Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 807

ตอนที่ 807

วิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณ!

ดาวหนานเทียน ดินแดนตะวันออกอันกว้างใหญ่

ในท่ามกลางเทือกเขาที่ดูเหมือนจะไร้จุดสิ้นสุด เป็นบริเวณที่ถูกถือว่าเป็นเขตหวงห้ามของผู้ฝึกตนดินแดนตะวันออก แม้แต่ผู้ฝึกตนค้นหาเต๋าจะผ่านเข้าไปในบริเวณแห่งนั้น ก็ไม่เคยจะได้กลับออกมาอีกเลย จากตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาได้กล่าวไว้ว่า มีบางสิ่งบางอย่างอันน่ากลัวอยู่ด้านใน ซึ่งทำให้ผู้ที่เข้าไปสำรวจนับไม่ถ้วนต้องหยุดชะงักลง และทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปไกลมากกว่านั้น

ปรมาจารย์ตระกูลจี้เคยนำกลุ่มคนเข้าไปค้นหากรรมอยู่ภายในนั้นครั้งหนึ่ง แต่กองกำลังทั้งหมดก็ถูกกำจัดไปยกเว้นตัวปรมาจารย์เอง ซึ่งได้หลบหนีกลับมาเตือนตระกูลจี้แห่งดินแดนตะวันออก ไม่ให้เหยียบย่างเข้าไปในบริเวณนั้นอีก

อันที่จริง ปรมาจารย์ผู้นั้นยังคงอาศัยอยู่ในตระกูลจี้ มันก็คือเด็กหนุ่มที่อยู่ในอาณาจักรเซียนขั้นสูงสุด ที่เพิ่งจะสูญเสียแขนทั้งสองข้างไปเมื่อเร็วๆ นี้นั่นเอง!

มันไม่อาจจะฝ่าเข้าไปในส่วนลึกของเขตเทือกเขานั้นได้ เนื่องจากในระหว่างทางกองกำลังของมันถูกเวทป้องกันกำจัดไปโดยสิ้นเชิง สถานที่แห่งนั้นมีความลี้ลับที่เกี่ยวข้องกับดินแดนแห่งดาวหนานเทียน และด้วยเช่นนั้นปรมจารย์ตระกูลจี้จึงไม่ได้รายงานเรื่องเหล่านี้ไปยังผู้บังคับบัญชา มันรู้ว่า…สถานที่แห่งนั้นมีความลี้ลับมากมายเกินไป

มันไม่เคยจะพยายามเข้าไปในที่แห่งนั้นอีกเลย เท่าที่มันคิด มีทางเดียวเท่านั้นที่จะฝ่าเข้าไปได้คือ ใช้ของวิเศษอันทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อของตระกูล ถ้าไม่มีของวิเศษเช่นนั้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ของวิเศษอันทรงพลังของตระกูลเช่นนั้นมีจำนวนน้อย และยากที่จะนำมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาถึงศักด์ฐานะในตระกูลของมัน ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นผู้ดูแลกองกำลังบนดาวหนานเทียนนี้หรือไม่ ก็ยังคงไม่อาจจะได้ครอบครองของวิเศษเช่นนั้นได้ แท่นผนึกเซียนคือหนึ่งในของวิเศษเช่นนั้น แต่แท่นนี้มีจิตวิญญาณของตนเอง และไม่ใช่สิ่งที่มันจะสามารถนำมาใช้ได้ สำหรับของวิเศษอื่นๆ…ต่างก็ถูกนำไปมอบให้กับศิษย์ผู้ถูกเลือกของตระกูลเท่านั้น

ไม่มีใครเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าทำไมดาวหนานเทียนถึงได้พิเศษเช่นนี้ จริงๆ แล้วก็ไม่มีแม้แต่กองกำลังเดียวที่จะสามารถปกครองดาวดวงนี้ได้โดยสมบูรณ์ แม้แต่ด้วยศักดิ์ฐานะที่โดดเด่นของตระกูลจี้ ก็ได้แต่ดูแลรักษากองกำลังของตระกูลพวกมันเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดกับดาวตงเซิ่ง ซึ่งมีตระกูลฟางเป็นผู้ครอบครองไปถึงครึ่งดวงดาว และสามารถที่จะปกครองดาวทั้งดวงได้อย่างง่ายดายถ้าพวกมันต้องการ

ในดินแดนแห่งดาวหนานเทียน มีอาณาเขตหลักๆ อยู่สี่แห่ง แต่ละแห่งมีเวทแห่งเต๋าและหลักคำสอนเป็นของตนเอง ถ้ามีใครมาสืบค้นเรื่องราวเหล่านี้ ก็จะพบว่า…สำนักส่วนใหญ่บนดาวหนานเทียนแห่งนี้จริงๆ แล้วก็ไม่ได้อยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกเริ่ม ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสาขาย่อยของสำนักซึ่งอยู่ที่ดินแดนด้านนอกของดาวหนานเทียน

ราวกับว่ากองกำลังหลักส่วนใหญ่ ต้องการที่จะทิ้งเวทแห่งเต๋าและหลักคำสอนของพวกมันไว้ในที่แห่งนี้

ยิ่งไปกว่านั้น มันก็คือดินแดนแห่งดาวหนานเทียนที่บิดาเมิ่งฮ่าว ได้กลายมาเป็นผู้คุมนักโทษแห่งขุนเขาที่เก้า คำว่า ‘นักโทษ’ นี้ดูเหมือนจะมีคำอธิบายอยู่มากมาย…

แต่เมื่อเมิ่งฮ่าวสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ บิดาก็ได้บอกว่า คำว่า ‘นักโทษ’ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีความหมายปกติตามที่คนทั่วไปเข้าใจกัน!

ในส่วนของรายละเอียด ท่านไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ อีก สีหน้าท่านคลุมเครือราวกับรู้สึกว่า ความจริงของเรื่องนี้ช่างน่าเหลือเชื่อนัก จึงทำให้ท่านไม่อาจจะพูดออกมาได้

อย่างไรก็ตาม ดินแดนแห่งดาวหนานเทียน…ก็มีความพิเศษเฉพาะอย่างถึงที่สุด!

เมื่อเมิ่งฮ่าวเอาชนะทัณฑ์ทรมานปีที่เจ็ดได้ในที่แห่งนี้ และพันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูรก็ได้ส่งมอบมรดกของพวกมันไว้ในที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน ปรมาจารย์อสูรโลหิตก็มาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เมื่อสำนักเซียนอสูรโบราณถูกทำลายไป ที่ทำให้เมิ่งฮ่าวไม่อยากจะเชื่อมากไปกว่านั้นก็คือว่า…ยังมีอาณาจักรอันเกรียงไกรของมนุษย์, ต้าถัง อยู่ที่ดาวดวงนี้ด้วยเช่นกัน!

เมิ่งฮ่าวยิ่งมีความประหลาดใจเพิ่มมากขึ้น เมื่อครุ่นคิดไปถึงจักรพรรดิถัง

สิ่งหนึ่งที่เมิ่งฮ่าวรู้สึกงุนงงเป็นอย่างยิ่งก็คือ อาณาจักรที่อยู่ใต้ทะเลสาบเต๋าโบราณ ที่ซึ่งเขาได้เข้าร่วมการแข่งขันและได้ยินหัวหน้าของพวกมันพูดเกี่ยวกับสนธิสัญญาโบราณ และยังมี…ประสบการณ์อันน่ากลัวของชั้นสุดท้าย

แก่นแท้แห่งเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์!

ทั้งหมดนี้ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกค่อนข้างจะสับสนงุนงง ตอนนี้เขากำลังเดินไปตามคำแนะนำของเหรียญเต๋าเซียนโบราณ เข้ามาในที่แห่งนี้ลึกเข้าไปในเขตเทือกเขา เมื่อเขามองเห็นวิหารโบราณนั่น จิตใจก็ต้องเต้นรัว

นั่นเป็นเพราะว่า ทันใดนั้นเอง สายตาเขาก็พล่าเลือนไป และมองเห็นสถานที่ที่แทบไม่อยากจะเชื่อและแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

มันเป็นวิหารพิธีเต๋าอันโอ่อ่าโอฬาร ซึ่งดูเหมือนว่าจะกว้างใหญ่ยืดยาวออกไปอย่างไร้จุดสิ้นสุด ยอดเขา, ต้นไม้ใบหญ้า, ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวเขาหายไป ตอนนี้เขายืนอยู่บนจัตุรัสหลักที่ปูด้วยพื้นหินปูนสีเขียวของวิหารขนาดใหญ่โตนี้

เงาร่างมากมายนับไม่ถ้วนนั่งขัดสมาธิอยู่รอบๆ ตัวเขา แต่ละคนต่างก็แข็งแกร่งจนเมิ่งฮ่าวต้องอ้าปากค้างขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าพวกมันจะคล้ายกับเป็นเทพเซียนนับไม่ถ้วน กำลังมานั่งเข้าฌาณอยู่ที่นี่ บทเพลงแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ลอยไปมาอยู่รอบๆ ทั่วทุกทิศทาง ถ้ามีดวงตะวันและจันทราอยู่ในที่แห่งนี้ ก็คงต้องสั่นสะท้านอยู่ในท้องฟ้า ในสถานที่แห่งนี้ ตะวันและจันทราไม่อาจจะเปล่งแสงใดๆ ออกมาได้

ตรงจุดกึ่งกลางของวิหารพิธีเต๋าเป็นแท่นบูชา ที่ด้านบนมีชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่ มันมีรูปลักษณ์ที่คล้ายกับเป็นเซียนผู้วิเศษ มองเห็นรอยยิ้มน้อยๆ อยู่บนริมฝีปากของมัน ขณะที่กำลังเทศนาเกี่ยวกับเต๋า เสียงของมันอู้อี้และฟังไม่ชัดเจน ดูเหมือนว่ากำลังประสานหลอมรวมเข้าด้วยกันกับสวรรค์และปฐพี เมิ่งฮ่าวจับใจความไม่ได้ว่ามันกำลังพูดอะไรอยู่ แต่ก็มองเห็นได้ว่าผู้คนมากมายที่กำลังรับฟังคำเทศนาของมัน ดูเหมือนว่ากำลังจะได้รับความรู้แจ้ง

ในตอนนี้เองที่ชายชราชูมือขวาขึ้นไปในอากาศ โบกสะบัดไปมา…และทำให้ตัวอักษร ‘仙 (เซียน)’ ปรากฏขึ้น!

มันเป็นตัวอักษร ‘仙 (เซียน)’ สีฟ้า!

มันเป็นแค่ตัวอักษรธรรมดา แต่ก็ทำให้สีสันทั้งหมดในสวรรค์และปฐพีต้องจางหายไป ดวงตะวันและจันทรามืดสลัวเลือนลางลง สวรรค์และปฐพีดูเหมือนจะก้มกราบสักการะต่อมัน เช่นเดียวกับกลุ่มคนเหล่านั้น

เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ขณะที่มองไปยังโลกอันน่ากลัวที่อยู่รอบๆ ตัว หินปูนสีเขียวแต่ละแผ่นที่อยู่ใต้เท้า ดูเหมือนจะกระจายพลังอันยากจะอธิบายออกมาได้ เต็มไปด้วยปราณเซียน ความเข้มข้นของปราณเซียนนั้นเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้

เขามองเห็นด้วยอีกว่า ในวิหารพิธีเต๋านี้ยังมีเก้ากระถางขนาดใหญ่ยักษ์ กระจัดกระจายออกไปอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน กลุ่มควันสีเขียวลอยขึ้นมาจากในกระถางเหล่านั้น และมองเห็นโลกมากมายอยู่ภายในกลุ่มควัน ขณะที่มันลอยอ้อยอิ่งขึ้นไปในอากาศ

ที่ด้านบนขึ้นไปในท้องฟ้า…เต็มไปด้วยดวงดาว แม่น้ำแห่งดวงดาวลอยไปมา ตะวันและจันทราขึ้นและตก ที่ไม่อยากจะเชื่อมากไปกว่านั้นก็คือว่า มองเห็นเงาร่างเทพมากมายกำลังเหาะไปมาอยู่บนท้องฟ้า พวกมันยื่นมือออกไปดึงดวงดาวออกมาจากแม่น้ำแห่งดวงดาวเป็นระยะ! จากนั้นก็กลั่นสกัดดวงดาวเหล่านั้นด้วยมือภาพลวงตาขนาดใหญ่ เมื่อมือนั้นถูกเจ้าของดึงกลับไป ดวงดาวก็จะกลายเป็นของวิเศษที่ส่องประกายวาววับอยู่ในฝ่ามือของคนผู้นั้น!

ยังมีคนอื่นๆ อีก ที่กระทืบเท้าลงไปบนพื้น ทำให้รอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ไฟใต้พิภพพุ่งขึ้นมากลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับเป็นวิญญาณปฐพี ผู้ฝึกตนจะคว้าจับพวกมันไว้ และจากนั้นก็ใช้พวกมันไปฉุดลากรถศึก ซึ่งส่งเสียงแหลมเล็กแหวกฝ่าท้องฟ้าไป รถศึกแต่ละคันมีวิญญาณปฐพีอยู่นับพัน

บนท้องฟ้ามีบุรุษอยู่ผู้หนึ่งหัวเราะเป็นเสียงดังออกมา จากนั้นก็พูดออกมาสองสามคำ เสียงปะทุได้ยินมา ขณะที่ร่างมันขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา มันก็ใหญ่โตขึ้นมากจนไม่อาจจะมองเห็นได้ทั่วทั้งร่างของมัน มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถมองเห็นได้ก็คือ…นิ้วเท้าที่ดูเหมือนจะเต็มไปทั่วทั้งโลกแห่งนี้เท่าที่สายตาจะมองเห็นได้!

สำหรับร่างกายของมันจะใหญ่โตมโหฬารมากแค่ไหน แม้แต่การจินตนาการก็ยากที่จะคาดคิดได้

มันเหาะขึ้นไปและยื่นมือออกไปคว้าจับดวงดาวไว้!

กลั่นสกัดวิญญาณจากส่วนลึกของพื้นปฐพี!

พุ่งขึ้นไปกระทบไหล่จักรวาล!

ภาพที่เห็นทั้งหมดนี้หมุนวนอยู่ในดวงตาเมิ่งฮ่าว ในที่สุดก็หลอมรวมเข้าด้วยกันเป็น…วิหารที่ชำรุดทรุดโทรม

ประตูหลักของวิหารถูกปิดไว้ และพื้นดินก็อยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมโดยสิ้นเชิง กำแพงบางส่วนที่ด้านนอกวิหารพังทลายลงมา ทำให้ไม่จำเป็นต้องเดินผ่านประตูเข้าไป เนื่องจากมี ‘ทางเข้า’ อยู่รอบๆ บริเวณนั้น เมื่อมองผ่านช่องว่างเข้าไปก็จะเห็นห้องโถงอยู่ภายในวิหาร ซึ่งน่าจะมีรูปปั้นเทพที่เคยรุ่งโรจน์มาก่อนอยู่ที่นั่นมากมาย ตอนนี้รูปปั้นทั้งหมดต่างก็แตกกระจัดกระจายกันออกไป ความรุ่งโรจน์ในครั้งหนึ่งของพวกมัน ตอนนี้เหลือไว้แต่เพียงคำพูดยกย่องจากคนรุ่นหลัง และตำนานอันเป็นนิรันดร์ของพวกมัน ก็แหลกสลายกลายเป็นความว่างเปล่าไปนานแล้ว

มีตะเกียงน้ำมันสัมฤทธิ์อยู่หนึ่งดวง มีฝุ่นเกาะหนาเป็นชั้นๆ อยู่ซึ่งได้บอกเล่าเรื่องราวในสมัยโบราณของมัน น้ำมันถูกเผาไหม้อยู่ภายในตะเกียง กระจายเสียงปะทุออกมาเบาๆ แสงตะเกียงสาดส่องออกไปในทั่วทุกทิศทาง ทำให้มองเห็นเป็นภาพสะท้อนของเงาร่างอันเลือนลางอยู่มากมายจากภายใน

นอกจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบสงบโดยสิ้นเชิง

มองเห็นบ่อน้ำอยู่ในลานวิหาร ที่ด้านล่างบ่อเป็นสีดำสนิท บางทีอาจจะมีวิญญาณปีศาจซุกซ่อนอยู่ที่นั่น แต่ก็ยากที่จะบอกได้ อย่างไรก็ตามเพียงมองไปที่บ่อน้ำแค่แวบแรก ก็ทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัวจนตัวแข็งทื่อ ต่อจากบ่อน้ำเป็นระแนงไม้ไผ่ ซึ่งถูกปกคลุมด้วยต้นเถาวัลย์ที่เหี่ยวแห้ง จากที่มองไปก็จะเห็นได้ว่าเคยมีต้นองุ่นได้ปกคลุมไปทั่วทั้งระแนงไม้ไผ่นี้เมื่อนานหลายปี มาแล้ว เพื่อให้ร่มเงาเป็นสถานที่ที่เย็นสบายสำหรับผู้คนได้มาพักผ่อน

