Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 733

ตอนที่ 733

ก่อนสงครามใหญ่ในดินแดนด้านใต้

ปรมาจารย์อสูรโลหิตมองไปยังเมิ่งฮ่าว ยิ้มออกมา จากนั้นก็จางหายไปในอากาศ เป็นร่างจำแลงอีกแล้ว…

เมิ่งฮ่าวหันหน้าไปมองยังภูเขาอสูรโลหิต และความรู้สึกอันอบอุ่นก็พุ่งขึ้นมาอยู่ในจิตใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกราวกับว่าสำนักเซี่ยเยานี้เป็นเหมือนบ้านของเขา

เสียงต้อนรับเจ้าสำนักน้อยดังอยู่รอบๆ บริเวณนั้น สวี่ชิงได้อุ่นสุรารออยู่ และนางก็รินใส่จอกจนเต็มในทันที คนทั้งสองมองตากันไปมาเป็นเวลานานก่อนที่จะพูดคุยกัน

สิบวันผ่านไปในชั่วพริบตา ตอนนี้เขาได้กลับมาอยู่ในหุบเขาเจ้าสำนักน้อย รู้สึกราวกับว่าได้แยกตัวออกมาจากโลกภายนอก เขามีสวี่ชิงอยู่เป็นเพื่อน ผ่านวันเวลาที่สวยงามทั้งตอนที่ตะวันขึ้น, ตะวันลับ หมุนเวียนเปลี่ยนไป

ปรมาจารย์อสูรโลหิตรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับเมิ่งฮ่าว เมื่อรู้ว่าเขาได้บรรลุถึงระดับสามของเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต มันก็ส่งไม้เท้ามาให้

ไม้เท้านั้นสร้างมาจากกระดูก และเป็นสีดำสนิท เมื่อถืออยู่ในมือ เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบราวน้ำแข็งที่แทรกซึมเข้าไปในร่างเขาเป็นระยะ นอกจากนี้แผ่นหยกผนึกอสูรในถุงสมบัติก็เริ่มส่องแสงออกมา ลอยออกมาจากถุงด้วยตัวมันเอง หมุนวนอยู่รอบๆ ไม้เท้ากระดูกนั้น

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ มันก็หลอมรวมเข้าไปในไม้เท้ากลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

ในเวลาเดียวกันนั้น สิ่งที่คล้ายกับความทรงจำได้ไหลท่วมอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าว พวกมันฟังดูคลุมเครือแทบจะเหมือนกับว่ากำลังกระซิบอยู่ หลายสิ่งที่เสียงนั้นพูดออกมาฟังไม่ชัดเจนและไม่อาจจะเข้าใจได้ แต่ก็มีอยู่หนึ่งประโยคที่ฟังได้อย่างแจ่มชัด

“เวทผนึกอสูรรุ่นเจ็ด ผนึกกรรม!”

ใช้ปราณอสูรเพื่อผนึกกรรม กำจัดห้าธาตุ และทำลายล้างสวรรค์ชั้นสูงสุด!

จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ผู้ผนึกอสูรมีวิชาเวทอยู่มากมาย แต่ถือได้ว่าเวทผนึกอสูรรุ่นแปดเป็นความสามารถหลักของพวกมัน แต่ละเวทถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้ผนึกอสูรรุ่นก่อน และทรงพลังอย่างน่าตกใจยิ่ง

อย่างไรก็ตามวิชาต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่ได้ถูกถ่ายทอดลงมาจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ส่วนใหญ่แล้วก็ได้หายสาบสูญไปมานานหลายปี ที่เมิ่งฮ่าวได้ครอบครองเวทรุ่นแปดก็เนื่องมาจากความบังเอิญเท่านั้น ตอนนี้ด้วยไม้เท้ากระดูกนี้ ทำให้เขาได้ครอบครองเวทของรุ่นเจ็ด!

