Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 734

ตอนที่ 734

ร่างจริงที่สอง!

ปรมาจารย์อสูรโลหิตลืมตาขึ้น และจ้องมองไปยังทิศทางของหุบเขาเจ้าสำนักน้อย

ที่ด้านนอกในสำนักเซี่ยเยา คนทั้งหมดต่างก็ประหลาดใจ

“นั่นคือกลิ่นอายอะไรกัน?”

“ช่างสดชื่นนัก! รู้สึกดีจริงๆ!”

“ข้ารู้สึกว่าพื้นฐานฝึกตนได้ก้าวหน้าขึ้นไปเล็กน้อย…”

ย้อนกลับไปในหุบเขาเจ้าสำนักน้อย เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขาเริ่มประทับเวทผนึกลงไปบนวิญญาณเซียนแท้ ตามวิธีการที่ถูกกำหนดไว้ของเวทตัวอักษรดั้งเดิม ไม่ต้องใช้พลังมากนัก แต่ต้องกระทำอย่างนุ่มนวล นี่ไม่ใช่การหลอมรวมวิญญาณเข้ากับร่างกาย แต่จำเป็นต้องทำให้วิญญาณอยู่ภายในโดยที่ไม่ดิ้นรนหรือต่อต้าน

เมิ่งฮ่าววางเวทผนึกลงไปบนวิญญาณด้วยความระมัดระวัง และจากนั้นเขาก็วางวิญญาณเข้าไปในร่างจริงที่สองด้วยความมุ่งหวังและความระวังสูงสุด

ทันใดนั้น แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่างของร่างจริงที่สอง จากนั้นก็กลับเป็นสงบนิ่งเหมือนก่อนหน้านี้

“ภายในแปดสิบเอ็ดวัน ร่างจริงที่สองของข้าก็จะตื่นขึ้นมา!”

“การบ่มเพาะร่างจริงที่สองนี้มีอยู่สามขั้นตอน ขั้นตอนแรกคือแปดสิบเอ็ดวัน ขั้นที่สองก็แปดสิบเอ็ดเดือน ขั้นที่สามก็แปดสิบเอ็ดปี!”

“ท้ายที่สุดของแต่ละขั้น ร่างจริงที่สองนี้ก็จะยิ่งมีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้เวทแปลกๆ เช่นนี้ ในที่สุดเขาก็หลับตาลงและทำจิตใจให้เยือกเย็น จากนั้นก็โคจรหมุนเวียนพื้นฐานฝึกตน

ไม่กี่วันต่อมา เมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่ได้อ่อนแออีกต่อไป ถึงแม้ว่ายังคงไม่อาจจะฟื้นฟูสิ่งที่สูญเสียไปบางส่วนกลับคืนมาได้ แต่โดยส่วนรวมทั้งหมดแล้วก็ไม่ค่อยมีผลกระทบต่อเขาเท่าใดนัก

เมื่อเทียบกับสิ่งที่จะได้รับ การสูญเสียเช่นนี้ช่างคุ้มค่าอย่างแท้จริง

“สามเดือน!”

“อีกสามเดือน ร่างจริงที่สองรูปแบบแรกของข้าก็จะปรากฏขึ้น ข้าอยากรู้นักว่า…มันจะมีความแข็งแกร่งมากเท่าใด!” ดวงตาเขาสาดประกายด้วยความยืนกรานและความมุ่งหวัง เขาอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่า การรวมตัวกันของวิญญาณเซียนแท้และร่างจริงที่สองของเขา…จะออกมาในรูปแบบใด!

