนานมากมาย ที่บอกเล่าสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นในทะเลเทียนเหอ ส่วนมากดูเหมือนจะเชื่อไม่ได้ แต่ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้คนมากมายก็เชื่อว่าตำนานเหล่านั้นเป็นความจริง ดูเหมือนว่าเมื่อทะเลเทียนเหอมีสิ่งใดๆ เปลี่ยนแปลงไป ก็มักจะมีผู้คนเชื่อมโยงมันไปยังสิ่งที่แปลกๆ
มันเป็นทะเลอันกว้างใหญ่ ที่ไม่เคยสงบสุขไร้คลื่นลมมาก่อน แต่มักจะมีลมพายุขนาดใหญ่ม้วนกวาดไปมา นี่ก็คือ…ทะเลเทียนเหอ
ในเขตของทะเลชั้นนอกของทะเลเทียนเหอ มีเรือที่มีความยาวประมาณหนึ่งร้อยจ้าง กำลังเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็ว
ตรงหัวเรือ มีบุรุษวัยกลางคนกำลังบอกเล่าตำนานบางเรื่องของทะเลเทียนเหอ ให้กับเหล่าผู้เยาว์ซึ่งรวมกันอยู่รอบๆ ตัวมันด้วยท่าทางสบายๆ
“จากตำนานที่บอกเล่ากันมา มีเรือโบราณที่สามารถมองเห็นอยู่ในทะเลเทียนเหอ ใครก็ตามที่เห็นเรือลำนั้น ก็จะได้รับพรอันยิ่งใหญ่…กล่าวกันว่ามีชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวเรือลำนั้น”
“ชายชราผู้นั้นสวมใส่ชุดนักรบที่ผุพัง นั่งหลับตาไม่ขยับตัวเคลื่อนไหว…”
เหล่าผู้เยาว์มีท่าทางตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่า เรื่องเล่านี้พวกมันเคยได้ยินมาแล้วนับร้อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย
น้ำกระจายขึ้นมาจากพื้นผิวของทะเล และสูงขึ้นไปเหนือลำเรือ ธงผ้าไหมพริ้วไปมาอยู่ในสายลม ที่ปักอยู่บนธงก็คือตัวอักษร “จาง (张)” พร้อมกับรูปกระบี่บินอยู่ตรงกลาง ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า นี่ก็คือเรือของตระกูลจาง ซึ่งเป็นตระกูลผู้ฝึกตนแห่งทะเลเทียนเหอ
มีผู้คนอยู่บนเรือประมาณห้าสิบคน ส่วนใหญ่จะมีรูปร่างที่สมส่วนและแข็งแรง แต่ก็เป็นมนุษย์ธรรมดา มีผู้ฝึกตนอยู่เพียงแค่หยิบมือ ซึ่งทั้งหมดต่างก็นั่งขัดสมาธิเข้าฌาณ มีเพียงคนเดียวที่ไม่นั่งขัดสมาธิก็คือบุรุษวัยกลางคน ที่อยู่บนหัวเรือ ซึ่งอยู่ในขั้นสุดท้ายพื้นฐานลมปราณ เป็นผู้ที่กำลังบอกเล่าเรื่องราวให้กับเหล่าผู้เยาว์ของตระกูล
“ปรมาจารย์ตระกูลจางของพวกเรา เคยเห็นเรือนั่นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน” มันกล่าวต่อด้วยเสียงแผ่วเบา ฉวยโอกาสชักจูงเหล่าผู้เยาว์ของตระกูลอย่างชาญฉลาด “ท่านได้รับพรเหมือนกับที่ตำนานได้กล่าวไว้ ท่านได้ทะลวงผ่านพื้นฐานฝึกตน และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญสร้างแกนลมปราณ”
“ด้วยเหตุผลนั้นทำให้ท่านได้ครอบครองเกาะอยู่ในทะเลชั้นนอก และก่อตั้งตระกูลจางของพวกเราขึ้นในฐานะกองกำลังพื้นเมือง พวกเจ้าต้องจดจำเรื่องนี้ไว้ให้มั่น!”
