ตอนที่ 710
สวี่ชิงตื่นขึ้นมา
เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่กลางอากาศ ด้านบนขึ้นไปเป็นรอยฉีกขาดขนาดใหญ่ในท้องฟ้า ภาพที่เห็นนั้นน่าตกใจอย่างถึงที่สุด
ศิษย์สำนักเซี่ยเยาที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น ไม่ว่าพวกมันจะเป็นใคร ต่างก็มองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยจิตใจที่สั่นสะท้าน ในตอนนี้เขาได้กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งหมดไปแล้ว
แม้แต่ผู้ฝึกตนตัดวิญญาณของสำนัก ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในจิตใจ เป็นความหวาดกลัวที่ถูกประทับแน่นอย่างถาวรอยู่ในตอนนี้
ความเงียบที่ปกคลุมไปทั่วทั้งสำนักเซี่ยเยา ทันใดนั้นก็ถูกทำลายไปโดยเสียงเก่าแก่โบราณ ซึ่งดังก้องออกมาจากภูเขาอสูรโลหิตที่ตั้งอยู่ตรงกลางของสำนัก
เสียงนั้นแหบแห้งและเต็มไปด้วยความรู้สึกของกาลเวลาที่ผ่านมาอย่างมากมายนับไม่ถ้วน กระจายเต็มไปทั่วทั้งสำนักเซี่ยเยา และศิษย์ทั้งหมดต่างก็ได้ยินกันถ้วนทั่วทุกตัวคน
“เดิมทีเมิ่งฮ่าวเป็นนักศึกษา ถือกำเนิดขึ้นเมื่อสามร้อยปีก่อนในแคว้นจ้าว แห่งดินแดนด้านใต้…”
“ด้วยชะตาลิขิต ทำให้มันเริ่มเดินไปบนเส้นทางแห่งการฝึกตน มันมีพื้นฐานสมบูรณ์พร้อมกับเสาแห่งเต๋าสิบต้น และเป็นผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณที่น่ากลัว!”
เสียงนั้นแน่นอนว่าเป็นของปรมาจารย์อสูรโลหิต ขณะที่มันดังก้องออกมา ผู้ฝึกตนทั้งหมดของสำนักเซี่ยเยาต่างก็รับฟังด้วยความตั้งใจ เมื่อเอ่ยถึงแคว้นจ้าว สีหน้าหวังโหย่วฉายก็เต็มไปด้วยการหวนรำลึกถึงในอดีต นอกจากนี้แคว้นจ้าวก็เป็นบ้านเกิดของมันด้วยเช่นกัน
“หลังจากนั้น มันก็เดินทางไปยังดินแดนด้านใต้ ในงานคัดเลือกบุตรเขยของตระกูลซ่ง มันคือผู้ชนะในการแข่งขันนั้น แต่ก็ละทิ้งฐานะการเป็นบุตรเขยของตระกูลซ่งไป และเข้าสังกัดสำนักจื่อยิ่น!”
“ในสำนักจื่อยิ่น ทักษะการปรุงยาของมันบรรลุถึงระดับสูงสุด จนได้รับการแต่งตั้งเป็นเทพกระถางม่วง และเป็นที่รู้จักกันในนามว่า…ตานติ่งต้าซือ!” (เจ้าโอสถจอมกระถาง)
เมื่อคำพูดเหล่านี้ดังก้องออกไปในสำนักเซี่ยเยา ก็เป็นเรื่องยากที่จะตกอยู่ในความเงียบเช่นนั้น เสียงหอบหายใจได้ยินมา และเสียงพูดคุยมากมายก็ดังขึ้น อีกครั้งที่สายตาทุกคู่ได้เพ่งมองมายังเมิ่งฮ่าว ซึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศอย่างสงบนิ่ง
“เมิ่งฮ่าว…ตอนนี้ข้าจำได้แล้ว! เมิ่งฮ่าวเป็นตานติ่งต้าซือ แห่งสำนักจื่อยิ่น!”
“สวรรค์! เมื่อปีก่อนข้าไปร่วมงานประมูล เม็ดยาซึ่งมีสัญลักษณ์ของตานติ่งต้าซือ ถูกขายออกมาด้วยราคาที่สูงจนน่าตกใจยิ่ง!”
“มันนั่นเอง!! ตานติ่งต้าซือ!!”
“ข้าจำได้แล้ว! เมิ่งฮ่าวทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ในปีนั้น และมันก็หายตัวไปหลังจากนั้น!”