“และตอนนี้ก็ถึงเวลาสำหรับผนึกร่างวิเศษสวรรค์ชั้นเก้า!” เมิ่งฮ่าวคิด ดวงตาสาดประกายด้วยแสงเจิดจ้า ในโลกใต้ดินที่อยู่ด้านล่างทะเลสาบเต๋าโบราณ เขาได้สิ่งของเวทระดับตัดวิญญาณนับพันชิ้น ถึงแม้ว่าจะมีไม่ถึงหนึ่งหมื่นชิ้น แต่ก็ยังคงเพียงพอที่จะใช้ฝึกฝนผนึกร่างวิเศษสวรรค์ชั้นเก้า

“สิ่งของเวทตัดวิญญาณหมื่นชิ้น จะทำให้กายเนื้อข้าเหนียวแน่นอย่างน่าเหลือเชื่อ และจะช่วยให้ข้าสามารถทะลวงผ่านจากระดับตัดวิญญาณเข้าไปสู่ค้นหาเต๋า!” ด้วยเช่นนั้น เขาก็เปิดถุงสมบัติและหยิบเอากระบี่ออกมา วางลงไปบนแขน และจากนั้นผนึกร่างวิเศษสวรรค์ชั้นเก้าก็ปรากฏขึ้นในจิตใจ หลังจากที่เวลาชั่วธูปไหม้หมดหนึ่งดอกผ่านไป สิ่งที่คล้ายกับเป็นเปลวไฟก็ปรากฏขึ้นในดวงตา

เปลวไฟนั้นมีทั้งหมดเก้าชั้น ปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน และจากนั้นก็ลอยออกมาจากดวงตาของเมิ่งฮ่าว ไม่สามารถจะมองเห็นได้ แต่เมื่อเปลวไฟนั้นแตะสัมผัสไปโดนกระบี่ที่อยู่บนแขน กระบี่เล่มนั้นได้ละลายไป จากนั้นก็หลอมรวมเข้าไปในร่างเขาเพียงชั่วพริบตา

เมื่อกระบี่หลอมรวมเข้าไปในร่าง เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอันรุนแรง เขาเริ่มสั่นไปทั้งร่าง ถึงแม้ว่าจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อควบคุมมัน แต่เมื่อกระบี่ได้ดูดซับเข้าไปในร่างโดยสมบูรณ์ ร่างกายเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ความเจ็บปวดนี้ทำให้เขาต้องรำลึกไปถึงความรู้สึก ในตอนที่พื้นฐานเต๋าถูกดึงออกไป

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และกำหมัดที่มือข้างขวาจนแน่น เสียงปะทุได้ยินออกมา และอากาศรอบๆ กำปั้นก็บิดเบี้ยวไปมา

“ข้ามีความแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยจริงๆ…” เขาคิด ความตื่นเต้นสาดประกายอยู่ในดวงตา มันเป็นความเจ็บปวด แต่ผนึกร่างวิเศษสวรรค์ชั้นเก้าก็ทำให้ร่างกายเขาแข็งแกร่งขึ้นมาจริงๆ และนั่นก็คือสิ่งที่เขาต้องการ

“อีกครั้ง!” เมิ่งฮ่าวคิด สีหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น สงครามใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว เขาจำเป็นต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก

เวลาผ่านไปอีก สองเดือนต่อมา สี่กองกำลังอันยิ่งใหญ่ในตอนนี้ก็พร้อมที่จะทำสงครามแล้ว ผู้ฝึกตนหนึ่งแสนห้าหมื่นคนบินออกมาจากสำนักอีเจี้ยน รวมทั้งผู้ฝึกตนตัดวิญญาณสิบคนและสองผู้แข็งแกร่งค้นหาเต๋า

หนึ่งในพวกมันไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเป็นกองหนุนเต๋าแห่งสำนักอีเจี้ยน เป็นชายชราขั้นสูงสุดค้นหาเต๋า ที่สวมใส่ชุดยาวสีเขียว ยากที่จะบอกได้ว่ามันมีชีวิตอยู่มานานเท่าใดแล้ว

อีกคนเป็นผู้พิสดารค้นหาเต๋าที่ดูธรรมดา ถึงแม้มันจะอยู่ในขั้นต้นค้นหาเต๋าเท่านั้น แต่ก็เป็นปรมาจารย์แห่งสำนักอีเจี้ยน