เขาจมลงไปในการรู้แจ้งเกี่ยวกับกรรมของเวทรุ่นเจ็ดอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับกรรมอยู่เล็กน้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถฝึกฝนเวทรุ่นเจ็ดโดยไร้อุปสรรคใดๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นไปได้อย่างเชื่องช้าก็ตามที

ขณะที่เขาทำการฝึกตนอยู่นั้น ในส่วนอื่นของดินแดนด้านใต้ก็ตรงกันข้ามกับความสงบสุขในสำนักเซี่ยเยาโดยสิ้นเชิง ดินแดนด้านใต้กำลังเดือดพล่าน

สำนักอีเจี้ยนเตรียมพร้อมที่จะทำสงครามอย่างเต็มกำลัง ศิษย์มากมายนับไม่ถ้วนถูกเรียกมาจากทุกหนทุกแห่งในดินแดนด้านใต้ทั้งหมด และตอนนี้ทางสำนักก็คล้ายกับเป็นกระบี่ที่หลุดออกมาจากฝักพร้อมที่จะต่อสู้ได้ทุกเมื่อ

พวกมันยังได้นำของวิเศษอันล้ำค่าซึ่งสามารถผนึกโชคชะตาของทั้งสำนักออกมา หลังจากที่ทำการกลั่นสกัด ของวิเศษนั้นก็ลอยขึ้นไปอยู่กลางอากาศเหนือสำนัก ทำให้แสงหลากสีสาดประกายออกมา พร้อมกับพลังอันน่าเหลือเชื่อ

ใครก็ตามที่ได้เห็นภาพเหล่านี้ก็สามารถบอกได้ว่าสำนักอีเจี้ยน…กำลังจะเข้าสู่สมรภูมิรบแล้ว!

นอกจากสำนักอีเจี้ยนแล้ว สำนักจินหานก็เตรียมพร้อมที่จะทำสงครามด้วยเช่นเดียวกัน ค่ายกลเวทอันยิ่งใหญ่ทั้งสิบแปดค่ายต่างก็ถูกกระตุ้นให้เกิดการทำงานอย่างเต็มกำลัง เห็นได้ชัดว่าพวกมันได้กระตุ้นค่ายกลเพื่อที่จะปกป้องสำนักในการเตรียมตัวเข้าสู่สงคราม

ศิษย์สำนักจินหานต่างก็รู้สึกกังวลใจ พวกมันได้ยินข่าวคราวเล็กๆ น้อยๆ จากที่นี่บ้างที่นั่นบ้าง ซึ่งค่อยๆ นำมารวมเข้าด้วยกันอย่างช้าๆ จนเริ่มมองเห็นภาพที่ชัดเจนของสถานการณ์ในตอนนี้ได้ เจ้าอ้วนยิ่งรู้สึกกังวลใจมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีอะไรที่มันจะสามารถทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้

สำหรับสามตระกูลใหญ่ ตระกูลหวังล่มสลายไปแล้ว ตระกูลหลี่ในตอนนี้จึงโดดเด่นมากที่สุด รังสีสังหารของสมาชิกตระกูลหลี่พุ่งทะยานสูงขึ้นไป ขณะที่พวกมันเตรียมตัวเพื่อทำสงคราม

ในสำนักชิงหลัว ปรมาจารย์หกเต๋าไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย หลังจากที่ได้รับคำเชิญ มันรีบตอบรับยืนยันที่จะเข้าร่วมด้วยอย่างรวดเร็ว

ไม่กี่วันที่ผ่านมา พลังทั้งหมดของสำนักชิงหลัวได้มุ่งเน้นไปที่การระดมรวบรวมวิญญาณไร้ร่าง รวมทั้งกลุ่มกองหนุนเต๋าของพวกมัน หนึ่งร้อยเก้าสิบสามโลงไม้ถูกนำเข้ามา ทั้งหมดนี้จะถูกใช้ในการต่อสู้

ในเวลาเดียวกันนั้น เม็ดยา, ค่ายกลเวท และอาวุธเวทต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการสู้รบก็ถูกซื้อมาเป็นจำนวนมาก โดยสี่กองกำลังที่แข็งแกร่ง ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดเป็นข่าวลือคล้ายกับไฟลามทุ่งที่กระจายออกไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้

“กำลังจะเกิดสงครามขึ้น!”