ท่ามกลางเหล่าผู้เยาว์ เป็นเด็กร่างกายแข็งแรง ได้กล่าวขึ้นในทันที “พวกเรารู้เรื่องนี้แล้ว ท่านอาไห่ซิน!” มันกล่าวด้วยน้ำเสียงวิงวอนขอร้อง “ช่วยเล่าเรื่องเกาะศักดิ์สิทธิ์ให้พวกเราฟังด้วยเถอะ!”
ทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปากมัน ผู้เยาว์คนอื่นๆ ก็เริ่มขอร้องในสิ่งเดียวกันนี้
บุรุษวัยกลางคนหัวเราะอย่างเงียบๆ ไม่ค่อยมั่นใจว่าจะกล่าวอะไรออกมาดี มันกำลังจะเริ่มพูด แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่ง มันหันหน้ามองไปยังห้องดาดฟ้าตรงท้ายเรือ และมองเห็นเส้าฟู่ที่งดงาม (หญิงสาวเยาว์วัยที่แต่งงานแล้ว) โผล่ออกมา นางสวมใส่เสื้อผ้าไหมพร้อมกระโปรงชุดเดินเรือ และมีความงดงามตามธรรมชาติ ดูสดใสและมีเสน่ห์ มองเห็นรอยยิ้มน้อยๆ อยู่บนใบหน้า ขณะที่นางก้าวเท้าออกมาจากห้องดาดฟ้าตรงท้ายเรือ ถึงแม้จะมีรอยยิ้ม แต่ก็ยากที่จะปกปิดความวิตกกังวล และความไม่ค่อยสบายใจในดวงตานางได้
ที่กำลังกุมมือนางอยู่ เป็นเด็กชายอายุประมาณหกถึงเจ็ดปี แก้มป่องเป็นสีชมพู ดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง สำหรับเส้าฟู่ผู้นี้มีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ วงจรสมบูรณ์ขั้นพื้นฐานลมปราณ
“ขอคารวะ ท่านผู้นำตระกูล!” บุรุษวัยกลางคนกล่าวด้วยความเคารพ ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ
เหล่าผู้เยาว์คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวมัน ต่างก็โค้งตัวลงให้กับนางเช่นเดียวกัน
“พวกเราต่างก็เป็นสมาชิกของตระกูลเช่นเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องมีสัมมาคารวะเช่นนั้น” เส้าฟู่กล่าว หัวเราะออกมา “หนานเอ๋อร์ต้องการจะดูดวงตะวันลับหายไปในทะเล ดังนั้นข้าจึงพามันออกมาดู”
เด็กชายที่อยู่ข้างกายเส้าฟู่ มองไปยังบุรุษวัยกลางคน ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและส่งเสียงแหลมเล็กออกมา “ท่านอาไห่ซิน ข้าได้ยินใครบางคนพูดถึงเกาะศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่?”
บุรุษวัยกลางคนหัวเราะออกมา และประกายแสงก็ปรากฏขึ้นในดวงตา สำหรับมันแล้ว ความหวังทั้งหมดของตระกูล ได้ฝากอยู่บนอนาคตของเด็กชายผู้นี้
“อา, เกาะศักดิ์สิทธิ์” บุรุษวัยกลางคนกล่าว ยิ้มออกมา “ก็คือเกาะอันดับหนึ่งในวงแหวนที่สี่ และสำนักเซียวเหยา (เสรีภาพ) ที่ตั้งอยู่บนเกาะนั้น ก็เป็นสำนักอันดับหนึ่งในวงแหวนที่สี่ทั้งหมด!”
“เกาะศักดิ์สิทธิ์มีขนาดกว้างใหญ่ แทบจะคล้ายกับเป็นทวีป! มันอยู่ห่างไกล, ไกลออกไปมากๆ จากเกาะของพวกเรา แม้แต่ชนชาติของมนุษย์ธรรมดาก็ยังมีอยู่บนเกาะนั้น ซึ่งถูกเรียกว่า แคว้นเซียว”
“เพราะว่าสำนักเซียวเหยามีผู้ฝึกตนขั้นตัดวิญญาณ มันจึงสามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับกองกำลังอื่นๆ ทั้งหมดในวงแหวนที่สี่ พวกมันมีผู้ฝึกตนอยู่มากมาย มีทั้งขั้นรวบรวมลมปราณ และพื้นฐานลมปราณอยู่ทั่วทุกที่ มีแม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณอีกนับสิบคน! เมื่อพูดถึงขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง…พวกมันก็มีอยู่ถึงเจ็ดคน!”
