ตอนที่ 810
กฎสองข้อ!
ขณะที่กลุ่มคนจากตระกูลฟาง กำลังจะผ่านเข้ามาในดาวหนานเทียน เสียงอันราบเรียบก็ดังก้องออกมาจากด้านล่าง
“ตอนนี้เมื่อวิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณได้เปิดออก บนดาวหนานเทียนแห่งนี้มีกฎเกณฑ์อยู่สองข้อ หนึ่ง มีแต่ผู้ฝึกตนที่อยู่ในอาณาจักรวิญญาณเท่านั้น ถึงจะผ่านเข้ามาในดาวหนานเทียนนี้ได้ สอง ประตูแห่งดาวหนานเทียนจะเปิดออกเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทุกคนที่ต้องการจะเข้ามา ต้องรอคอยจนกว่าคนทั้งหมดจะมาถึงโดยพร้อมเพรียงกัน”
ขณะที่เสียงนั้นดังก้องเข้าไปในหูของสมาชิกตระกูลฟาง สีหน้าพวกมันก็เปลี่ยนไป
“นั่นคือท่านลุงฟางซิ่วเฟิง!”
“ท่านลุง พอจะยืดหยุ่นกฎได้สักเล็กน้อยหรือไม่? ท่านปรมาจารย์สั่งให้พวกเรามายังที่แห่งนี้เพื่อค้นหาโชควาสนา ท่านลุง โปรดช่วยให้พวกเราได้ครอบครองมัน!”
“เซียนไม่อาจจะผ่านเข้าไปได้? นั่นเป็นกฎที่ดีสำหรับคนอื่นๆ แต่พวกเราทั้งหมดมาจากตระกูลเดียวกัน! ขอได้โปรดให้พวกเราผ่านเข้าไปด้วย!”
เสียงอันราบเรียบดังก้องขึ้นมาอีกครั้งจากดินแดนแห่งดาวหนานเทียน “ข้าคือผู้คุมนักโทษแห่งขุนเขาที่เก้า และข้าคือผู้พิทักษ์แห่งดาวหนานเทียน ใครก็ตามที่ละเมิดกฎทั้งสองข้อนี้…จะต้องถูกสังหารไป”
รังสีสังหารพุ่งขึ้นมา ทำให้จิตใจของกลุ่มคนตระกูลฟางหมุนคว้าง มีอยู่หลายคนที่มีโทสะขึ้นมาอย่างแท้จริง หนึ่งในสมาชิกของตระกูลที่อยู่ในอาณาจักรเซียนขมวดคิ้ว จากนั้นก็พึ่งพาศักดิ์ฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ของมันในตระกูล บินตรงมายังดาวหนานเทียนในทันที
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มันจะสามารถเข้ามาใกล้ได้ ลำแสงปราณกระบี่ก็พุ่งขึ้นมา และกรีดเฉือนตรงมาที่มันราวกับเป็นใบมีดอันคมกริบที่ใช้ตัดหญ้า โลหิตพุ่งกระจายออกไปในทั่วทุกทิศทาง ดวงตามันเบิกกว้าง ขณะที่ร่างกายถูกเฉือนออกเป็นสองท่อน ไม่อาจจะมีโอกาสได้พูดอะไรออกมา ก่อนที่มันจะตายไป
ทันใดนั้น กลุ่มคนตระกูลฟางทั้งหมดต่างก็เงียบสนิท ดวงตาของฟางเซียงซาน, ฟางอวิ๋นอี้ และฟางตงหาน เบิกกว้าง สีหน้าพวกมันสลดลง
“ฟางซิ่วเฟิง เจ้าบอกว่าพวกเราที่เป็นผู้พิทักษ์เต๋า ไม่อาจจะเข้าไปในดาวหนานเทียนได้?” เสียงเก่าแก่โบราณดังก้องขึ้น เป็นเสียงของหญิงชราที่อยู่ตรงด้านหลังฟางเซียงซาน และดวงตานางสาดประกายเจิดจ้าขณะที่กล่าวขึ้นมา
“ไม่ว่าใครก็ตาม!”