“สำนักและตระกูลต่างๆ ไม่ได้ระดมกำลังกันเช่นนี้มานานแล้ว ข้าอยากรู้นักว่าพวกมันกำลังจะไปทำสงครามกับใคร!?”

“ต้องเป็นสำนักเซี่ยเยาอย่างแน่นอน!”

ผู้ฝึกตนแห่งดินแดนด้านใต้ต่างก็ตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์นี้ แต่ก็ยังมีผู้ฝึกตนเร่ร่อนบางคนมองเห็นโอกาส เมื่อสี่กองกำลังเริ่มรับสมัครผู้ฝึกตนเร่ร่อน ก็มีอยู่มากมายที่เข้าร่วมด้วยเนื่องจากผลประโยชน์ที่อาจจะได้รับ

สำนักจื่อยิ่นยังคงรักษาความเงียบสงบไว้ เนื่องจากความสัมพันธ์ของพวกมันและเมิ่งฮ่าว ทำให้สำนักนี้ไม่ได้เข้าร่วมกับกองกำลังทั้งสี่ แน่นอนว่า กองกำลังที่ยิ่งใหญ่ทั้งสี่เข้าใจเรื่องนี้ และไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับความร่วมมือใดๆ จากสำนักจื่อยิ่น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกมันจำเป็นต้องป้องกันก็คือ สำนักจื่อยิ่นอาจจะไปช่วยเหลือสำนักเซี่ยเยา

สำหรับตระกูลซ่ง สี่กองกำลังที่ยิ่งใหญ่รู้สึกสับสน เมื่อพบว่าตระกูลนี้ก็รักษาความสงบนิ่งไว้เช่นเดียวกัน และไม่ได้เข้าร่วมกับกองกำลังพวกมัน

เมื่อทั่วทั้งดินแดนจะเริ่มทำสงคราม ก็ไม่อาจจะกระทำการอย่างลับๆ ได้ การทำสงครามที่ดำเนินการอย่างถูกต้องจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวอย่างมากมาย การจัดเตรียมเช่นนั้นไม่อาจจะทำได้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว การเตรียมตัวเพื่อทำสงครามมักจะสร้างแรงกดดันที่มีอิทธิพลต่อคนทั้งหมด และอาจจะรุนแรงกว่าการเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ ซะอีก

ด้วยเช่นนั้น ทำให้ในสำนักเซี่ยเยา ที่เงียบสงบก็เริ่มเงียบขรึมมากขึ้นกว่าเดิม

จากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในโลกภายนอก ก็เห็นได้ชัดว่าสำนักอีเจี้ยน, สำนักจินหาน, สำนักชิงหลัว, ตระกูลหลี่ และผู้ฝึกตนเร่ร่อนจำนวนมากมาย กำลังเตรียมการเพื่อมาทำสงครมกับสำนักเซี่ยเยา!

ผู้ฝึกตนนับแสนกำลังจะมากวาดล้างพวกมันไป!

ด้วยแรงกดดันเช่นนั้นจากโลกด้านนอก ที่กดทับลงมาบนจิตใจของศิษย์สำนักเซี่ยเยา ทำให้พวกมันเริ่มโกรธแค้นมากขึ้น ที่มากไปกว่านั้นก็คือ รังสีสังหารเริ่มกระจายออกมาจากส่วนลึกในจิตใจพวกมัน

พวกมันเป็นศิษย์สำนักเซี่ยเยา และมีนิสัยที่คล้ายกับเป็นอสูร ยิ่งไปกว่านั้น นามของสำนักนี้ก็มีตัวอักษร ‘血’ (เซี่ย = โลหิต) อยู่ด้วย! แล้วพวกมันจะรู้สึกหวาดกลัวได้อย่างไร!?

