Skip to content

Tales of Herding Gods 146

ตอนที่ 146 จากท้ายซอยถึงปากซอย

“ปรมาจารย์ผีบ้าสิ!”

เยว่ชิงหงเหยียบอยู่บนบ่าของทาสหมาป่าและยิ้มหยัน ทาสหมาป่าก้าวยาวๆ พุ่งใส่ฉินมู่และกํามีดมนตราของเขาด้วยสองมือ เหวี่ยงมันขึ้นลง ในขณะนั้นร่างของเยว่ชิงหงก็สั่นสะเทือนและมีกระบี่กว่าสิบเล่มพรั่งพรูออกมาจากกล่องกระบี่ที่หลังของนาง

“พบศัตรูบนทางคับแคบ มีแต่ผู้กล้าหาญเท่านั้นที่จะได้ชัย ชนะ การประสานโจมตีของทาสหมาป่าและข้านั้นไร้เทียมทาน! ศิษย์น้องฉิน บัดนี้เมื่อจุดอ่อนของเจ้าเผยออกมา เจ้าน่าจะรีบไสหัวกลับไปแดนโบราณวินาศจะดีกว่า!”

มีดหนึ่งขึ้น มีดหนึ่งลง มีดมนตราสองเล่มของทาสหมาป่านั้นราวกับลมดําที่ซัดพุ่งใส่เขา ในระหว่างนั้น กระบี่ 31 เล่มข้างหลังเยว่ชิงหงก็ชี้ปลายใส่ฉินมู่ ข้างหน้าสุดเป็นกระบี่หนึ่งเล่ม ตามด้วยสอง สี่ แปด และสิบหก ก่อรูปเป็นท่วงท่ากระบี่เจาะใหญ่มหึมา!

และเมื่อกระบี่ทั้งหลายหมุนปั่น พวกมันก็แทงเข้าใส่ฉินมู่

“ศิษย์พี่เยว่ เจ้าก็ฝึกกระบี่ได้ไม่เลว!” ฉินมู่อุทานชื่นชมแล้วแย้มยิ้ม “แต่ว่าบัดนี้ข้าได้ฟั่นเฟ้นปราณ

ให้เป็นเส้นด้ายแล้ว เจ้าย่อมไม่ใช่คู่มือข้า!”

“ฟั่นเฟ้นปราณเป็นเส้นด้าย?”

เยว่ชิงหงเดือดดาลขึ้นมาทันที “นี่เจ้าหมายจะหยามข้าหรืออย่างไร”

ฉินมู่ชี้ไปที่นางและเส้นด้ายปราณชีวิตที่ปลายนิ้วเขาก็แผ่พุ่งออกไป เส้นด้ายปราณชีวิตหลายร้อยเส้นมีรูปลักษณ์ของกระบี่คมกล้าอันมีหัวและหางต่อกันเป็นทอดๆ มันดูคล้ายกับท่วงท่ากระบี่เจาะ แต่หนากว่ามาก เสากระบี่ที่เกิดขึ้นนั้นใหญ่ยังกับถังนํ้า ข้างหน้านั้นก็ประดุจปลายกระบี่ มันขยายใหญ่ขึ้นทุกทีทุกที แล้วพลันแทงเข้าใส่ทาสหมาป่า

มีดมนตราในมือทาสหมาป่าราวกับสายฟ้าสีดําที่วิ่งซิกแซกไปมา โถมปะทะกับท่วงท่ากระบี่เจาะ ในชั่วพริบตานั้นประกายไฟก็กระจุยกระจายไปทั่วทิศของตรอก แม้ว่าทาสหมาป่าจะมีพละกําลังอันวิเศษอัศจรรย์ แขนของเขาก็แปลบชาจากแรงสั่นสะเทือน ทําให้เขามิอาจควบคุมกระบี่มนตราของเขา และกลับไปเฉือนเสื้อตนเองฉีกแทน

เยว่ชิงหงพรึงเพริดและรีบเล็งกระบี่เจาะของนางไปยังหัวไหล่ฉินมู่ นางโจมตีฉินมู่เพื่อช่วยเหลือทาสหมาป่าให้พ้นจากสถานการณ์คับขัน

ฉินมู่ หัวเราะเบาๆ และปลายนิ้วของเขาก็ดีดขึ้นเบาๆ เปลี่ยนเป็นท่วงท่ากระบี่พลิก ท่วงท่ากระบี่เจาะที่กําลังแทงไปยังทาสหมาป่าพลันแปรเปลี่ยนแสงกระบี่นับไม่ถ้วนเหล่านั้นเปลี่ยนจากท่วงท่ากระบี่เจาะเป็นท่วงท่ากระบี่เกลียว หากแต่ว่าโดยภาพรวมเสากระบี่นั้นกําลังใช้ท่วงท่ากระบี่พลิก

ท่วงท่ากระบี่สองท่านั้นผสานผสมเข้าด้วยกันอย่างไร้ที่ติด้วยนํ้ามือของเขาโดยไม่ขัดข้อง

เส้นด้ายปราณชีวิตนับไม่ถ้วนของเขาม้วนพันรอบๆ ท่วงท่ากระบี่เจาะของเยว่ชิงหง และเสียงปะทะกันไม่หยุดหย่อนก็ดังขึ้นมา ท่วงท่ากระบี่เจาะนั้นอันถูกสร้างขึ้นจากกระบี่บิน 31 เล่มก็ถูกทําลายลงไปในพริบตา ในชั่วเสี้ยววินาทีนั้นกระบี่บินทั้งหมดถูกเส้นด้ายปราณชีวิตนับไม่ถ้วนเจาะทะลุเข้าไปทําให้พวกมันพรุนเป็นรังผึ้งหักๆ

เยว่ชิงหงกู่ร้องและทาสหมาป่าที่อยู่ใต้นางรีบโยนมีด 2 เล่ม ของเขาทิ้ง เปลี่ยนเป็นกระโดดเตะฉินมู่ ฉินมู่ตวัดเท้าเตะกลับสร้างเสียงกัมปนาทราวฟ้าผ่า และร่างใหญ่ยักษ์ของทาสหมาป่าก็ปลิวกระเด็นถอยหลัง ในเวลาเดียวกันนั้นเยว่ชิงหงที่อยู่บนบ่าของทาสหมาป่าก็ฉวยโอกาสกระโจนขึ้นแล้วใช้นิ้วต่างกระบี่จู่โจมเข้าที่หัวไหล่ของฉินมู่

ปราณชีวิตพวยพุ่งออกมาจากนิ้วของนางแปรเปลี่ยนเป็นปราณกระบี่ ซึ่งกําลังจะทิ่มแทงไหล่ฉินมู่ ทันใดนั้นเสียงมารก็ดังก้องขึ้นมา “ซา โม เยว่!”

เยว่ชิงหงจิตวิญญาณสะท้านสะเทือนและสูญเสียการควบคุมจิตวิญญาณของตนทันที ถัดจากนั้นนางได้ยินเสียงดนตรี ซึ่งทําให้นางสลายปราณกระบี่ของนางและเริ่มเต้นระบําหมุนวนไปมาข้างหน้าฉินมู่พลางหัวเราะคิกคัก

แต่เพราะวรยุทธ์ของนางนั้นกล้าแข็ง นางจึงฟื้นสติได้ในเวลาไม่นานและขณะที่นางกําลังจะตั้งจิตควบคุมสมาธินั่นเอง นางถอยหลังไปและพบว่ามีหลังอุ่นๆ อีกหลังทาบอยู่กับหลังนาง ทําให้อุทานในใจ

ฉิบหายล่ะ!

ฉินมู่โก่งหลังดีดตัวกระแทกนางปลิวกระเด็นไปจมกําแพงข้างๆ

ข้างหลังกําแพงนั้นเป็นเรือนพักของหลวงจีนอวิ๋นฉื้อ และเมื่อกําแพงพังทลายลง รัศมีรอบตัวหลวงจีนอวิ๋นฉื้อก็พลันเจิดจ้า กระแทกเยว่ชิงหงที่ติดคากําแพงกระเด็นไปข้างๆ เขาหัวเราะเสียงดังสนั่น “ศิษย์พี่หญิงเยว่ เดี๋ยวข้าจะปราบเขาให้เจ้าดูเอง!”

เยว่ชิงหงซึ่งยังคงปลิวอยู่บนอากาศ กล่าวเตือนด้วยนํ้าเสียงเกรี้ยว “หลวงจีน เจ้าทําไม่ได้หรอกเข้าไปก็มีแต่เป็นเหยื่อมือเหยื่อตีน!”

“ข้าทําไม่ได้?”

หลวงจีนอวิ๋นฉื้อกระโดดขึ้นซัดกระบวนท่าอันดุร้ายเขื่องโข มันเหมือนกับมังกรและคชสารวิ่งตะบึงงัดใส่ฉินมู่ ทําให้หินแตกหักใต้เท้าของเขาปลิวกระจายไปทั่วทิศ และหินอ่อนปูพื้นทั้งหลายก็แทบไม่เหลือดีจากพละกําลังอันบ้าคลั่งของเขา!

“ศิษย์พี่หญิง อย่าว่าหลวงจีนผู้นี้ทําไม่ได้อีกเด็ดขาด หลวงจีนผู้นี้น่ะทําได้แน่ๆ!”

เสียงกระแทกทึบแน่นดังจากจุดปะทะของ 2 ฝ่ามือฉินมู่ปะทะ 2 ฝ่ามืออวิ๋นฉื้อ อวิ๋นฉื้อหัวเราะแล้วกล่าว “เจ้าผู้แซ่ฉิน เจ้าไม่คาดคิดสินะ? ข้าได้ฝึกปรือวิชากระบี่ของราชครูผสมเข้าไปในพลังฝ่ามือแล้ว มุทราอานุภาพห้าขั้นของข้า…”

ไม่ทันที่เขาจะสิ้นสุดคําพูด เขาก็พลันรู้สึกถึงพละกําลังอันสามารถทลายภูเขาถล่มมหาสมุทรโถมทับบดขยี้เขา พละกําลังนั้นร้ายแรงหาใดเปรียบและสามารถบดทําลายปราณชีวิตเขาได้อย่างง่ายดาย เอาชัยเหนือมุทราอานุภาพห้าขั้นของเขาได้โดยสิ้นเชิง

หลวงจีนอวิ๋นฉื้อครางเสียงหนัก ก่อนถอยกรูด จากนั้นเขาจึงช่วงใช้มุทรามังกรคชสารสยบมาร และพลันได้ยินเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น เสื้อผ้าของอวิ๋นฉื้อฉีกทําลายเป็นเศษชิ้นปลิวว่อนราวกับผีเสื้อขาวที่เต้นสะบัดบนท้องฟ้า

ร่างของเขาตอนนั้นเปล่าเปลือยไร้เสื้อผ้า ไม่มีสิ่งใดปกปิดเรือนกาย แม้แต่กางเกงขาสั้นของเขาก็ร่องแร่งขาดแหล่มิขาดแหล่

หลวงจีนอวิ๋นฉื้อเห็นฉินมู่ตวัดมาอีกหมัด และหมัดนี้สามารถทะลวงฝ่ากําแพงสร้างเสียงครั่นครื้นคํารามของสายฟ้าฟาด ทั้งยังมีประกายไฟฟ้าที่แล่นเปรี๊ยะปร๊ะมากับหมัด ทําให้มันดูราวกับอสุนีบาต เมื่อกําปั้นซัดพุ่งเข้ามา ก้อนหมอกขาวก็ระเบิดออกมาจากกําปั้นและแผ่ขยายไปทั่วทิศ

ฉิบหาย…

มีแค่ความคิดนี้ที่ทันได้คิด เมื่อเขาเอาหน้าไปรับหมัดฉินมู่ตรงๆ ดังที่คาดไว้ กางเกงขาสั้นที่ปกปิดช่วงล่างเขาก็พลันระเบิดกระจุยเป็นเศษผ้า แปรเปลี่ยนเป็นผีเสื้อที่โบยบินไปหมด ตอนนี้เขาเป็นหลวงจีนเปลือยโดยสมบูรณ์แบบ

หลวงจีนอวิ๋นฉื้อกระเด็นถอยหลังด้วยพละกําลังอันกร้าวแกร่งนั้นแต่ว่าพลังวัตรของเขาแข็งแกร่งพอที่จะทําให้ดันพลิกตัวกลางอากาศหันหน้าเข้ากําแพง

แผละ

เขาทาบด้านหน้ากระแทกใส่กําแพง เผยก้นเลี่ยนๆ ของเขาข้างหลัง

“โชคดีที่ข้าพลิกตัวทัน…” อวิ๋นฉื้อปลอบใจตนเองก่อนหมดสติไปอย่างปรีดา

ฉินมู่เขย่าเสื้อผ้าของเขา ไล่ผงคลีที่ติดตามตัว และในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงกล้าๆ กลัวๆ ดังมาจากข้างหลัง “พี่ฉิน…”

ฉินมู่หันกลับไปและพบว่าเว่ยหยงกําลังเดินมาจากท้ายซอย ด้วยตัวสั่นเทา เขาแบกกล่องกระบี่มาด้วยขณะที่ขาก็สั่นเทิ้มไปมา

“พี่เว่ย มีอะไรรึ” ฉินมู่พิศวง

เว่ยหยงเปิดกล่องกระบี่แล้วกล่าวด้วยเสียงเจือสะอื้น “พี่นั้นต่อต้านกระแสส่วนใหญ่ ดังนั้นข้าจึงได้แต่ผดุงธรรมแทนสวรรค์ และแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับพี่ เพื่อให้พี่ได้รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินตํ่า…”

ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้ “พี่เว่ย เจ้าหมายจะแลกเปลี่ยน กระบวนท่ากับข้า? มันเป็นเรื่องปกติที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องจะประลองฝีมือแลกเปลี่ยนวิชากัน นับประสาอะไรกับพวกเราที่เป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกันมา? เอาอย่างนี้ไหม เราสองคนระมัดระวังอย่าให้รุนแรงเกินไปนัก”

ตอนนั้นเว่ยหยงถึงค่อยคลายใจ ด้วยกระบี่ของเขาที่โบยบินออกมาจากกล่องกระบี่ เขาสงบใจแล้วกล่าว “พี่ฉินแค่อย่าอัดข้าจนน่วมเหมือนหลวงจีนนั่นก็พอ”

กระบี่ของเขามันหมุนเกลียวด้วยเขาช่วงใช้ท่วงท่ากระบี่เกลียวที่ราชครูสันตินิรันดร์สั่งสอน ตั้งแต่เมื่อราชครูสันตินิรันดร์มาบรรยาย ก็มีบัณฑิตหลายต่อหลายคนที่ฝึกปรือท่วงท่ากระบี่ทั้ง 3 ท่วงท่านั้น เห็นได้ว่าเว่ยหยงเองก็มีความสําเร็จระดับหนึ่ง

บัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิมิใช่คนหัวทึบ และพวกเขาล้วนแต่สามารถเข้าใจอย่างน้อยก็แง่มุมอัศจรรย์แง่มุมหนึ่งของท่วงท่า เว่ยหยงนั้นถึงแม้จะอ้วนกลมไปหน่อย แต่ปฏิภาณความเข้าใจและพรสวรรค์ของเขาไม่ตํ่าต้อย ทั้งยังมีความเข้าใจอันลึกซึ้งต่อท่วงท่ากระบี่ทั้ง 3

เขามีรากฐานที่แข็งแกร่งลึกซึ้งของวิชาความรู้อันถ่ายทอดกันมาในตระกูล และความสามารถส่วนตัวของเขานั้นก็มิได้ยํ่าแย่ ไม่ด้อยไปกว่าฉินอวี้ ฉินมู่เองก็อยากรู้ว่าความสามารถของเว่ยหยงจะลึกลํ้าแค่ไหน เขาจึงมิได้โจมตีอย่างไร้ปรานีอย่างที่เขาประทานให้แก่ฉินอวี้ แต่ใช้ท่วงท่ากระบี่เกลียวมาปะทะสังสรรค์กับกระบี่เกลียวของเว่ยหยง

กระบี่ของทั้งคู่หมุนเกลียวรัดพันซึ่งกันและกันและต่างก็มีการแปรเปลี่ยนภายในของตนเอง เมื่อพวกเขาต่างก็ร่ายรําท่วงท่ากระบี่อันเพริศแพร้วนี้ด้วยการตีความความเข้าใจของตน เมื่อบัณฑิตคนอื่นๆ ที่อยู่ห่างออกไปเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็แทบลืมเลือนอาการบาดเจ็บฟกชํ้าของตนและจับจ้องมองท่วงท่ากระบี่ที่ปะทะสังสรรค์กันนั้นอย่างไม่วางตา

วิชากระบี่ของเว่ยหยงนั้นโดดเด่นอย่างยิ่ง ในเมื่อเขามาจากตระกูลเว่ยแห่งสุสานแม่นํ้า ก็มียอดฝีมือชั้นปรมาจารย์ในตระกูลเว่ยอันรับตําแหน่งขุนนางชั้นหนึ่งขั้นสูงในบัดนี้ซึ่งก็คือดยุคเว่ย

ดยุคเว่ยนั้นเป็นตัวตนระดับจ้าวลัทธิและมีความดีความชอบจากการศึกอย่างใหญ่หลวง เขานั้นเคยสยบหนึ่งประเทศได้ด้วยการศึกเพียงครั้งเดียว ทั้งประเทศซากสวรรค์นั้นถูกผนวกรวมเข้ากับจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ซึ่งทําให้เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นดยุค