ด้านล่างของระแนงไม้ไผ่เป็นดอกไม้สีขาวที่เหี่ยวแห้ง ทำให้ไม่อาจจะรู้ว่ามันมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร

เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้เห็นในท่ามกลางความเงียบสงบนี้ จู่ๆ ก็ทำให้หนังศีรษะเขาต้องด้านชา ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าบิดาได้ชี้แนะให้เขามายังที่แห่งนี้ เขาก็คงจะหันหลังและออกไปจากที่แห่งนี้ให้ไกลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในทันที

จิตใจเมิ่งฮ่าวเต้นรัว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้สึกได้ถึงแรงกดดันใดๆ ก็ตาม แต่ก็พบว่ายากที่จะสูดลมหายใจเข้าไปได้ ถึงจะมองไม่เห็นอันตรายใดๆ แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอยู่ในจิตใจ

ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ช่างแปลกประหลาดอย่างแท้จริง!

ทำไมถึงได้มีวิหารอยู่ในเทือกเขาแห่งนี้? เห็นได้ชัดว่าวิหารนี้ไม่ได้สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อมของมัน ราวกับว่ามันได้ไหลมายังที่แห่งนี้จากสถานที่อันห่างไกล ในยุคสมัยโบราณที่ผ่านมานานแล้ว

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เตรียมใจที่จะต้องพบเจอกับสิ่งยุ่งยาก จากนั้นก็ก้าวเท้าตรงไป หลังจากที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ เป็นเสียงของหญิงสาวกำลังสะอึกสะอื้นอยู่ เป็นเสียงที่ทำให้เส้นผมของเมิ่งฮ่าวต้องลุกตั้งชี้ชัน ขณะที่เสียงนั้นลอยผ่านมา พื้นฐานฝึกตนของเขากระจายพลังออกไป และเขาก็หันหน้ามองกลับไปที่ด้านหลัง แต่ก็ไม่พบเห็นสิ่งแปลกปลอมใดๆ

ไม่มีแม้แต่สายลมที่จะโชยพัดมา…

หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ ดวงตาเขาก็แวบขึ้น และตบไปที่ถุงสมบัติ ทันใดนั้นเหรียญเต๋าเซียนโบราณก็ปรากฏขึ้นอยู่ในมือ เมิ่งฮ่าวไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเหรียญนี้หรือไม่ แต่ตอนนี้ สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้ดูหนาวเหน็บและน่ากลัวเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป

เขาเดินตรงไปอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งไปอยู่ที่เบื้องหน้าประตูใหญ่ ความแปลกๆ ของสถานที่แห่งนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าน่าจะดีกว่าถ้าไม่กระโดดผ่านกำแพงไป หรือไปค้นหาเส้นทางอื่นเพื่อจะเข้าไป วิธีที่ดีที่สุดก็คือเข้าไป…อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา

เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดชายแขนเสื้อ ผลักให้ประตูหลักของวิหารเปิดออก

จริงๆ แล้วเขาคิดว่าประตูคงจะเปิดออกได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ มันเปิดออกเป็นเสียงดัง เผยให้เห็นลานวิหาร ห้องโถงหลัก และบ่อน้ำนั่น

สายลมอันหนาวเย็นโชยพัดมา ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ามีบางสิ่งกำลังเดินผ่านเขาไป สีหน้าเมิ่งฮ่าวเปลี่ยนไป ขณะที่ความรู้สึกนั้นเริ่มรุนแรงมากขึ้น เขาโคจรหมุนเวียนปราณเซียนอยู่ภายในร่าง เพ่งสมาธิไปที่ดวงตาข้างขวา หลังจากที่กระพริบไปมาหลายครั้ง เขาก็มองไปรอบๆ

ไม่มีอะไรนอกจากซากปรักหักพัง

เมิ่งฮ่าวหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาเบาๆ

“เตีย ท่านให้ข้ามายังสถานที่ผีสางอันใด…?”

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็เดินเข้าไป วิหารทั้งหมดนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่โต เช่นเดียวกับลานวิหาร เมิ่งฮ่าวมองไปยังบ่อน้ำ และไม่ได้รู้สึกว่ามันมีอะไรที่แปลกไป เขาตรวจสอบดูระแนงไม้ไผ่ชั่วขณะ และกำลังจะเดินเข้าไปในลานวิหาร แต่ทันใดนั้นหนังศีรษะเขาก็สั่นไปมา เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักนิ่งและหันหน้ามองกลับไปที่ด้านหลังยังระแนงไม้ไผ่ หอบหายใจออกมา เขาเดินไปยังระแนงและมองไปยังดอกไม้เล็กๆ ที่เหี่ยวแห้งอยู่ด้านล่างมันโดยละเอียด จนอดไม่ได้ที่จะมีความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“นี่…นี่คือ…ดอกปี่อ้าน!” เมิ่งฮ่าวมีความคุ้นเคยกับดอกปี่อ้านเป็นอย่างมาก และต้องประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อพบว่า…ดอกไม้เล็กๆ นี้คือดอกปี่อ้าน!

อย่างไรก็ตาม ดอกปี่อ้านนี้…ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นแค่ดอกไม้ที่อยู่ในสวนของสถานที่แห่งนี้ ภาพที่เห็นนี้ทำให้เขาต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนักหน่วง สถานที่แห่งนี้…เต็มไปด้วยความลี้ลับอย่างแท้จริง

ตอนนี้ท้องฟ้ากำลังมืดลง ขณะที่ยามสนธยาได้มาถึง เมิ่งฮ่าวลังเลอยู่ชั่วครู่ขณะที่มองไปรอบๆ ยังรูปปั้นเทพที่แตกกระจัดกระจายอยู่ และมีฝุ่นปกคลุมไปทั่วทุกสรรพสิ่ง แม้แต่เสื่อสำหรับนั่งสวดมนต์ก็เห็นได้ชัดว่าเก่าคร่ำคร่าและชำรุด แต่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาก็คุกเข่าลงไปบนหนึ่งในเสื่อเหล่านั้น และเริ่มทำการสักการะหนึ่งในรูปปั้นที่แตกหัก

“ช่วยให้พรและปกป้องข้าด้วย, เทพเซียน ช่วยให้พรและปกป้องข้าด้วย, เทพเซียน…” หลังจากที่พึมพำด้วยความนอบน้อม เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกราวกับว่าบรรยากาศอันน่ากลัวที่อยู่รอบๆ ตัว เริ่มจางหายไปเล็กน้อยขึ้นอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าการสวดมนต์ของเขาได้ผล ขณะที่ลุกขึ้นมายืน สายลมก็พัดผ่านไป และแสงตะเกียงก็แวบขึ้น ฝุ่นละอองลอยขึ้นมาจากพื้น ทำให้ดวงตาเมิ่งฮ่าวหดเล็กลง ตอนนี้ฝุ่นละอองบางส่วนได้หายไป ทำให้สามารถมองเห็นว่าบนพื้น…มีตัวอักษรขนาดใหญ่ถูกแกะสลักไว้!

仙 (เซียน)!

มันเป็นตัวอักษรเดียวกับที่เขาได้เห็นในจินตนาการ ซึ่งได้ประสบมาเมื่อครู่นี้ เมื่อชายชราโบกสะบัดมือ

มันดูเหมือนกันโดยสิ้นเชิง!

เมื่อเขาเห็นตัวอักษร กลิ่นอายอันเก่าแก่โบราณและหยาบคายก็พุ่งมาปะทะใบหน้าเขา แทบจะราวกับว่ามีใครบางคนกำลังมากระซิบบางสิ่งต่อเขา แทบจะเหมือนกับเสียงที่มีใครบางคนมาเทศนาเกี่ยวกับเต๋า เสียงเก่าแก่โบราณนั้นดังก้องออกมาจากในสมัยโบราณ

อย่างไรก็ตาม เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกโล่งใจขึ้น เมื่อคิดไปถึงความโชคดีนี้ เขานั่งลงขัดสมาธิและหยิบเอาเหรียญเต๋าเซียนโบราณออกมา จากนั้นก็เพ่งสมาธิความสนใจไปที่ตัวอักษรนั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!