“ถ้ากลุ่มคนรุ่นเยาว์เหล่านี้ประสบกับอุบัติเหตุบางอย่าง จะเกิดอะไรขึ้น?”
“พวกมันคือผู้ถูกเลือก และกล้ามายังที่แห่งนี้เพื่อต้องการครอบครองโชควาสนา พวกมันก็ควรเตรียมตัวที่จะตายไปแต่เนิ่นๆ! เป็นหรือตายถูกลิขิตไว้แล้วด้วยโชคชะตา!”
“แค่…แค่เพราะว่าบุตรชายเจ้าพิการ ก็ไม่ได้หมายความว่า เจ้าจะมาสร้างความยุ่งยากให้กับคนในตระกูลอื่นๆ ได้! ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร พวกมันก็เป็นรุ่นเยาว์ของเจ้า พวกมัน…”
“เจ้าลองพูดว่าบุตรชายข้าพิการอีกครั้ง!” เสียงของฟางซิ่วเฟิงเย็นชาขึ้นมาในทันที ทำให้หญิงชราสั่นสะท้าน เหงื่อขนาดเท่าลูกปัดเริ่มไหลลงมาจากหน้าผาก และนางก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก
ในตอนนี้เองที่มองเห็นยานบินพุ่งฝ่าความว่างเปล่าออกมาจากที่ห่างไกล บนตัวเรือมองเห็นผู้คนได้นับร้อย นี่คือตระกูลหลี่แห่งดาวเป่ยหลู (ขลุ่ยทิศเหนือ) ที่กำลังนั่งอยู่ที่ด้านหน้าเป็นหญิงสาวที่ไม่ธรรมดา ที่มีเครื่องหมายใบหลิวซึ่งกำลังเรืองแสงอยู่ที่หว่างคิ้ว
“นั่นคือหลี่หลิงเอ๋อร์!”
“พวกมันบอกว่านางคือเต้าหนี่ว์ (บุตรีแห่งเต๋า) ของตระกูหลี่ในรุ่นนี้! พื้นฐานฝึกตนของนางพิเศษไม่ธรรมดา ยังสูงกว่าค้นหาเต๋าขั้นสูงสุดอีกด้วย นางสามารถเผชิญหน้ากับทัณฑ์เซียนได้ทุกเมื่อ!”
ต่อมา เงาร่างอื่นก็ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เป็นบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่บนกระบี่บิน แสงกระบี่กระจายออกไปในทั่วทุกทิศทาง ขณะที่มันพุ่งตรงมา
สีหน้ามันสงบนิ่ง มีใบหน้าที่หล่อเหลา แทบจะมองไม่เห็นว่าบนหน้าผากของมันมีดวงตาที่สามอยู่ ขณะที่มันใกล้เข้ามา สมาชิกตระกูลฟางและตระกูลหลี่ไม่น้อยที่มองไป และดวงตาพวกมันก็แวบขึ้น
“นั่นคือจ้าวอีฝานแห่งสำนักกระบี่ไท่สิง ซึ่งเป็นหนึ่งในสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ ในทุกๆ รุ่น พวกมันจะส่งศิษย์ออกมายังโลกภายนอกเพียงแค่สองคนเท่านั้น!”
“มีข่าวลือว่า ครั้งหนึ่งมันเคยต่อสู้กับซ่งหลัวตานแห่งตระกูลซ่ง และเอาชนะไปได้!”