“ทั่วทั้งวงแหวนที่สี่ ไม่มีแม้แต่สำนักหรือตระกูลเดียว ที่จะต่อสู้กับกองกำลังของพวกมันได้ สมควรแล้วที่สำนักเซียวเหยาจะถูกเรียกว่า ราชันแห่งวงแหวนสี่”
“พวกเจ้าทั้งหมดต่างก็รู้เหตุผลที่พวกเรากำลังจะไปที่นั่น ดังนั้นเมื่อพวกเราไปถึง พวกเจ้าทั้งหมดต้องเคารพเชื่อฟังให้มากไว้ หนานเอ๋อร์เส้าจู่ (นายน้อยหนานเอ๋อร์) มีพรสวรรค์เป็นเลิศเหนือผู้ใดที่ถือกำเนิดมาภายในไม่กี่ปีมานี้”
“สำนักเซียวเหยากำลังจะคัดเลือกศิษย์ นั่นก็หมายความว่าเป็นโอกาสของตระกูลพวกเรา!” พูดมาถึงจุดนี้ ดวงตาของบุรุษวัยกลางคนก็สาดประกายด้วยความมุ่งหวัง
“ถ้าหนานเอ๋อร์เส้าจู่ สามารถเข้าร่วมกับสำนักเซียวเหยาได้ ด้วยพรสวรรค์ของท่าน ก็จะสามารถบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณได้อย่างแน่นอน ในวันข้างหน้าก็อาจจะเป็นไปได้ ที่ท่านจะสามารถบรรลุขั้นสร้างแกนลมปราณ! จากนั้นท่านก็จะเป็นผู้กล้าเช่นเดียวกับปรมาจารย์ของพวกเรา จากเมื่อหลายปีก่อนที่ผ่านมา!”
“เมื่อเกิดขึ้นเช่นนั้น ตระกูลจางของพวกเราก็จะมีชื่อเสียงอยู่ในทะเลชั้นนอกได้อีกครั้ง!” เสียงของบุรุษวัยกลางคนเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้ใหลหลง กลุ่มผู้เยาว์ที่อยู่รอบๆ ตัวมัน มองไปยังเด็กชายที่กำลังยืนอยู่ข้างกายหญิงสาวเยาว์วัยที่แต่งงานแล้วด้วยความชื่นชมและอิจฉา
เส้นผมของหญิงสาวเยาว์วัยพริ้วไปมา และกำลังจะกล่าวบางอย่างออกมา ทันใดนั้นสีหน้านางก็เปลี่ยนไป เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่นางมองขึ้นไป พร้อมกับบุรุษวัยกลางคนนั้น
จากตรงจุดกึ่งกลางของลำเรือ บุรุษและสตรีทันใดนั้นก็บินขึ้นไปในอากาศ คนทั้งสองมีอายุประมาณห้าสิบปี และมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ในขั้นสุดท้ายพื้นฐานลมปราณ พวกมันยืนอยู่บนกระบี่บิน สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ ขณะที่มองขึ้นไปในอากาศ
ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบ และคนทั้งหมดที่อยู่บนตัวเรือก็มองขึ้นไป ตกตะลึงไปตามๆ กัน
สิ่งที่พวกมันเห็นก็คือรอยแยกขนาดใหญ่ เปิดออกในกลางอากาศอย่างไร้เสียง กลายเป็นกระแสน้ำวนสีดำ หมุนไปมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่มันกลายเป็นหลุมดำ
บุรุษผู้หนึ่งเดินโซเซ กระอักโลหิตออกมา
บุรุษผู้นั้นมีผมยาวสีเทา สวมใส่ชุดยาวสีขาวที่เปื้อนโลหิต กลิ่นอายไม่เสถียรมั่นคง ใบหน้าซีดขาว แน่นอนว่านี่ก็คือเมิ่งฮ่าว
นกแก้วเกาะอยู่บนไหล่เขา และสายตาที่ดูถูกของมันก็กวาดมองไปยังรอบๆ บริเวณนั้น
ทันทีที่เมิ่งฮ่าวปรากฏกายขึ้น อวัยวะภายในก็ระเบิดออกอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงมาก่อน การเคลื่อนย้ายทางไกลครั้งที่สองนี้ ทำให้แผลเก่าฉีกขาดออก อาการบาดเจ็บจึงเลวร้ายลงมากกว่าเดิม
เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่กลางอากาศ มองลงไปยังกลุ่มคนที่อยู่บนเรือ และมองเห็นสีหน้าที่แตกต่างกันของกลุ่มคนเหล่านั้น ถึงตอนนี้เขาจะบาดเจ็บอยู่ แต่ทันทีที่สายตากวาดผ่านไปยังคนเหล่านั้น จิตใจพวกมันก็เริ่มสั่นสะท้านเต้นรัว รู้สึกราวกับว่าพวกมันกำลังถูกจ้องมองโดยสัตว์ป่าในสมัยโบราณ