แน่นอนว่า พวกมันก็เตรียมพร้อมสำหรับการทำสงครามด้วยเช่นเดียวกัน และชายชราหลังค่อมจากยอดเขาห้าก็ทำการจัดเตรียมเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด

ในหุบเขาเจ้าสำนักน้อย เมิ่งฮ่าวก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันนี้เช่นเดียวกัน เขารู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ เนื่องมาจากวิญญาณเซียนแท้ อันที่จริงเขาพยายามที่จะส่งมอบวิญญาณนี้ออกไป แต่ปรมาจารย์อสูรโลหิตก็ปฏิเสธอีกครั้ง

“สิ่งที่เป็นของเจ้าก็คือของของเจ้า ข้านำเจ้ามายังที่แห่งนี้เพื่อเป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเซี่ยเยา และข้าก็จะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง!”

“ถ้าข้ายอมให้ใครบางคนมาฉกฉวยสิ่งของที่เป็นของเจ้าไปได้ แล้วจะไปป้องกันไม่ให้พวกมันเอาสิ่งต่างๆ ไปจากศิษย์คนอื่นๆ ได้อย่างไร? สำนักเซี่ยเยาจะทนต่อความอัปยศเช่นนั้นได้อย่างไร?!”

“ข้าอาจจะแก่ชรา แต่ก็ยังคงจำเป็นต้องรักษาหน้าไว้! ถ้าพวกมันต้องการทำสงคราม พวกเราก็จะให้มันได้ทำสงคราม!”

เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินเช่นนี้ ดวงตาเขาก็เริ่มสาดประกายด้วยแสงแปลกๆ ค่อยๆ กลายเป็นความมุ่งมั่น ในตอนนี้เขาไม่สนใจว่าเขาได้เข้ามาอยู่ในสำนักเซียเยาได้อย่างไร สิ่งที่เขาสนใจก็คือว่าหลักการที่คงอยู่ในจิตใจ การที่สามารถเผชิญหน้ากับมโนธรรมได้อย่างไร้ความเสียใจใดๆ

การที่สำนักเซี่ยเยาปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบเพื่อตอบแทน

เมิ่งฮ่าวเลือกที่จะเข้าไปนั่งเข้าฌาณตามลำพัง ในตอนนี้ เขาหยุดการศึกษาเวทผนึกอสูรรุ่นเจ็ดไว้ก่อน และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับตัวอักษร ‘ดั้งเดิม’ จากวิชาเต๋าเดิมแท้เวทอสูรไฟมอดไหม้

เขารู้แจ้งเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับตัวอักษร ‘ดั้งเดิม’ แล้ว สิ่งที่เขาจำเป็นต้องกระทำในตอนนี้ก็คือสร้างร่างจริงร่างที่สองของตนเองขึ้นมา!

สำหรับการที่ร่างจริงร่างที่สองจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน แม้แต่เขาก็ยังไม่รู้ เขารู้แต่เพียงว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาจากเลือดเนื้อดั้งเดิมของตนเอง และคล้ายกับเป็นเปลือก ที่เขาจะใส่วิญญาณเข้าไปได้ สำหรับวิญญาณที่ต้องใช้ เมิ่งฮ่าวตัดสินใจที่จะใช้…วิญญาณเซียนแท้!

แต่สิ่งที่เมิ่งฮ่าวกังวลก็คือว่าถ้าเขาใช้มัน หลังจากนี้ท่านอาจารย์ตานกุ่ยก็ไม่อาจจะได้ประโยชน์จากมันได้ ดังนั้นเขาจึงไปปรึกษากับปรมาจารย์อสูรโลหิตเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากที่ปรมาจารย์อสูรโลหิตให้ความมั่นใจกับเขาว่า แผนการของเขาไม่มีอันตรายใดๆ เขาจึงตัดสินใจได้แน่วแน่

เมิ่งฮ่าวคาดหวังถึงพลังที่จะปลดปล่อยออกมา หลังจากที่เขารวมวิญญาณเซียนแท้เข้าไปในร่างจริงที่สองของเขา

“คนอื่นๆ สามารถฝึกฝนร่างจำแลง แต่วิชานี้จะสร้างเป็นร่างจริงขึ้นมา!” เขาคิดขณะที่นั่งลงขัดสมาธิอยู่ในกระท่อมไม้

“คนที่ฝึกฝนร่างจำแลง ก็เพียงแค่แยกวิญญาณบางส่วนของพวกมันออกมา และจากนั้นก็ใช้เป็นแก่นแท้ ใส่กลับเข้าไปในร่างจำแลงนั้น และนั้นก็คือเต๋าแห่งร่างจำแลง”

“การที่จะฝึกฝนร่างจริง ต้องใช้ทั้งชิ้นเนื้อและโลหิต หลังจากที่สร้างมันขึ้นมา ก็จะกลายเป็นสิ่งที่คล้ายกับปลอกที่มองไม่เห็น ซึ่งภายในจะเป็นกระบี่ที่ไร้ผู้ต่อต้าน

“การใช้วิญญาณเป็นพื้นฐาน จริงๆ แล้วก็แตกต่างเป็นอย่างมากกับการใช้ชิ้นเนื้อและโลหิต อาจจะดูเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง” หลังจากที่ได้รับความรู้แจ้งในตัวอักษร ‘ดั้งเดิม’ ดวงตาเขาก็ลืมขึ้นมาในทันที

ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็กรีดนิ้วที่มือข้างขวาจนเป็นแผล หลังจากที่หยดโลหิตห้าหยดลอยออกไป เขาก็ทำเช่นเดียวกันกับมือซ้าย ห้าหยดโลหิตลอยออกไปจากทั้งสองมือ

ต่อมาก็เป็นขาแต่ละข้าง, จากนั้นก็เป็นเท้า ซึ่งใช้โลหิตห้าหยดของแต่ละข้าง ในที่สุด แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านร่างกายเขาไป และจากนั้นสิบหยดโลหิตก็โผล่ออกมา

ทั้งหมดมีหยดโลหิตอยู่สี่สิบหยด กำลังลอยอยู่ที่เบื้องหน้าเขา ส่องแสงเจิดจ้าออกมา จากนั้นก็เริ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน ขณะที่เป็นเช่นนั้น ผิวหนังที่บนหน้าผากของเมิ่งฮ่าวก็ขาดออก และอีกหนึ่งหยดโลหิตก็โผล่ออกมาไปรวมเข้าด้วยกันกับหยดโลหิตก่อนหน้านี้ ในที่สุด เขาก็กัดปลายลิ้นเล็กน้อย พ่นปราณและโลหิตออกมาบางส่วน

สี่สิบสองหยดโลหิตกระจายแสงอันเจิดจ้าออกมา และหลอมรวมเข้าด้วยกัน ค่อยๆ ก่อตัวเป็นร่างของมนุษย์ขึ้นมาอย่างช้าๆ

ใบหน้าเมิ่งฮ่าวซีดขาว และร่างกายก็งองุ้มลงไปด้วยความอ่อนแอ อย่างไรก็ตาม ดวงตาเขาก็ยังคงมุ่งมั่นเหมือนเช่นเคย

“ร่างจริงนี้สร้างมาจากอะไร?” เมิ่งฮ่าวรำพึง

“โลหิตที่หมุนเวียนอยู่นั้นเป็นของข้า ผิวหนังก็ของข้า เส้นโลหิตก็ของข้า อวัยวะภายในก็ของข้า ทั้งหมดมาจากข้า และเป็นเหมือนกับร่างจริงดั้งเดิมของข้าทุกอย่าง”

“นี่คือ ร่างจริงที่สองของข้า!”

ประกายอันดุร้ายปรากฏขึ้นในดวงตา ขณะที่เมิ่งฮ่าวยกมือขึ้นและแทงเข้าไปในช่องท้อง เสียงแตกหักได้ยินมา แต่เขาก็กล้ำกลืนความเจ็บปวด ขณะที่ซี่โครงหนึ่งชิ้นแตกหักไป หลังจากที่ดึงมือออกมาจากร่าง เขาก็บดขยี้มันให้กลายเป็นผุยผง จากนั้นก็เป่าออกไปให้ลอยตรงไปยังกลุ่มโลหิตรูปร่างมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้า

ทันทีที่ผงกระดูกเข้าไปในร่างที่เบื้องหน้า เสียงกรอบแกรบก็ได้ยินมา ราวกับว่าโครงกระดูกกำลังก่อตัวอยู่ที่ด้านใน

เสิ่งฮ่าวสั่นไปทั้งร่างขณะที่ความเป็นนิรันดร์ได้ทำการรักษาร่างกายเขาอย่างรวดเร็ว แต่หยดโลหิตและซี่โครงก็หายไปตลอดกาล

“ร่างจริงที่สองนี้ก่อตัวขึ้นมาจากสิ่งที่เป็นเวทตัวอักษร ‘ดั้งเดิม’ ที่ดึงออกมาจากร่างกายข้าอย่างถาวร สิ่งที่ถูกนำออกไป ไม่อาจจะฟื้นคืนกลับมาได้…นี่เป็นพื้นฐานของความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ ช่างไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง!” เมิ่งฮ่าวพึมพำกับตัวเอง ตัดเส้นโลหิตจากภายในร่างเขาออกมาบางส่วน จากนั้นก็ใส่เข้าไปในร่างใหม่

ทันใดนั้น เส้นโลหิตก็ปรากฏขึ้นอยู่ในร่างนั้น

ต่อมาก็เป็นอวัยวะภายใน และส่วนอื่นๆ ที่สำคัญ ตอนนี้ที่ขาดไปเพียงอย่างเดียวก็คือวิญญาณ

เวลาเลื่อนผ่านไป ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้ว และร่างกายเขาก็อ่อนแอลงเป็นอย่างมาก แต่ที่เบื้องหน้าเขาในตอนนี้ก็เป็นบุคคลที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเขาทุกกระเบียดนิ้ว

คนผู้นั้นสวมใส่ชุดสีขาว และนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ราวกับเป็นหยกอันประณีต มีหน้าตาหล่อเหลา และกลิ่นอายนักศึกษาอันเข้มข้น ดูเหมือนกับเมิ่งฮ่าวในตอนที่เขาอายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปี

เมื่อมองไป เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกว่าเขากำลังมองไปยังร่างกายของตนเอง เขาแทบจะลืมไปว่านี่ก็คือร่างจริงที่สองของเขา แทบจะราวกับว่า…เป็นของวิเศษอันล้ำค่าที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์

“ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะใส่วิญญาณเซียนแท้เข้าไป!” ดวงตาเขาสาดประกายด้วยแสงแปลกๆ ขณะที่ตบไปยังถุงสมบัติ วิญญาณเซียนแท้ปรากฏขึ้น ตามมาด้วยประกายแสงที่อ่อนโยนและกลิ่นอายที่ลึกลับ

ทันทีที่วิญญาณปรากฏขึ้น ทั่วทั้งหุบเขาเจ้าสำนักน้อยก็เต็มไปด้วยปราณเซียน อันที่จริง ทั่วทั้งสำนักเซี่ยเยาทันใดนั้นก็กลายเป็นสิ่งที่คล้ายกับดินแดนสวรรค์แห่งชั้นเซียน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!