ขณะที่เสียงพูดคุยดังขึ้นมา เสียงแค่นอย่างเย็นชาก็ดังก้องขึ้น ทะเลแห่งเปลวไฟปรากฏขึ้นในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวในที่ห่างไกลออกไป ภายในเปลวไฟนั้นมองเห็นเงาร่างอยู่สิบกว่าสาย ที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำเป็นบุรุษหนุ่มในชุดสีแดง ที่กำลังเกาะอยู่บนไหล่มันเป็นอีกาเปลวไฟ มันมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ ดูเหมือนจะกระจายบรรยากาศแห่งผู้ยิ่งใหญ่ออกมา ขณะที่บินมา อากาศที่อยู่รอบๆ ตัวมันก็เริ่มบิดเบี้ยวไปมา
“จ้าวอีฝาน! ครั้งก่อนพวกเรายังต่อสู้กันไม่เสร็จสิ้น ทำไมถึงได้กระจายข่าวลือออกไปเช่นนั้น!?” บุรุษหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเป็นซ่งหลัวตานแห่งตระกูลซ่ง ขณะที่มันมองไปยังจ้าวอีฝาน ดวงตาก็สาดประกายด้วยความต้องการจะต่อสู้
ฟางตงหานแห่งตระกูลฟางก้าวเท้าออกไป พลังปราณของมันพุ่งขึ้นมา หลี่หลิงเอ๋อร์ เต้าหนี่ว์แห่งตระกูลหลี่ มองมาด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ใบหลิวที่อยู่ตรงหว่างคิ้วของนาง กระจายแสงที่คล้ายกับเป็นแสงจันทร์อย่างน่าประหลาดใจออกมา
ในตอนนี้เองที่เสียงกระหึ่มได้ยินมาจากที่ห่างไกลออกไป ขณะที่ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลอีกสองบานได้ปรากฏขึ้น ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ซึ่งอยู่ที่ด้านนอกดาวหนานเทียน ผู้คนสิบกว่าร่างปรากฏขึ้นอยู่ภายในประตูเคลื่อนย้ายทางไกลทั้งสองบาน หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นมองเห็นเป็นหญิงสาวคลุมหน้า นางมีรูปร่างที่อ่อนช้อยบอบบางและมีท่าทางที่สง่างาม กลิ่นอายแปลกๆ กระจายออกมาในทันทีที่นางปรากฏกายขึ้น
มีผู้คนไม่น้อยที่มองไปยังหญิงสาวที่คลุมหน้านางนี้
ในประตูเคลื่อนย้ายทางไกลอีกบาน มองเห็นบุรุษหนุ่มที่มีคิ้วคล้ายกระบี่และดวงตาที่คล้ายกับดวงดาว มันมีหน้าตาที่ธรรมดาแต่ดูท่าทางเย็นชา ขณะที่ก้าวเท้าตรงมา พลังของมันพุ่งขึ้นในแต่ละก้าวที่เดินไป แทบจะราวกับว่ามันต้องการจะกระจายแรงกดดันไปบนร่างของผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดต่างก็แค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา
“เยาหนี่ว์ (ภูติสาวหรือหญิงสาวที่งดงาม) จื่อเซียง แห่งสำนักเซียนอสูร!”
“นั่นคือ…เจ้านายน้อยหวังมู่แห่งตระกูลหวัง! กล่าวกันว่ามันได้รับพลังมาจากปรมาจารย์ตระกูลหวัง ทำให้สามารถจะบังคับให้วิญญาณกระบี่โบราณของตระกูลหวัง ต้องยอมสยบต่อมัน!”
ต่อมาประตูเคลื่อนย้ายทางไกลบานแล้วบานเล่าก็ได้ปรากฏขึ้น เสียงกระหึ่มได้ยินมาขณะที่กลุ่มคนจากห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์, สามนิกายหกสำนักได้ปรากฏขึ้น กองกำลังหลักทั้งหมดในตี้จิ่วซานไห่ (ขุนเขาทะเลที่เก้า) ต่างก็ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเหนือดาวหนานเทียน ระลอกคลื่นกระจายออกไปในทั่วทุกทิศทาง พลังที่ดูเหมือนจะสามารถสะกดข่มดาวทั้งดวงได้พุ่งขึ้นมา
เสียงร้องด้วยความประหลาดใจ ได้ยินออกมาจากทั่วทุกทิศทาง แต่ละกลุ่มต่างก็ประกอบไปด้วยผู้ถูกเลือก ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้า ดังนั้นเมื่อพวกมันปรากฏขึ้นในที่แห่งนี้ก็ทำให้เกิดเป็นความตื่นเต้นขึ้นโดยสิ้นเชิง
ในตอนนี้เองที่ทันใดนั้น ม้วนภาพวาดก็ลอยพริ้วผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ตรงมายังกลุ่มผู้ฝึกตนที่มาชุมนุมรวมกันอยู่ เป็นม้วนภาพที่มีความยาวถึงสามหมื่นจ้าง วาดเป็นภาพภูเขาขนาดใหญ่อย่างน่าตกใจโดยสิ้นเชิง
มีเงาร่างมากมายนับไม่ถ้วนนั่งขัดสมาธิอยู่บนภูเขาลูกนั้น หนึ่งในเงาร่างเหล่านั้นถูกห้อมล้อมด้วยใบมีดกรรมที่หมุนวนไปมา เมื่อมันลืมตาขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันมองไปก็เริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที
“ตระกูลจี้!!”