ตอนนี้ผู้คนต่างก็จ้องมองมายังเขา ด้วยความคลั่งไคล้มากขึ้นกว่าเดิม ก่อนหน้านี้พวกมันยอมรับพื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าว แต่ตอนนี้ประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขาได้ทำให้พวกมันสั่นสะท้าน เต็มไปด้วยการยอมรับอย่างน่าเหลือเชื่อ
หลี่ซือฉี มองไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างเงียบๆ ขณะที่ภาพทั้งหมดเมื่อในอดีตได้ลอยผ่านเข้าไปในจิตใจนาง
“ในขั้นพื้นฐานลมปราณ มันสามารถกำจัดสร้างแกนลมปราณ ในขั้นสร้างแกนลมปราณ มันสามารถสังหารวิญญาณแรกก่อตั้ง เหมือนที่พวกเจ้าทั้งหลายได้ยินเรื่องราวของเมิ่งฮ่าวเมื่อหลายปีมานี้ มันได้ออกไปจากดินแดนด้านใต้และเข้าไปในดินแดนสีดำ ในที่แห่งนั้นชื่อเสียงของมันได้พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันเข้าไปในทะเลทรายตะวันตก นำชนเผ่าของมันออกมาจากฝนม่วงแห่งวันสิ้นโลกด้วยตัวคนเดียว มันได้สังหารศัตรูไปมากมายจนนับไม่ถ้วน และนามของมันก็ทำให้ทะเลทรายตะวันตกสั่นสะเทือน!”
“จากนั้น มันก็จมลงไปใต้ก้นทะเลม่วง ซึ่งน้ำนั่นมีพลังกำจัดสิ่งมีชีวิตทั้งหมดไปได้ ใต้ก้นทะเลมันได้รับการรู้แจ้งแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ และบรรลุขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่วิญญาณแรกก่อตั้ง!”
เสียงของปรมาจารย์อสูรโลหิตเก่าแก่โบราณเหมือนเช่นเคย แต่เมื่อศิษย์ทั้งหมดได้ยินคำพูดของมัน ก็ทำให้เกิดเป็นคลื่นแห่งความตื่นตระหนกขนาดใหญ่ พวกมันจ้องไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความไม่อยากจะเชื่อ สำหรับพวกมัน ประสบการณ์ของเขาเหมือนกับเป็นเรื่องราวในตำนาน
แม้แต่ศิษย์ที่มีความรู้สึกเป็นศัตรูก่อนหน้านี้ของผู้เฒ่าตัดวิญญาณ ตอนนี้ก็จ้องมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความหวาดกลัวและคลั่งไคล้
“มันกระทำเรื่องราวมามากมาย!”
“เมื่อเทียบกับมัน ชีวิตของพวกเราช่างอ่อนแอและเรียบง่ายนัก! แน่นอนว่า พวกเราอาจจะสังหารผู้คนที่นี่บ้าง ที่นั่นบ้าง แต่เมื่อเทียบกับมัน…ประสบการณ์ของพวกเราไม่มีค่าแม้แต่จะเอ่ยถึง!”
เมิ่งฮ่าวไม่กล่าวอันใด เมื่อได้ยินปรมาจารย์อสูรโลหิตบอกเล่าประสบการณ์ของเขา ก็แทบจะคล้ายกับว่ากำลังรับฟังเรื่องราวของคนแปลกหน้า อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจที่ปรมาจารย์อสูรโลหิตรู้เรื่องราวของเขามากมายเช่นนี้
“เมื่อเมิ่งฮ่าวอยู่ในขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่วิญญาณแรกก่อตั้ง มันก็ได้ต่อสู้กับผู้ฝึกตนตัดวิญญาณครั้งแรก ในการทำศึกที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนสีดำ และทะเลทรายตะวันตก มันได้กวาดล้างชนเผ่าของคนผู้นั้นไปจนหมดสิ้น”
“สงครามครั้งนั้นเกิดขึ้นไม่นานนัก และไม่มีข่าวคราวแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง ก่อนที่มันจะเข้าไปในสำนักเซียนอสูรโบราณ!”
“สำหรับรายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่น ข้ายังไม่ชัดเจนเท่าใดนัก แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้ารู้ก็คือว่า…เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่แห่งนั้น อันเนื่องมาจากตัวมัน ไม่มีสิ่งใดที่ไม่น่าเหลือเชื่อ!”
“หลังจากที่ออกมาจากสำนักเซียนอสูรโบราณ เมิ่งฮ่าวก็เผชิญหน้ากับปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งค้นหาเต๋าขั้นสูงสุด เมิ่งฮ่าวกำจัดร่างจำแลงของมันไป และจากนั้นก็ถูกบังคับให้ไปยังทะเลเทียนเหอ หลังจากที่เผชิญหน้ากันหลายครั้ง พื้นฐานฝึกตนของมันก็ถูกขโมยไป และกลายเป็นคนธรรมดาไป!!”
เมื่อเล่ามาถึงจุดนี้ เสียงหอบหายใจก็ดังขึ้น ศิษย์ที่รับฟังอยู่แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่พวกมันได้ยิน เรื่องราวก่อนหน้านี้ทำให้พวกมันรู้สึกว่าประสบการณ์ของเมิ่งฮ่าวเป็นตำนาน แต่จากนั้นเรื่องราวเหล่านั้นก็ยิ่งน่าตกใจมากยิ่งขึ้น
“มัน…กลายเป็นคนธรรมดา?!”
“มันสูญเสียพื้นฐานฝึกตน? มันเป็นศัตรูกับผู้แข็งแกร่งค้นหาเต๋า? เจ้าสำนักน้อย…ช่างเป็นคนที่น่าเหลือเชื่อนัก!”
“มันสูญเสียพื้นฐานฝึกตน? แต่เมื่อมองไปที่มันในตอนนี้ ก็เห็นได้ชัดว่ามันช่างดุร้ายและกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง แล้วเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น?”
เสียงพูดคุยดังเต็มอยู่ในอากาศ สามผู้เฒ่าไฟอสูรต่างก็ประหลาดใจอย่างถึงที่สุด และผู้เฒ่าอสูรสวรรค์ลี้ลับก็จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน สำหรับชายชราหลังค่อมจากยอดเขาห้า ดวงตามันสาดประกายด้วยแสงแปลกๆ
หญิงสาวเยาว์วัยผู้น่ารักที่ข้างกายมัน รวมทั้งศิษย์คนอื่นๆ ต่างก็เพิ่งจะได้ยินเรื่องราวของเมิ่งฮ่าวเป็นครั้งแรก คนทั้งหมดต่างก็หอบหายใจออกมา ขณะที่มองขึ้นไปยังเมิ่งฮ่าวที่กำลังลอยตัวอยู่ในกลางอากาศอย่างสงบนิ่ง อย่างช้าๆ พวกมันเริ่มตระหนักว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับเขาที่ดูเหมือนจะ…โดดเดี่ยวอ้างว้าง
หวังโหย่วฉายกำลังจ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความงุนงง มันก็ตระหนักดีถึงเรื่องราวที่เหลือ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยรู้ในรายละเอียดทั้งหมดมากนัก
เมิ่งฮ่าวยังคงนิ่งเงียบต่อไป เขาไม่ได้ประหลาดใจนักว่า แม้แต่เรื่องที่เขาได้เผชิญหน้ากับปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังในทะเลเทียนเหอมันก็ยังรู้ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในสำนักชิงหลัวเป็นตัวบ่งบอกเรื่องราวทั้งหมด
เห็นได้ชัดว่า ปรมาจารย์อสูรโลหิตไม่ได้ปิดบังเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับเมิ่งฮ่าวไว้ มันเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้ออกมา
“หลังจากที่กลายเป็นคนธรรมดา เมิ่งฮ่าวก็เลือกที่จะไปยังถ้ำกำเนิดใหม่!”
“ที่นั่น คนรักของมันเลือกที่จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับมัน สุดท้ายมันก็ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ ทำการตัดวิญญาณครั้งที่สอง กลายเป็นผู้ที่อยู่ในอันดับหนึ่งรองลงมาจากค้นหาเต๋าเท่านั้น สำหรับคนรักของมัน นางถูกสำนักชิงหลัวจับตัวไว้!”
“เมิ่งฮ่าวบุกเดี่ยวสังหารไปตลอดเส้นทางภายในสำนัก มันสังหารศิษย์สำนักชิงหลัวไปนับหมื่นคน รวมทั้งผู้ฝึกตนตัดวิญญาณต่างๆ สุดท้าย มันก็ต่อสู้กับผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งในสำนักชิงหลัว, ปรมาจารย์หกเต๋า!”
“ข้าสอดมือเข้าไปในการต่อสู้นั้น จึงทำให้สำนักเซี่ยเยามีเจ้าสำนักน้อยคนใหม่, เมิ่งฮ่าว!”
“นี่ก็คือเรื่องราวของมัน ซึ่งพวกเจ้า…เลือกที่จะไม่ยอมรับ?” ขณะที่เสียงเก่าแก่โบราณที่ดังก้องขึ้นมาของปรมาจารย์อสูรโลหิตจางหายไป จิตใจของศิษย์ทั้งหมดต่างก็พลุ่งพล่านปั่นป่วนไปด้วยคลื่นแห่งความตกตะลึง
พวกมันรู้สึกสั่นสะท้านเมื่อได้ยินประสบการณ์เรื่องราวของเมิ่งฮ่าว เส้นทางอันน่าตกใจที่เขาได้เดินไป รวมทั้งพื้นฐานฝึกตนของเขา ทำให้พวกมันเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้อย่างรุนแรง
ในความประหลาดใจของพวกมัน ทำให้สามผู้เฒ่าไฟอสูร และผู้เฒ่าอสูรสวรรค์ลี้ลับ เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างแล้วในตอนนี้
สำหรับเจ็ดศิษย์ทายาทของผู้เฒ่าอสูรสวรรค์ลี้ลับ ที่อยู่บนยอดเขาสอง, บุรุษหนุ่มที่ถือพัดอยู่ในมือบนยอดเขาสี่ และหญิงสาวผู้น่ารักบนยอดเขาห้า สายตาพวกมันต่างก็จ้องมายังเมิ่งฮ่าวด้วยจิตใจที่หมุนคว้าง
ตอนนี้พวกมันเข้าใจได้อย่างชัดเจนถึงความแข็งแกร่งของเมิ่งฮ่าว และทำให้พวกมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไกลเกินกว่าที่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ จะสามารถบอกได้
สำหรับพวกมัน เมิ่งฮ่าวไม่เพียงแต่จะคู่ควรที่จะมาเป็นเจ้าสำนักน้อยเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว น้อยสำนักนักที่จะมีเจ้าสำนักน้อยเช่นนี้
บุคคลเช่นเขาจริงๆ แล้วน่าจะตั้งสำนักของตนเองขึ้นมา!
ทีละคน ทีละคน พวกมันทั้งหมดเริ่มประสานมือและโค้งตัวลงให้กับเมิ่งฮ่าว
“เจ้าสำนักน้อย พวกเราขอคารวะ!”
พื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวสามารถบดขยี้ใครก็ตาม ที่ปฏิเสธจะก้มศีรษะยอมจำนนให้กับเขา แต่เรื่องราวประสบการณ์ของเขาก็ทำให้จิตใจของใครก็ตามที่แอบไม่ยอมรับเขาต้องตกตะลึง คำพูดของปรมาจารย์อสูรโลหิตทำให้เมิ่งฮ่าวในตอนนี้มีค่าคู่ควรที่จะเป็น…เจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเซี่ยเยาอย่างแท้จริง!
เมิ่งฮ่าวไม่กล่าวอันใด เขาโบกสะบัดมือขวา ทำให้ไข่มุกสีดำขาวและขุนเขาที่เก้าหายไป ในเวลาเดียวกันนั้น แรกก่อตั้งศักดิ์สิทธิ์ของสองผู้เฒ่าอสูรโลหิตเหล็กก็ถูกปล่อยออกไป เมิ่งฮ่าวไม่ได้กำจัดพวกมันไปจริงๆ
แรกก่อตั้งศักดิ์สิทธิ์ของพวกมันสั่นสะท้าน จากตำแหน่งของพวกมันที่อยู่ภายในไข่มุกดำขาว พวกมันได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น และได้ยินคำพูดของปรมาจารย์อสูรโลหิตด้วยเช่นเดียวกัน ตอนนี้พวกมันไม่มีความคิดที่จะหาเรื่องเมิ่งฮ่าวแม้แต่น้อยนิด แต่กลับเป็นตรงกันข้าม พวกมันเต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ และเลียนแบบทุกคนด้วยการโค้งตัวลงให้กับเมิ่งฮ่าว
สายตาเมิ่งฮ่าวกวาดผ่านกลุ่มคนทั้งหมดไป จากนั้นก็หันร่างเดินจากไปยังที่ห่างไกลอย่างเงียบๆ เขาไม่ได้เลือกที่จะครอบครองหนึ่งในภูเขา ภายในบริเวณของห้ายอดเขา แต่เลือกที่จะครอบครองหุบเขาอันงดงามที่ด้านนอก