“อาการบาดเจ็บของข้าสาหัสมาก” เมิ่งฮ่าวคิด มองลงไป “ข้าจำเป็นต้องหาสถานที่เพื่อทำการรักษาให้เร็วที่สุด” โดยไม่สนใจกลุ่มคนที่อยู่บนเรือด้านล่าง เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และกำลังจะบังคับให้พื้นฐานฝึกตนโคจรหมุนเวียน เพื่อจะเคลื่อนที่ออกไปยังที่ห่างไกล
บนเรือลำนั้น คนทั้งหมดยืนอยู่รอบๆ เงียบสนิทราวกับเป็นจั๊กจั่นในฤดูหนาว ยกเว้นหญิงสาวเยาว์วัยผู้นั้น
“เฉียนเป้ย (ผู้อาวุโส) ไม่จำเป็นต้องจากไป!” ทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปาก นางก็รู้สึกเสียใจ เมื่อเมิ่งฮ่าวมองกลับมา นางก็สั่นสะท้าน แต่จากนั้นก็บังคับให้ตัวเองประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ
“เฉียนเป้ย” นางกล่าวต่อด้วยสุ้มเสียงที่สั่นเครือ “ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส ถ้าท่านกำลังเสาะหาสถานที่สำหรับพักผ่อนและรักษาตัว เรือของพวกเรามีห้องพักที่ดีเยี่ยม รวมทั้งเม็ดยาบางส่วน ถ้าท่านไม่รังเกียจ ก็สามารถรักษาตัวอยู่ที่นี่ได้” นางกัดฟันแน่น จิตใจเต้นรัวด้วยความวิตกกังวล
เมื่อคนทั้งหมดได้ยินคำพูดนาง สีหน้าของผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณที่อยู่รอบๆ รวมทั้งบุรุษวัยกลางคน ต่างก็สลดลง พวกมันไม่เข้าใจว่าทำไมผู้นำตระกูลถึงได้กระทำเช่นนี้ พวกมันอยากจะทำบางอย่างเพื่อหยุดนาง แต่ก็ไม่กล้าจะอ้าปากพูดออกมา
สีหน้เมิ่งฮ่าวสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่หยุดชะงักอยู่กลางอากาศ มองไปยังหญิงสาวเยาว์วัย
เมื่อเขามองเข้าไปในดวงตานาง หญิงสาวเยาว์วัยก็รู้สึกราวกับว่า สวรรค์และปฐพีทั้งหมดกำลังส่งเสียงดังกระหึ่ม นางเริ่มสั่นสะท้านมากยิ่งขึ้น
“เจ้ากำลังจะไปยังที่แห่งใด?” เมิ่งฮ่าวถาม ละสายตากลับมา
“ตระกูลอันต่ำต้อยของพวกเรา กำลังจะไปยังเกาะศักดิ์สิทธิ์ในวงแหวนที่สี่ ซึ่งบุตรชายของข้าจะไปเข้าร่วมกับสำนักเซียวเหยา” หญิงสาวเยาว์วัยไม่กล้าจะปิดบังซ่อนเร้นสิ่งใดๆ ไว้ และพูดจาด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ในตอนนี้สามผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณคนอื่นๆ ต่างก็คาดเดาได้ถึงจุดประสงค์ของนาง ถึงแม้พวกมันจะแอบสะท้านอยู่ภายในใจอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังรู้สึกมุ่งหวังอยู่เล็กน้อยด้วยเช่นกัน
เมิ่งฮ่าวไม่รู้ว่าเกาะศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใดกันแน่ และก็ไม่เข้าใจถึงโครงสร้างกองกำลัง และอาณาเขตต่างๆ ของทะเลเทียนเหอ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาก็พยักหน้าและจากนั้นก็ลอยลงไปบนตัวเรือ หญิงสาวเยาว์วัยนำเขาไปยังห้องพักส่วนตัว ที่ถูกผนึกไว้โดยเวทป้องกันด้วยความเคารพ