“ตระกูลจี้มาแล้ว! นั่นคือ…จี้ยิน!”
“ในปีที่สมาชิกของตระกูลจี้สามคน ได้ต่อสู้กันเพื่อตำแหน่งจี้จื่อ (บุตรแห่งจี้) จี้ยินพ่ายแพ้ แต่มันก็ยังคงถูกถือว่าเป็นผู้ถูกเลือก น้อยคนนักในรุ่นนี้ที่จะสามารถต่อสู้กับมันได้!”
คนทั้งหมดต่างก็สั่นสะท้านจากการปรากฏตัวขึ้นมาของตระกูลจี้ อย่างไรก็ตาม ในดวงตาของผู้ถูกเลือกแต่ละคน ต่างก็สาดประกายด้วยแสงแห่งความต้องการจะต่อสู้ด้วยอย่างเห็นได้ชัดเจน
ม้วนภาพวาดแวบขึ้นไม่สนใจผู้ฝึกตนทั้งหมด ขณะที่มันมุ่งหน้าตรงไปยังดาวหนานเทียน ก่อนที่มันจะบรรลุถึง ลำแสงปราณกระบี่ก็พุ่งตรงมา แต่จากนั้นชายชราก็ก้าวเท้าออกมาจากภายในม้วนภาพวาด มันโบกสะบัดมือปิดกั้นปราณกระบี่ แต่จากนั้นก็กระอักโลหิตออกมากองโต และโซเซลอยไปทางด้านหลังหนึ่งพันจ้าง มันมองขึ้นไปด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน
“ฟางซิ่วเฟิง นี่หมายความว่าอย่างไร!?”
เสียงของบิดาเมิ่งฮ่าวได้ยินออกมาจากดาวหนานเทียน “มีข้อห้ามอยู่สองข้อ ห้ามไม่ให้ผู้ที่อยู่เหนือกว่าอาณาจักรวิญญาณผ่านเข้ามา และห้ามผ่านเข้ามาก่อนเวลาที่กำหนด ผู้ฝ่าฝืนต้องถูกกำจัดไป”
สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไป “เจ้า…”
สีหน้าของผู้ฝึกตนจากกองกำลังอื่นๆ ต่างก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน และจากนั้นก็จ้องมองลงไปยังดาวหนานเทียน
“ฟางซิ่วเฟิง…ข้าได้ข่าวว่ามันได้รับเกียรติให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงสุดของผู้ถูกเลือกในตระกูลฟาง มันเป็นผู้แข็งแกร่งที่เพรียบพร้อม แม้แต่ปรมาจารย์ของสำนักต่างๆ ก็ต้องสั่นสะท้านอันเนื่องมาจากมัน!”
“แย่ยิ่งนัก เพื่อบุตรชายที่พิการ ทำให้มันยอมที่จะมาเป็นผู้พิทักษ์ดาวหนานเทียนเป็นเวลาหนึ่งแสนปี…โดยไม่อาจจะจากไปได้”
“ข้าก็ได้ยินเรื่องราวของมันด้วยเช่นกัน มันเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง คิดว่าบุตรพิการของมันคงตายไปนานแล้ว จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมมันถึงไม่พอใจต่อผู้ถูกเลือกเหล่านี้ทั้งหมด”
“ฮึ่ม! ถึงแม้ว่าบุตรพิการของมันยังไม่ได้ตายไป ก็ไม่มีทางที่บุตรชายมันจะสามารถเทียบได้กับผู้ถูกเลือกของสำนักเหล่านี้ทั้งหมด! แล้วทำไมฟางซิ่วเฟิงถึงไม่ยอมให้ผู้ฝึกตนอาณาจักรเซียนผ่านเข้าไป!?”
ขณะที่ความขัดแย้งเกิดขึ้นต่อไป มังกรทะเลก็ปรากฏขึ้น ลอยผ่านความว่างเปล่ามา ส่งเสียงแผดร้องคำราม และดวงดาวก็ดูเหมือนจะกลายเป็นทะเลไป ทุกคนมองไปยังหญิงสาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ด้านบนของมังกรทะเล เส้นผมที่ยาวของนางพริ้วไสวไปมาอยู่รอบๆ ร่าง
“นั่นคือฝานตงเอ๋อร์ จากอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า!”
“นั่นคือเสินหนี่ว์ (สตรีศักดิ์สิทธิ์) ฝานตงเอ๋อร์!”
“ไม่อยากจะเชื่อว่านางก็มาด้วย!” คนทั้งหมดมองไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟางเซียงซาน และหลี่หลิงเอ๋อร์
ดวงตาของฟางตงหานสาดประกายเจิดจ้า และสีหน้าของจ้าวอีฝานก็สดใสขึ้น ดวงตาของหวังมู่จากตระกูลหวัง ก็สาดประกายเจิดจ้าขึ้นด้วยเช่นกัน
ในตอนนี้เอง ที่ผู้ถูกเลือกจากขุนเขาทะเลที่เก้าทั้งหมดต่างก็มาอยู่ในที่แห่งนี้แล้ว!
เสียงของบิดาเมิ่งฮ่าวดังขึ้นมาอีกครั้ง ลอยขึ้นมาจากดาวหนานเทียน “วิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณได้เปิดออกแล้ว พวกเจ้าทั้งหมดสามารถผ่านเข้าไปได้”
ใครบางคนถามขึ้นมาในทันที “ถ้าพวกที่อยู่ในอาณาจักรเซียน ผนึกพื้นฐานฝึกตนของตัวเอง ให้มีขีดจำกัดอยู่ที่อาณาจักรวิญญาณ สามารถจะผ่านเข้าไปได้หรือไม่?”
บิดาเมิ่งฮ่าวเงียบไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่ากำลังขบคิดอยู่ จากนั้นก็กล่าวว่า “ถ้าเจ้าปิดผนึกตนเอง ก็สามารถจะผ่านเข้ามาได้ แต่ถ้าอยู่สูงเกินกว่าอาณาจักรวิญญาณ เจ้าก็จะถูกทำลายไปทั้งร่างกายและวิญญาณ!”
“ดี!” ถึงแม้ว่ากลุ่มต่างๆ จะไม่ค่อยพอใจนัก แต่นี่คือดาวหนานเทียนอันลี้ลับ และพวกมันก็ไม่กล้าที่จะไปตอแยฟางซิ่วเฟิงซึ่งอยู่ในฐานะผู้คุมนักโทษ ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่จะมายังดาวหนานเทียน ปรมาจารย์ทั้งหมดจากสำนักต่างๆ ของพวกมันก็ได้สั่งให้ระมัดระวังต่อเรื่องราวต่างๆ ทั้งหมด
ตอนนี้มีผู้คนนับพันกำลังบินตรงไปยังดาวหนานเทียน ผู้ที่อยู่ในอาณาจักรเซียนได้ปิดผนึกพื้นฐานฝึกตนของตัวเองไว้ ดังนั้นพวกมันจึงไปอยู่ในขั้นสูงสุดของอาณาจักรวิญญาณ พวกมันทั้งหมดรวมตัวกัน ก่อตัวเป็นกลุ่มลำแสงพุ่งตรงมา
ในวันนั้น ผู้ฝึกตนในดินแดนแห่งดาวหนานเทียน มองขึ้นไปเห็นดาวตกนับพันพุ่งผ่านท้องฟ้ามา พวกมันตกลงมาราวกับเป็นอุกกาบาต กระจายพลังอันน่าประหลาดใจออกมา จนทำให้จิตใจของผู้ฝึกตนแห่งดาวหนานเทียนทั้งหมดต้องสั่นสะท้าน
ทันใดนั้นสำนักต่างๆ มากมาย ออกคำสั่งให้ศิษย์ของพวกมันอยู่แต่ด้านใน ห้ามไม่ให้โผล่หน้าออกไป
ยังมีปรมาจารย์บางสำนัก ยังได้ออกมาจากการนั่งเข้าฌาณตามลำพังอีกด้วย ของวิเศษอันล้ำค่าภายในสำนักพวกมัน ได้กระจายแสงอันเจิดจ้าออกมา เห็นได้ชัดว่าเกิดจากปฏิกิริยาสะท้อนต่อคนแปลกหน้าบางคนที่ใกล้เข้ามา
ดินแดนแห่งดาวหนานเทียนสั่นสะท้าน แต่ผู้ที่มาใหม่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับดาวแห่งนี้ ก่อนที่จะมายังที่แห่งนี้ พวกมันถูกสั่งไว้อย่างเข้มงวดว่า ห้ามไม่ให้ไปรบกวนโดยไม่จำเป็น อันเนื่องมาจากความลี้ลับที่ยากจะหยั่งถึงของดาวหนานเทียน
ดังนั้นลำแสงนับพันที่แหวกฝ่าอากาศมาจนเป็นเสียงแหลมเล็ก ก็ไม่ได้เข้าไปใกล้สำนักใดๆ ในที่แห่งนี้ ต่างก็พึ่งพาคำพยากรณ์ของปรมาจารย์ในสำนัก พวกมันมุ่งหน้าตรงไปยังดินแดนตะวันออก
พวกมันพุ่งเข้าไปในเขตเทือกเขาลึกของดินแดนตะวันออกอันกว้างใหญ่ ตรงไปยังเทือกเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณ ในชั่วพริบตา ท้องฟ้าก็สั่นสะท้านพื้นดินสั่นสะเทือน แทบจะราวกับว่าฟ้าดินกำลังจะถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ ได้ทุกเมื่อ ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนสังเกตเห็นภาพอันน่าตื่นตกใจนี้
มีสำนักใหญ่ในดินแดนตะวันออกบางแห่ง ได้สรุปว่าอาจจะมีของวิเศษอันล้ำค่าบางอย่างปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำให้เกิดเป็นภาพอันทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อเช่นนั้นได้
อย่างไรก็ตามไม่มีใครโผล่ออกมา ขณะที่พวกมันมองออกไปจากภายในสำนัก ก็สามารถมองเห็นว่าเงาร่างอันน่ากลัวส่วนใหญ่นั้นต่างก็กระจายระลอกคลื่นขั้นค้นหาเต๋าออกมา แต่…ก็มีบางเงาร่างที่ใกล้เคียงกับการเป็นเซียนมากที่สุด และเห็นได้ชัดว่าพวกมันกำลังปกป้องคุ้มครองกลุ่มคนที่ยังเยาว์วัยอยู่
สำหรับคนหนุ่มสาวเหล่านั้น ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกราวกับว่าพวกมันเป็นเทพ ซึ่งในที่สุดพวกมันก็จะกลายเป็นเซียนที่น่านับถือพร้อมกับพลังอันยิ่งใหญ่ในไม่ช้า ทำให้คนทั้งหมดตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นสำนักแห่งดินแดนตะวันออกทั้งหมด ต่างก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“คนเหล่านี้ต้องเป็นผู้ถูกเลือกจากนอกดาวหนานเทียนอย่างแน่นอน ตระกูลจี้ไม่เพียงแต่จะไม่โผล่ออกมาเท่านั้น…พวกมันยังแค่ได้แต่มองไปอีกด้วย”
“ข้าอยากรู้นักว่าของวิเศษล้ำค่าอะไร ที่ปรากฏขึ้นมาดึงดูดความสนใจของผู้ถูกเลือกอันน่ากลัวเหล่านี้ตั้งมากมาย พวกมัน…ยังดูหนุ่มสาว และไม่ใช่เนื่องจากวิชาคงโฉมใดๆ แต่เป็นเพราะว่าพวกมันไม่ได้ฝึกตนมาเป็นเวลานานอย่างแท้จริง แต่ถึงกระนั้นพื้นฐานฝึกตนของพวกมันก็ช่างน่าเหลือเชื่อนัก…”