ขณะที่พวกมันบินออกมา กระบี่นับหมื่นเล่มก็ปรากฏขึ้นด้วยเช่นกัน ในกระบี่เหล่านั้นมีอยู่สิบเล่มที่มีความยาวประมาณหนึ่งพันจ้าง ที่น่าตกใจมากที่สุดก็คือกระบี่สีเงินที่ยาวหนึ่งหมื่นจ้าง

นอกจากนี้ ก็ยังมีของวิเศษอันล้ำค่าหลากหลายบินออกมาด้วย หมุนวนอยู่รอบๆ กระบี่ เรืองแสงออกมาจนดูเหมือนจะไร้จุดสิ้นสุด ขณะที่ผู้ฝึกตนมากมายนับไม่ถ้วนบินฝ่าอากาศไป

“กระบี่ มา!” ผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดค้นหาเต๋าในชุดสีเขียวร้องออกมา มันยื่นมือตรงไปยังกระบี่ศิลาขนาดใหญ่ ที่พุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าเหนือสำนักอีเจี้ยน กระบี่ศิลาเริ่มสั่นไปมา และจากนั้นรอยร้าวก็ปรากฏขึ้นที่พื้นผิวของมัน เผยให้เห็นกระบี่สีเขียวซึ่งทำจากไม้ไผ่!

ทันทีที่กระบี่ไม้ไผ่ปรากฏขึ้น สีหลากหลายก็เต้นไปมาอยู่ในท้องฟ้า สายลมส่งเสียงคำราม และสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่อันน่าตกใจ เมื่อผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดค้นหาเต๋าคว้าจับกระบี่ไว้ได้ มันก็ยังคงสั่นไปมาพร้อมกับเสียงหึ่งๆ อย่างต่อเนื่อง

“ท่านบรรพบุรุษได้ครอบครองของวิเศษชิ้นนี้มาจากในทะเลสาบเต๋าโบราณ” ชายชรากล่าวเสียงราบเรียบ “ตอนนี้ มันจะถูกใช้ในการต่อสู้เพื่อให้ได้วิญญาณเซียนแท้ ซึ่งมาจากทะเลสาบเต๋าโบราณด้วยเช่นกัน นี่ก็คือกรรม! เห็นได้ชัดว่าวิญญาณเซียนแท้มีความหมายต่อสำนักอีเจี้ยน!” ด้วยเช่นนั้น มันก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ และศิษย์สำนักอีเจี้ยนหนึ่งแสนห้าหมื่นคนก็มุ่งหน้าตรงไปยังสำนักเซี่ยเยา

ในเวลาเดียวกันนั้น เงาร่างในชุดเกราะมากมายนับไม่ถ้วนก็บินขึ้นไปในอากาศจากสำนักจินหาน นี่เป็นกองกำลังหนึ่งแสนคน พุ่งทะยานฝ่าอากาศไปด้วยกระสวยบิน ซึ่งถูกห้อมล้อมไว้ด้วยของวิเศษอันล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วน อย่างน่าตกใจยิ่ง คนกลุ่มใหญ่นี้เริ่มจัดเรียงเป็นค่ายกลเวท กลายเป็นหุ่นเชิดยักษ์ ที่สูงหนึ่งหมื่นจ้าง

หุ่นเชิดยักษ์นั้นมีรูปร่างน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง และกระจายกลิ่นอายอันน่ากลัวอย่างที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้ ผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดค้นหาเต๋าแห่งสำนักจินหาน เป็นชายชราผมแดง ไปปรากฏตัวอยู่ที่ศีรษะของหุ่นเชิด นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ดวงตาสาดประกายอันดุร้ายออกมา

ชายชราผมแดงผู้นี้เป็นผู้แข็งแกร่งค้นหาเต๋าเพียงคนเดียวแห่งสำนักจินหาน เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่อาจจะเทียบได้กับสำนักอีเจี้ยน จึงสมเหตุสมผลที่สำนักอีเจี้ยนจะถูกมองว่าเป็นสำนักอันดับหนึ่งในดินแดนด้านใต้

อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสำนักจินหานจะอ่อนแอ เวทหุ่นเชิดของพวกมันเมื่อรวมเข้ากับพลังของผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่ ก็สามารถจะระเบิดพลังออกมาได้หลายชั้น

ขณะที่หุ่นเชิดของพวกมันเดินผ่านพื้นดินตรงไปยังสำนักเซี่ยเยา ก็ส่งเสียงคำรามออกมา จริงๆ แล้วก็เป็นเสียงคำรามที่รวมตัวกันของผู้ฝึกตนหนึ่งแสนคน

เฉินฝานแห่งสำนักอีเจี้ยน ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ เช่นเดียวกับหลี่ฟูกุ้ยแห่งสำนักจินหาน เจ้าอ้วนมีศักดิ์ฐานะที่พิเศษ ดังนั้นมันจึงมีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนี้ แต่เฉินฝานแตกต่างไป เนื่องจากการปฏิเสธนี้ มันจึงถูกลงโทษโดยการถูกจองจำอยู่ในห้องลงทัณฑ์ของสำนัก ที่ซึ่งมันจะถูกทรมานเป็นเวลาสามสิบปี

ขณะที่สำนักอีเจี้ยนและสำนักจินหานระดมกองกำลังของพวกมัน สำนักชิงหลัวก็มีความแข็งแกร่งอย่างเต็มที่ ปรมาจารย์หกเต๋าได้รอคอยวันนี้มานานแล้ว ทันทีที่มันได้รับข่าวสาร วิญญาณไร้ร่างมากมายนับไม่ถ้วน รวมทั้งศิษย์สำนักชิงหลัวก็บินออกไป

แต่ก็มองไม่เห็นหานเป้ย นางไม่อยู่ในวันที่เมิ่งฮ่าวมากวาดล้างสำนักชิงหลัวในครั้งแรกนั้นเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่า นางได้หายตัวไปหลังจากที่กลับมาจากสำนักเซียนอสูรโบราณ

สำหรับตระกูลหลี่ พวกมันก็บินออกไปในรูปแบบของค่ายกลเช่นเดียวกัน ที่ลอยอยู่เบื้องหน้าของพวกมันเป็นระฆังเงินขนาดใหญ่ ส่งเสียงดังเหง่งหง่างพร้อมกับแสงสีทองออกมา กระจายออกไปปกคลุมสมาชิกตระกูลหลี่ทั้งหมด และนำพาพวกมันฝ่าอากาศไปพร้อมกัน

ด้านบนสุดของระฆังเป็นผู้แข็งแกร่งมากที่สุดของตระกูลหลี่ ปรมาจารย์รุ่นที่สาม มันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า แวบแสงออกมา

สี่กองกำลังอันยิ่งใหญ่ ต่างก็เคลื่อนที่ออกไปในเวลาเดียวกัน มุ่งหน้าตรงไปยังสำนักเซี่ยเยา

ก่อนหน้านี้ สี่กองกำลังได้กระจายคำแถลงการณ์เพื่อประกาศสงครามไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้ เรียกระดมผู้ฝึกตนเร่ร่อนให้มาเข้าร่วมกับพวกมัน เพื่อลงโทษสำนักเซี่ยเยา สิ่งของเวทและเม็ดยาจำนวนมากมายถูกเสนอให้เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่มาเข้าร่วม!

คำแถลงการณ์นั้นได้บอกถึงการกระทำที่ชั่วร้ายของสำนักเซี่ยเยาเกือบหนึ่งพันรายการ ผู้ฝึกตนที่ได้อ่านรายการเหล่านั้นต่างก็รู้สึกมีโทสะขึ้นมาในทันที และรู้สึกว่าเส้นขนทั่วร่างของพวกมันลุกขึ้นตั้งชี้ชันด้วยความโกรธเกรี้ยว

อันที่จริง ถึงแม้ว่าคนทั้งหมดจะรู้ว่ารายการส่วนใหญ่เหล่านั้นเป็นคำโกหกหลอกลวงที่แต่งขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครพยายามจะตั้งคำถามขึ้นมามากนัก

นอกจากนี้ คำแถลงการณ์ที่พวกมันประกาศว่าเป็นความผิดที่ไม่สอดคล้องต่อสวรรค์ ต้องกำจัดสำนักเซี่ยเยาเพื่อชำระล้างดินแดนด้านใต้ ก็เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น

มีไม่กี่คนที่เชื่อว่าสำนักเซี่ยเยาจะสามารถรอดพ้นจากมหันตภัยครั้งนี้ได้ คนทั้งหมดรู้สึกว่าสำนักเซี่ยเยาคงถึงวาระที่ต้องถูกทำลายลงไปแล้ว มั่นใจว่าศิษย์สำนักเซี่ยเยาทั้งหมดคงต้องถูกกำจัดไปอย่างแน่นอน และใครก็ตามที่ถึงแม้จะหนีรอดไปได้ ก็จะถูกตามล่าและถูกสังหารไป ในที่สุดก็จะไม่มีสำนักเซี่ยเยาอยู่ในดินแดนด้านใต้อีกต่อไป

ดังนั้น ผู้ฝึกตนเร่ร่อนนับแสนต่างก็มีปฏิกิริยาขึ้นมา ในจิตใจพวกมันผลลัพธ์ของสงครามครั้งนี้ถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว และพวกมันก็สามารถใช้การล่มสลายของผู้ฝึกตนสำนักเซี่ยเยา มาเป็นสิ่งที่พวกมันจะได้ครอบครองสิ่งของที่จำเป็นในการฝึกฝนตนเองของพวกมัน

สงครามนี้เหมือนกับเป็นพายุขนาดใหญ่ที่กวาดออกไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้ ซึ่งเกิดขึ้นมาจากสี่กองกำลังอันยิ่งใหญ่และผู้ฝึกตนเร่ร่อน ที่รวมกันเป็นกองกำลังหกแสนถึงเจ็ดแสนผู้ฝึกตน

กลุ่มเมฆกลายเป็นสีดำ และพื้นดินก็เริ่มมืดสลัวดูเลือนลาง สงครามใหญ่…กำลังจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ในสำนักเซี่ยเยา ศิษย์ทั้งหมดเฝ้ารอคอยอย่างเงียบขรึม รังสีสังหารของพวกมันพุ่งขึ้นไปจนสูงลิ่ว พวกมันภูมิใจที่ได้เป็นศิษย์สำนักเซี่ยเยา ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับมหันตภัย ความศรัทธาเชื่อมั่นในสำนักของพวกมันก็ยังไม่ลดน้อยลงไป พวกมันจะ…ต่อสู้!

“สู้!!”

“อยู่หรือตายไปพร้อมกับสำนัก!”

“ท่านปรมาจารย์เป็นผู้แข็งแกร่งมากที่สุดในดินแดนด้านใต้! เจ้าสำนักน้อยเป็นอันดับหนึ่งในขั้นตัดวิญญาณ! ดังนั้นแล้วจะเป็นไรไปถ้าพวกเราจะสู้กับทุกสำนักในดินแดนด้านใต้!?”

“ถ้าพวกเราพ่ายแพ้ ก็ช่างมัน แต่ถ้าชนะ พวกเราก็จะกวาดล้างสี่กองกำลังไป และทำให้สำนักเซี่ยเยากลายเป็นสำนักเพียงหนึ่งเดียวในดินแดนด้านใต้!”

เสียงตะโกนและเสียงแผดร้องดังเต็มอยู่ในอากาศของสำนักเซี่ยเยา ไม่ว่าพวกมันจะอุทิศจิตวิญญาณให้กับสำนักเซี่ยเยาหรือไม่ แต่สงครามครั้งนี้…ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ พวกมันมีสองทางเลือกเท่านั้น ต่อสู้ หรือ ตายไป!

ไม่มีศิษย์คนใดคิดจะทรยศ หรือต้องการทำลายล้างสำนัก ผลลัพธ์ของการทรยศนั้นน่ากลัวยิ่ง ซึ่งได้ประทับลึกลงไปในจิตใจของศิษย์ทั้งหลายมานานแล้ว

เจ็ดวันต่อมา สำนักอีเจี้ยน, สำนักจินหาน, สำนักชิงหลัว และตระกูลหลี่ซึ่งพุ่งทะยานฝ่าอากาศมา ได้ปรากฏตัวขึ้นในอาณาเขตของสำนักเซี่ยเยา ห้อมล้อมไว้ทุกด้าน

มองเห็นกองกำลังทั้งสี่อยู่ทั่วทุกทิศทาง ปราณกระบี่ของสำนักอีเจี้ยนพุ่งขึ้นไป หุ่นเชิดของสำนักจินหานก็น่าประหลาดใจยิ่ง สำนักชิงหลัวก็น่ากลัวอย่างถึงที่สุด ตระกูลหลี่ถูกปกคลุมด้วยแสงสีทอง

อันที่จริง พวกมันควรจะมาถึงก่อนหน้านี้ แต่พวกมันก็ใช้เวลาเล็กน้อยในระหว่างการเดินทางมา เพื่อทำให้มั่นใจว่าพวกมันทั้งหมดจะมาถึงในเวลาเดียวกัน เพื่อจะได้รับชัยชนะในคราเดียว

พวกมันไม่ได้โจมตีในทันที แต่เริ่มจัดตั้งค่ายกลเวทเพื่อปิดกั้นไปรอบๆ สำนักเซี่ยเยา

พวกมันยังได้เริ่มจัดตั้งประตูเคลื่อนย้ายทางไกล ภายใต้จมูกของสำนักเซี่ยเยาไว้อีกด้วย ซึ่งช่วยให้ผู้ฝึกตนเร่ร่อนจำนวนมาก สามารถเคลื่อนย้ายทางไกลมาจากทั่วทุกที่ของดินแดนด้านใต้

ค่ายกลเวทที่ปิดล้อมและผนึกไว้โดยรอบ ได้ตรึงสำนักเซี่ยเยาไว้ ไม่มีใครจะสามารถหนีรอดจากไปได้

ท้องฟ้าที่ด้านบนดินแดนด้านใต้เต็มไปด้วยกลุ่มเมฆสีดำ เช่นเดียวกับจิตใจของศิษย์สำนักเซี่ยเยา

ค่ายกลเวททั้งหมดของสำนักเซี่ยเยาได้ถูกกระตุ้นให้เกิดการทำงานขึ้นมานานแล้ว แสงสีโลหิตหมุนวนอยู่ในอากาศไปทั่วทุกทิศทางรอบๆ สำนัก ถ้ามองมาจากที่ห่างไกล ก็จะดูคล้ายกับอสูรขนาดใหญ่

อสูรนี้เป็นภาพลวงตา แต่ร่างการของมันมีความสูงนับหมื่นจ้าง และตัวใหญ่กว่าภูเขา มันนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดิน สวมชุดเกราะสีดำ เส้นผมสีเขียวพริ้วไปมาในสายลม และมีหน้ากากสีทองปิดบังใบหน้าไว้

เป็นหน้ากากที่ไม่สมบูรณ์ ราวกับว่าถูกประกอบขึ้นมาจากหลายส่วน บนศีรษะของอสูรนี้เป็นเขาที่โค้งยาว รอบๆ เขามีสายฟ้าปะทุขึ้นมา

ผิวหนังของอสูรบางส่วนที่ไม่มีเกราะหุ้มอยู่เป็นสีแดงเข้ม คล้ายกับเป็นสีโลหิต ใครก็ตามที่มองมาก็จะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หวาดกลัวและเกรงขาม

นี่ก็คือค่ายกลเวทที่ทรงพลังมากที่สุดของสำนักเซี่ยเยา, ค่ายกลเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!