เมิ่งฮ่าวพยักหน้าให้ จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิ ขณะที่เขาหลับตาลง หญิงสาวเยาว์วัยก็คารวะและจากไป
ทันทีที่นางจากไป นกแก้วก็กล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ทำไมเจ้าถึงเลือกสถานที่แห่งนี้? อย่าบอกข้านะว่าเจ้าชอบหญิงสาวนางนั้น นางไม่ค่อยมีขนเลย ข้าได้ตรวจสอบนางมาสองสามครั้งเมื่อครู่นี้…”
“ไม่ว่าข้าจะหลบซ่อนอยู่ที่ไหนในทะเลเทียนเหอนี้ ต่างก็เป็นเช่นเดียวกัน” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบเสียงราบเรียบ “ถึงแม้ข้าจะอยู่ตรงก้นทะเล เมื่อไหร่ที่ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง ตรวจจับกลิ่นอายของข้าได้ มันก็จะค้นหาข้าพบ เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็อาจจะเป็นเรื่องดีที่ข้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ใครจะไปรู้ได้ว่า ข้าอาจจะได้รับโอกาสบางอย่างที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้” ด้วยเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็เริ่มโคจรพื้นฐานฝึกตน แสงสีม่วงสาดประกายอยู่ใต้เปลือกตา ขณะที่เริ่มทำการรักษาอาการบาดเจ็บ
เวลาผ่านไป ในตอนเช้าของวันที่สอง หญิงสาววัยเยาว์นำอาหารพื้นเมืองของทะเลเทียนเหอมา และยังได้มอบแผ่นหยกที่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับเกาะศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งแผนที่ของทะเลที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นให้อีกด้วย
แผนที่นั้นเป็นสิ่งที่มีค่าต่อเมิ่งฮ่าวเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะดูเหมือนกับว่าเป็นแค่แผนที่ธรรมดา แต่จริงๆ แล้วก็ถูกสร้างขึ้นมาจากข้อมูลที่ถูกรวบรวมมา โดยแต่ละรุ่นของตระกูลจาง
หญิงสาวเยาว์วัยไม่แน่ใจถึงที่มาของเมิ่งฮ่าว แต่เพื่อความปลอดภัย นางจึงมอบแผนที่ให้กับเขา เพื่อแสดงถึงความปรารถนาดี
เมิ่งฮ่าวรับแผ่นหยกมามองดู จากนั้นก็ยิ้มออกมา ทันใดนั้นหญิงสาวเยาว์วัยก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นเล็กน้อย นางยกมือขึ้นไปจัดเส้นผมให้ไปอยู่ที่หลังใบหู นางมีหน้าตาที่งดงามตามธรรมชาติ แต่เมื่อรวมเข้ากับความวิตกกังวล และความโล่งอก ก็ทำให้ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น นางสะกดข่มความตื่นเต้นลง คารวะด้วยความเคารพและจากไป
เมิ่งฮ่าวมองนางเดินจากไป จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เหตุผลที่นางขอให้เขาอยู่ก็เป็นเพราะว่า นางเคยพบเจอกับอันตรายอันร้ายแรงมาก่อนเมื่อในอดีต ดังนั้นนางจึงยอมเสี่ยงที่จะตะโกนเรียกเขาไว้
จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็เพ่งความสนใจไปที่แผ่นหยก “ทะเลเทียนเหอถูกแบ่งออกเป็นสี่วงแหวน…อาณาเขตด้านนอกของวงแหวนที่สี่ถูกเรียกว่าทะเลชั้นนอก”
“เกาะศักดิ์สิทธิ์ แคว้นเซียว สำนักเซียวเหยา” หลังจากผ่านไปไม่นาน เขาก็เก็บแผ่นหยกไว้ และจากนั้นก็รักษาอาการบาดเจ็บต่อไป
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ…