Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 847

ตอนที่ 847

พรสวรรค์, การฝึกตน, อายุ

กลุ่มฝูงชนซึ่งอยู่ในสถานที่ต่างๆ ของตี้จิ่วซานไห่ทั้งหมด กำลังมองไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนจอภาพกระแสน้ำวน แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่แห่งใดก็ตามที สายตาของพวกที่มุงดูอยู่ทั้งหมด ฉับพลันนั้นก็ต้องเบิกกว้างขึ้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

บนเส้นทางโบราณขั้นค้นหาเต๋า นามฟางมู่ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีตัวเลขปรากฏขึ้นมา ในชั่วพริบตาจู่ๆ ก็เป็นเลข 1,006!

ตัวเลขนี้ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ทันใดนั้นเหล่าฝูงชนไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะจดจำทั้งตัวเลขและนามฟางมู่ไว้ในใจ มันก็หายไปแล้ว

แสงที่ปกคลุมไปทั่วทั้งแท่นบูชาของเมิ่งฮ่าว ค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ เผยให้เห็นเมิ่งฮ่าวกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น

เขาคือคนแรก…

ที่ผ่านด่านนี้!!

“นั่น…นั่นเป็นไปไม่ได้!!”

“เกิดอะไรขึ้น? ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่นี้ ฟางมู่ไม่มีตัวเลขอยู่ที่ข้างนามมันเลยแม้แต่น้อย ซึ่งหมายความว่ามันยังไม่ได้สังหารศัตรูไปแม้แต่คนเดียว แค่ข้ากระพริบตา มันก็ผ่านด่านได้แล้ว?”

“ตัวเลขเพิ่งจะปรากฏขึ้นเมื่อครู่นี้ จากนั้นก็หายไป และฟางมู่ก็ผ่านด่านได้ เป็น…เป็นไปได้หรือไม่ว่า มันใช้การเคลื่อนไหวแค่ครั้งเดียว สังหารศัตรูทั้งหมดไป!?!?”

“สวรรค์! มันได้อันดับหนึ่งในด่านที่สองนี้ด้วย! เวลาผ่านไปแค่ไม่นานเอง ยังไม่ถึงหนึ่งร้อยอึดใจด้วยซ้ำ!!”

“มันได้อันดับหนึ่งในด่านแรก และตอนนี้ก็เป็นอันดับหนึ่งในด่านที่สอง!!” คนทั้งหมดที่อยู่ด้านนอกในตี้จิ่วซานไห่ ต่างก็ตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง เสียงร้องอุทานด้วยความประหลาดใจดังก้องออกมา จากทุกตำแหน่งที่มีผู้คนมองดูอยู่ และเสียงพูดคุยทันใดนั้นก็พุ่งขึ้นมา

ในดินแดนตะวันออกอันกว้างใหญ่ ฟางซิ่วเฟิงและเมิ่งลี่กำลังอ้าปากค้างมองไปยังจอภาพ แม้แต่พวกท่านก็ยังไม่รู้ว่าเมิ่งฮ่าวเพิ่งจะทำอะไรลงไป

ตานกุ่ยและฉู่อวี้เยียนกำลังมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเช่นเดียวกัน จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวบนจอภาพด้วยความงุนงง

กลุ่มฝูงชนที่ด้านนอกในตี้จิ่วซานไห่กำลังตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน

“ฟางมู่นั่น ต้องเป็นที่สนใจของคนทั้งหมดในการแข่งขันครั้งนี้อย่างแน่นอน!”

“มันแข็งแกร่งมากแค่ไหนกันแน่? มัน…มันสังหารศัตรูทั้งหมดด้วยการขยับตัวเคลื่อนไหวแค่ครั้งเดียวเท่านั้น!”

“ข้าอยากจะรู้ว่ามันทำได้อย่างไรกัน มันต้องน่าทึ่งอย่างแท้จริง!!”

ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ห่างออกไปไม่ไกลมากนักจากดาวตงเซิ่ง (ชัยชนะตะวันออก) เต่ายักษ์กำลังลอยตัวอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว นำพาทวีปทั้งหมดที่อยู่บนหลังมันไปด้วยกัน มันกำลังมองไปยังจอภาพของสามกระแสน้ำวน ที่อยู่ด้านล่างบนดาวตงเซิ่งด้วยความตกตะลึง

“บัดซบ ต้องเป็นมัน! ถึงแม้มันจะกลายเป็นเถ้าธุลี เหลาจู่ (ปรมาจารย์) ก็ยังคงจดจำเจ้าสารเลวน้อยนี้ได้!!”

“แต่…มันทำได้อย่างไร? ถึงได้อันดับหนึ่งในชั่วพริบตา!” เต่ายักษ์นี้แน่นอนว่าคือปรมาจารย์เอกะเทวะ

ในเวลาเดียวกันนั้น ตรงสถานที่อีกแห่งในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว มองเห็นร่างหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนศิลาขนาดใหญ่ เส้นผมมันยุ่งเหยิงเป็นกระเซิงขณะที่มองไปยังจอภาพบนกระแสน้ำวนทั้งสาม สีหน้ามันสงบนิ่ง แต่ดวงตาเต็มไปด้วยแสงอันเจิดจ้า

“ข้าจะคาดคิดได้อย่างไรว่าจะยังคงมีชีวิตอยู่…เมิ่งฮ่าว ดาวหนานเทียนเป็นแค่ชีวิตในครึ่งแรกของข้าเท่านั้น ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยให้ข้าเข้าใจได้มากขึ้น ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ข้าต้องหาทางตอบแทนเจ้าให้จงได้”

ขณะที่คนทั้งหมดในตี้จิ่วซานไห่สั่นสะท้าน ย้อนกลับไปในวิหารท่ามกลางหมู่ดาว ถูกปกคลุมด้วยความเงียบกริบ ปรมาจารย์จากสำนักและตระกูลต่างๆ แม้แต่ตัวแทนจากสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ ต่างก็มองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและประหลาดใจ

หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก หนึ่งในชายชราก็กระแอมไอแห้งๆ ออกมาและกล่าวว่า “ช่างขี้โกงนัก!!”

กลุ่มคนเหล่านี้เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง

“การที่มันได้รับชัยชนะจากวิธีการเช่นนั้น อาจจะถูกมองว่าเป็นการฉ้อโกง แต่ถึงกระนั้นก็ช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่ง!!”

“มันไม่ลังเลที่จะสังหารตัวเองไปพร้อมกับศัตรู! คือจุดสำคัญที่ทำให้มันได้รับชัยชนะ!”

“เมื่อเทียบกับฟางมู่แล้ว คนอื่นๆ ทั้งหมด ไม่อาจจะคิดได้ถึงกลยุทธ์ที่นอกคอกเช่นนี้ได้ วิธีการของมันช่างน่าประหลาดใจอย่างแท้จริง ทำการระเบิดตนเองไปด้วยความเด็ดเดี่ยว ถือได้ว่าเป็นความคิดที่แยบยลยิ่ง…มั่นใจได้เลยว่าฟางมู่ต้องเป็นคนแรกที่ตระหนักว่าด่านที่สองนี้คือโลกแห่งภาพลวงตา!”

“แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่มันก็ควรจะถูกตัดสิทธิ์! วิธีการฉ้อโกงเช่นนี้ถือว่าเป็นความอัปยศอย่างแท้จริง!”

“ท่านต้องการจะตัดสิทธิ์มัน เพื่อแอบไปรับมันเข้าสังกัดหรืออย่างไร? นั่นไม่ใช่การฉ้อโกง! ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ไม่อาจจะคิดวิธีการเช่นนี้ขึ้นมาได้ หรือบางทีก็ไม่อาจจะทำได้ ซึ่งถือว่าเป็นจุดอ่อนของพวกมัน แต่ฟางมู่ผู้นี้กลับสามารถผ่านด่านนี้ไปได้!”

ขณะที่เสียงพูดคุยถกเถียงกันยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องอยู่ภายในวิหาร หนึ่งในสามผู้อาวุโสจากสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ ซึ่งนั่งอยู่ที่ด้านหน้าสุดของกลุ่มคนทั้งหมด ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้นมา ทำให้วิหารเต็มไปด้วยแสงอันไร้ที่สิ้นสุด

“ฟางมู่ ผ่านด่าน!” มันพูดออกมาเพียงแค่สี่คำ แต่ก็ดังก้องออกไปจากวิหารผ่านเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และจากนั้นด้วยวิชาเวทที่พิเศษเฉพาะบางอย่าง ทำให้เสียงนั้นดังก้องออกไปทั่วทั้งเส้นทางโบราณ และดังเข้าไปในส่วนที่เหลือของตี้จิ่วซานไห่

ทันใดนั้น รายนามก็ปรากฏขึ้นมาในเส้นทางโบราณค้นหาเต๋า และอันดับหนึ่งก็คือฟางมู่ ด้านล่างลงมาทั้งหมดยังคงว่างเปล่า

ตี้จิ่วซานไห่เต็มไปด้วยเสียงหึ่งๆ ปรมาจารย์มากมายที่นั่งอยู่ในวิหาร หยิบเอาแผ่นหยกออกมาถ่ายทอดข้อความไปยังสำนักของแต่ละคน ออกคำสั่งให้พวกมันพยายามรับฟางมู่มาเข้าสังกัดให้จงได้

ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้นมา ตอนแรกดวงตาทั้งคู่ดูเหมือนจะว่างเปล่า แต่จากนั้นก็สาดประกายเจิดจ้าขึ้นอย่างรวดเร็ว สีหน้าสงบนิ่งขณะที่นั่งขัดสมาธิไม่ขยับตัวเคลื่อนไหวอยู่ที่นั่น

ด่านที่สองนี้เป็นภาพลวงตาทั้งหมด และสิ่งที่ถูกเรียกว่าความเสี่ยงสำหรับชีวิตของผู้เข้าร่วมการแข่งขันก็คือความผิดพลาด อย่างไรก็ตามเนื่องจากความโหดร้ายของด่านแรก ทำให้จิตใต้สำนึกของผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่นๆ คิดว่าด่านที่สองนี้ก็คงจะโหดร้ายเหมือนกับด่านแรก

ตอนนี้เวลาที่กำหนดไว้ได้ผ่านไปครึ่งทางแล้ว อย่างน่าตกใจยิ่ง หญิงสาวชุดสีน้ำเงินจากกลุ่มคนที่อยู่ในระยะสามพันก้าว ทันใดนั้นก็เริ่มมองเห็นได้จากภายในแสงที่ปกคลุมอยู่รอบๆ ตัว ดวงตานางสาดประกายด้วยความเชื่อมั่น ขณะที่มองออกไปยังรายนาม แต่ฉับพลันนั้นดวงตาก็ต้องเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ

“มันยังรวดเร็วกว่าข้าซะอีก ข้ามีเต๋าแห่งวิญญาณ ทำให้สามารถจะควบคุมหุ่นเชิดได้ แต่ฟางมู่มีความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งมากกว่า? มันคืออะไรกัน?!”

มีผู้คนเริ่มผ่านด่านที่สองต่อจากหญิงสาวชุดสีน้ำเงินมากขึ้น ไม่นานธูปก็ไหม้หมดไปหนึ่งดอก หนึ่งในสามของผู้เข้าร่วมแข่งขันไม่อาจจะผ่านด่านที่สองนี้ไปได้ สำหรับกลุ่มคนที่ผ่านมาได้ พวกมันได้ใช้วิธีการที่แตกต่างกันเพื่อกำจัดหุ่นเชิดและเซียนเทียมทั้งหมดไป เมื่อต้องจัดการกับเซียนแท้ ส่วนใหญ่แล้วพวกมันได้ใช้งูเหลือมทำลายเซียนแท้ไปในการระเบิดแค่ครั้งเดียว

ไม่มีใครใช้วิธีการเดียวกันกับเมิ่งฮ่าว

ขณะที่ผู้คนเริ่มโผล่ออกมาจากการฝ่าด่านที่สอง เมื่อพวกมันมองไปยังรายนาม ต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน

“ฟางมู่ได้อันดับหนึ่งในด่านแรก และตอนนี้มันยังได้อันดับหนึ่งในด่านที่สองอีกด้วย!”

“บัดซบ!!” บุรุษที่สวมหน้ากาก เป็นคนสุดท้ายที่โผล่ออกมาจากด่านที่สอง ใบหน้าหลังหน้ากากของมัน ดูน่าเกลียดอย่างถึงที่สุด ก่อนหน้านี้มันมีความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้า แต่ตอนนี้แทบจะไม่มีความคิดนั้นอยู่อีกเลย สำหรับชายชราที่มีพลังเปลี่ยนแปลงอายุ ใบหน้ามันดูซีดขาวด้วยเช่นกัน และกำลังขมวดคิ้วอยู่

ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่ดูโดดเด่นอยู่ในด่านแรก กลับทำได้ไม่ดีนักในด่านที่สองนี้

ในเวลาเดียวกันนั้น บนเส้นทางโบราณขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งและตัดวิญญาณ ด่านที่สองก็ได้ผลสรุปแล้วเช่นเดียวกัน เจ้าอ้วน, เฉินฝาน และหวังโหย่วฉาย ผ่านไปได้ทุกคน เฉินฝานทำได้น่าประหลาดใจมากที่สุด ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้อันดับหนึ่ง แต่ก็อยู่ในร้อยอันดับแรก ซึ่งถือได้ว่าค่อนข้างจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

สำหรับเจ้าอ้วนและหวังโหย่วฉาย คนทั้งสองอยู่ในกลุ่มหนึ่งพันอันดับ

หลี่ซือฉีอยู่อันดับท้าย แทบไม่อาจจะผ่านด่านที่สองนี้ไปได้

เพียงแค่สองด่านเท่านั้น แต่ผู้เข้าแข่งขันจำนวนมากจากก่อนหน้านี้ ได้ลดลงไปเกือบครึ่ง

แน่นอนว่าความสามารถของเมิ่งฮ่าว ได้ทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนอยู่ในตี้จิ่วซานไห่ และนามฟางมู่ในตอนนี้ ก็ฝังแน่นอยู่ภายในใจของคนทั้งหมด ผู้คนมากมายในตอนนี้กำลังเฝ้ารอดูด่านที่สาม ว่าเขาจะได้อันดับหนึ่งอีกหรือไม่!?

บนเส้นทางโบราณขั้นค้นหาเต๋า หลิงอวิ๋นจื่อจากอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า ยืนอยู่ที่นั่นด้วยรูปแบบของภาพลวงตา มองออกไปยังกลุ่มฝูงชน ครั้งนี้สายตามันได้มองไปยังเมิ่งฮ่าวนานขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

โดยไม่พูดอะไรออกมา มันโบกสะบัดมือ ทำให้คนทั้งหมดหายตัวไป เมื่อปรากฏร่างขึ้นมาใหม่ พวกมันก็ไปอยู่ในเส้นทางโบราณที่ไกลมากขึ้น พวกมันยังคงยืนอยู่บนแท่นบูชา แต่ตำแหน่งของทุกคนได้เปลี่ยนไปแล้วในตอนนี้ บางคนที่เคยอยู่แถวหน้า ตอนนี้ไปอยู่ที่ด้านหลัง ในขณะที่บางคนอยู่ห่างไกลที่ด้านหลัง ตอนนี้กลับมาอยู่ที่ด้านหน้าแทน

มีแต่เมิ่งฮ่าวเท่านั้นที่อยู่เพียงลำพังคนเดียว อยู่ด้านหน้าห่างออกไปไกลจากคนทั้งหมดบนแท่นบูชาของตัวเอง ผู้ฝึกตนค้นหาเต๋าอื่นๆ ทั้งหมดจ้องมองมาจากด้านหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความต้องการที่จะต่อสู้ด้วย

“สองด่านก่อนหน้านี้ เป็นการทดสอบพลังการต่อสู้ของพวกเจ้า” หลิงอวิ๋นจื่อกล่าวเสียงราบเรียบ “ตอนนี้พวกเจ้าจะต้องผ่านด่านที่สาม, สี่ และห้าตามลำดับ เป็นด่านที่จะทดสอบพรสวรรค์ ความล้ำลึกของพื้นฐานฝึกตน และ…อายุที่แท้จริงของพวกเจ้า!”