เว่ยหยงนั้นมิได้มีศักดิ์ฐานะสูงส่งในตระกูลเว่ย หากแต่เขามานะพากเพียรมาตั้งแต่ยังเยาว์ วิชาที่สอนสั่งในตระกูลเว่ยนั้นลึกซึ้งผนวกกับพรสวรรค์ความสามารถของเขาที่โดดเด่นในระดับผู้เยาว์ของตระกูลเว่ย

ในตอนนั้นเอง ท่วงท่ากระบี่เกลียวเหมือนกันทั้งคู่ แต่กลับมีการเปลี่ยนแปรพิสดารมากกว่าปรากฏในกระบี่ฉินมู่ ไม่ใช่เพียงแค่แง่อัศจรรย์ของวิชากระบี่ แต่กลับมีแง่อัศจรรย์ของวิชาหมัดแฝงเข้าไปด้วย

เมื่อฉินมู่แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับเขา มันดูเหมือนศิษย์พี่ชี้แนะวิชาแก่ศิษย์น้อง ชี้ทางกระจ่างให้เห็นความลึกซึ้งของเพลงกระบี่นี้ เมื่อเว่ยหยงเข้าใจแง่มุมหนึ่งสําเร็จ ฉินมู่ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นแสดงแง่มุมอัศจรรย์อื่น

ไม่นานนัก พวกเขาก็แลกเปลี่ยนประมือกันครบ 3 กระบวนท่า และเว่ยหยงก็ระบายลมหายใจโล่งอก ความมั่นใจในตนเองของเขาพุ่งสูงปรี๊ด   จากนั้นจึงยิ้มกล่าว “พี่ฉิน พี่ใช้กําลังมาได้เต็มที่เลย ข้าอยากรู้ว่าข้ากับพี่จริงๆ แล้วห่างชั้นกันแค่ไหน!”

ฉินมู่ยิ้มนิดๆ จากนั้นพลันเปลี่ยนกระบวนท่า เพลงกระบี่ของเขาแทงออกไป เขาใช้กระบวนแสงตะวันเผาวิญญาณหยางโจมตีใส่เว่ยหยง และทําให้จิตของเว่ยหยงสั่นสะเทือนตั้งตัวไม่อยู่ และต้องรีบตั้งสติรวบรวมจิตให้มั่นใหม่

ฉินมู่พลิกมืออีกแล้วใช้มุทรามารมหาอิสระที่ทําให้วิญญาณของเว่ยหยงสูญเสียการป้องกันและถูกฟาดให้ล้มควํ่าไปด้วยกระบี่เดียว

ฉินมู่สลายปราณชีวิตของเขา จากนั้นพยุงร่างเขาลุกขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “พี่เว่ย ขออภัย”

เว่ยหยงลุกขึ้นและมองไปรอบๆ เขาเห็นบัณฑิตครึ่งหนึ่งในบัณฑิตนิเวศน์พ่ายแพ้ล้มเจ็บ ขณะที่อีกครึ่งขลาดเขลาไม่กล้าก้าวออกมา เขาจึงยิ้มแล้วกล่าว “เมื่อเทียบกับผู้อื่นแล้ว สถานการณ์ของข้าดีกว่ามาก จริงสิ ข้าได้ยินคนพูดกันว่าไหล่ซ้ายของพี่เป็นจุดอ่อนแต่ว่าทําไมพวกเขาก็รู้จุดอ่อนของพี่แล้วแต่กลับไม่สามารถทําอะไรพี่ได้เลย”

“รู้จุดอ่อนข้านั้นเรื่องหนึ่ง แต่จะทะลวงเข้าไปได้มั้ยนั่นเป็นอีกเรื่อง”

“หากว่าเป็นการต่อสู้ในวรยุทธ์ขั้นเดียวกันแล้ว คงจะมีแค่สองสามคนในทั้งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ อันรวมไปถึงครูผู้สอนทั้งหลายด้วย ที่จะสามารถหาโอกาสโจมตีจุดอ่อนข้าได้”

เว่ยหยงฟังแล้วพูดไม่ออก

ฉินมู่มองไปรอบๆ และพบว่าทั้งบัณฑิตนิเวศน์ตกอยู่ในสภาพพังยับเยินอีกครั้ง ภารโรงเหล่านั้นก็ส่งสายตาแค้นเคืองมายังเขารัว ๆ