หุบเขานั้นไร้นาม แต่หลังจากที่เมิ่งฮ่าวครอบครองมัน ศิษย์สำนักเซี่ยเยาก็มองว่ามันเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์รองลงมาจากยอดเขาของปรมาจารย์อสูรโลหิตเท่านั้น
มีศิษย์มากมายยินดีที่จะคอยยืนเฝ้ายามอยู่ที่ด้านนอก ทำให้หุบเขานั้นกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สำคัญมากที่สุดในสำนักเซี่ยเยา
เนื่องจากเมิ่งฮ่าว ทำให้หวังโหย่วฉายเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นในสำนักเซี่ยเยา อันที่จริง ชายชราหลังค่อมจากยอดเขาห้า ได้ปรากฏกายขึ้นเพื่อรับมันเป็นศิษย์ผู้สืบทอดด้วยตนเองอีกด้วย
ด้วยผลลัพธ์เช่นนั้น หวังโหย่วฉายจึงกลายเป็นศิษย์ผู้สืบทอดแห่งยอดเขาห้า เป็นตำแหน่งที่สูงกว่าตำแหน่งใดๆ ที่มันเคยได้รับมาก่อน
สำหรับหุบเขาที่เมิ่งฮ่าวครอบครองอยู่ ศิษย์สำนักเซี่ยเยาได้แอบเรียกขานหุบเขานี้ว่า…เสี่ยวจงกู่ (หุบเขาเจ้าสำนักน้อย)
เจ้าสำนักน้อยชอบความเงียบสงบ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าจะเข้าไปในเสี่ยวจงกู่ ยกเว้นว่าจะถูกเรียกหาเท่านั้น
หลังจากเวลาแปดสิบเอ็ดวันผ่านไป ในวันที่แปดสิบเอ็ด เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ในกระท่อมไม้ภายในหุบเขา กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาตามสายลม และผืนหญ้าสีเขียวก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้น ราวกับเป็นดินแดนที่สงบสุขสมบูรณ์แบบ ซึ่งถูกซ่อนจากโลกภายนอกที่สับสนวุ่นวาย
มีหญิงสาวนอนอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว ดวงตานางหลับอยู่ เป็นหญิงสาวที่งดงามและกระจายกลิ่นอายของนางเซียนออกมา ผิวกายของนางผุดผ่องราวกับเป็นหยกขาวที่ไร้ตำหนิ
เมิ่งฮ่าวมองลงไปยังนาง และเฝ้ารอคอยด้วยความอดทนต่อไป
ประมาณยามพลบค่ำ ขนตาของนางก็สั่นไปมา ราวกับว่านางกำลังรวบรวมความแข็งแกร่งเพื่อจะตื่นขึ้นมา สักพักหลังจากนั้น นางก็ค่อยๆ…ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ
ตอนแรก ดวงตานางเต็มไปด้วยความสับสน ราวกับว่ามีความทรงจำมากมายนับไม่ถ้วน กำลังไหลเข้าไปในจิตใจ ขั้นตอนนี้ดำเนินต่อไปนานชั่วครู่ ก่อนจะในที่สุด ความงุนงงก็หายไปและกลายเป็นความแจ่มใส จากนั้นนางก็ตระหนักได้ว่ามีใครบางคนกำลังนั่งอยู่ข้างกายนาง มองมายังนางด้วยสายตาที่อบอุ่น…เมิ่งฮ่าวนั่นเอง
สวี่ชิงมองไปยังเมิ่งฮ่าว และยิ้มอย่างอบอุ่นออกมา เป็นรอยยิ้มที่งดงาม
นางลุกขึ้นมานั่งอย่างช้าๆ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปลูบไล้ที่ใบหน้าเมิ่งฮ่าว
“การที่ตื่นขึ้นมาได้ ทำให้รู้สึกดียิ่งนัก…”
เมิ่งฮ่าวมองกลับไปยังนางและยิ้มออกมาเช่นเดียวกัน แต่เป็นรอยยิ้มที่ ลึกๆ ลงไปนั้น ประกอบด้วยความเสียใจ เขารู้ว่าสิ่งที่เขาได้พบเห็นในตอนนี้ จะคงอยู่ได้ไม่เกินเก้าสิบเก้าปีเท่านั้น
“ข้าจะไม่ออกจากหุบเขานี้ไป ในอีกเก้าสิบเก้าปีนับจากนี้” สวี่ชิงกล่าว “ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน…จนกระทั่งเวลาแห่งการเกิดใหม่มาถึง”