เขารีบกล่าวขอโทษภารโรงเหล่านั้นแล้วกล่าว “พี่เว่ย ข้ายังต้องไปเรือนบันทึกสวรรค์ต่อ ศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงทั้งหลาย ข้าคงไม่ว่างอยู่เป็นเพื่อนท่านต่อ ลาก่อน”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็เดินจากไป

ตอนนี้ไม่มีใครในบัณฑิตนิเวศน์ที่กล้าขัดขวางเขาอีกต่อไป เยว่ชิงหงลุกขึ้นยืนจากซากปรักหักพังและมองตามแผ่นหลังของฉินมู่ พลางถอนใจแผ่วเบา “จากนี้ไปเขาก็คงเป็นพี่ใหญ่แห่งบัณฑิตนิเวศน์เรา…”

โครม

กําแพงหนึ่งพลันพังทลาย ทําให้ฝุ่นคลีฟุ้งตลบ ท่ามกลางฝุ่นผงนั้น หลวงจีนอวิ๋นฉื้อรีบตะกายออกมาจากซากกําแพงด้วยมือหนึ่งปิดข้างหน้ามือหนึ่งปิดข้างหลัง เขาวิ่งถลันกลับเข้าไปในเรือนพักอย่างเร็วรี่ มุดเข้าไปในห้องกลางแล้วกระแทกประตูปิดเสียงดังสนั่น

บัณฑิตหลายต่อหลายคนอยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้า

สักพักหนึ่งหลวงจีนอวิ๋นฉื้อก็ส่งเสียงออกมา “เอิ่ม ศิษย์พี่ทั้งหลายข้างนอก หลวงจีนยากจนผู้นี้ไม่มีเสื้อผ้าเหลืออีกแล้ว ชุดเดียวที่ข้าเคยมีก็ถูกจิ้งจอกเอาไป และนางไม่ยอมคืนให้ข้า ไม่ทราบว่าใครพอจะ มีเสื้อผ้าสํารองบริจาคให้หลวงจีนยากจนผู้นี้สักหน่อยไหม ข้าจะรํ่าไห้ด้วยความซาบซึ้งขอบคุณ”

เว่ยหยงแย้มยิ้ม “ศิษย์พี่อวิ๋น กรุณารอสักครู่ ข้ามีเสื้อผ้าสํารองอยู่หลายชุด แต่ว่ามันอาจจะใหญ่ไปหน่อย”

อวิ๋นฉื้อกล่าวตอบ “ไม่มีปัญหา เสื้อผ้าสําหรับหลวงจีนก็เป็นเพียงของนอกกาย”

คณบดีป้าซานเดินออกมาจากห้องของเว่ยหยงและคิดคํานวณในใจ “เฉินหว่านอวิ๋นก็นับเป็นหนึ่ง ศิษย์น้องฉินอีกหนึ่ง ฉินอวี้จากตระกูลฉินและเจ้าอ้วนน้อยนี่ก็ไม่เลว เยว่ชิงหงและอวิ๋นฉื้อต่างก็เป็นยอดฝีมือในทางของตนเอง ถ้าอย่างนี้ก็จะมีหกคนที่ถูกเลือกให้เป็นดุษฎีบัณฑิต ให้ข้าชี้แนะคนจํานวนเท่านี้ไม่น่าจะยากไปนัก แต่ว่านอกจากบัณฑิตนิเวศน์แล้วยังมีบัณฑิตในขั้นห้าธาตุที่อุทยานราชวงศ์ ข้าไม่อาจลําเอียงเลือกฝั่งนึงไม่เลือกอีกฝั่งได้ ดังนั้นข้าคงต้องแวะไปคัดเลือกบัณฑิตจากอุทยานราชวงศ์เช่นกันเพื่อมิให้จักรพรรดิหาเรื่องข้าได้”

ผู้ที่เขาเลือกมาสั่งสอนนั้นล้วนแต่เป็นบัณฑิตที่ยังมิได้ฝึกปรือถึงขั้นหกทิศ หากว่าพวกเขาฝึกปรือถึงขั้นหกทิศแล้ว ก็จะกลายเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะและเส้นทางของพวกเขาก็จะแน่นอนตายตัว ด้วยวิธีนั้น เขาจึงมิอาจช่วยชี้แนะให้พวกเขาเติบโตไปในทิศทางที่สอดคล้องกับความถนัดและพรสวรรค์ของแต่ละคนได้อีกต่อไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!