“ยิ่งมีพรสวรรค์มากเท่าใด พื้นฐานฝึกตนลึกล้ำมากแค่ไหน และอายุน้อยเพียงใด ก็จะยิ่งโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น!”

“นี่คือการทดสอบในภาพรวม ถ้าใครทำได้ไม่ดีนักในสองด่านแรก แต่ถ้าทำได้ดีในด่านที่สาม ก็สามารถจะโดดเด่นเหนือผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ได้” ด้วยเช่นนั้นมันก็โบกสะบัดมือ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแวบเป็นสีสันเจิดจ้าออกมา และสายลมก็พุ่งขึ้นไป ทันใดนั้นแท่นศิลาตัวอักษรขนาดใหญ่สามแท่นก็พุ่งขึ้นมาจากแท่นบูชาที่อยู่ตรงหน้าของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน

แท่นศิลาตัวอักษรแต่ละแท่น มีตัวอักษรสลักไว้หนึ่งตัว

资! (จือ = พรสวรรค์) 修! (ซิว = พื้นฐานฝึกตน) 岁! (ซุ่ย = อายุ)

“วางมือไปบนแท่นศิลาตัวอักษร ปล่อยให้พลังของมันไหลผ่านเข้าไปในร่าง การทดสอบก็จะเริ่มขึ้น!”

ผู้ฝึกตนที่อยู่ในเส้นทางโบราณค้นหาเต๋า ก้าวเท้าตรงไปและวางมือลงบนแท่นศิลาตัวอักษร ‘พรสวรรค์’ ในชั่วพริบตา เสาแห่งแสงก็เริ่มพุ่งขึ้นมาจากแท่นศิลาตัวอักษร ซึ่งมีความสูงที่แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่แล้วสูงขึ้นไปประมาณสิบจ้าง แต่ก็มีอยู่หนึ่งเสาที่ทันใดนั้นพุ่งขึ้นไปยี่สิบจ้าง ค่อนข้างจะกลายเป็นจุดสนใจอยู่ไม่น้อย

สำหรับสำนักต่างๆ พรสวรรค์ของผู้ฝึกตนจริงๆ แล้วก็มีความสำคัญมากกว่าพลังการต่อสู้

ต่อมา เสาแห่งแสงสามสิบจ้างก็ปรากฏขึ้น จากนั้นก็ห้าสิบจ้าง, หกสิบจ้าง และหนึ่งร้อยจ้าง!

เสาหนึ่งร้อยจ้างนั้นเป็นของหญิงสาวที่โผล่ออกมาจากด่านที่สองรองจากเมิ่งฮ่าว นางมองไปยังเสาแห่งแสงด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งเหมือนเช่นเคย

ด้านหลังนาง เสาแห่งแสงหนึ่งร้อยจ้างปรากฏขึ้น ท่ามกลางผู้ฝึกตนอื่นๆ ที่มีเสาหนึ่งร้อยจ้างเป็นบุรุษสวมหน้ากาก และผู้ฝึกตนที่ถูกห้อมล้อมด้วยฝูงยุง คนทั้งสองและหญิงสาวนางนั้น เป็นที่รู้จักของผู้ชมอยู่ในตอนนี้ สำหรับเสาที่สูงหนึ่งร้อยจ้างอื่นๆ เป็นกลุ่มคนที่ไม่ค่อยจะดึงดูดความสนใจมากนักในสองด่านที่ผ่านมา แต่ตอนนี้กลับมีการแสดงออกที่ดีขึ้น

“เสาแห่งแสงหนึ่งร้อยจ้าง แสดงให้เห็นถึงระดับพรสวรรค์ที่น่าเหลือเชื่อ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีถึงเจ็ดคนที่มีพรสวรรค์เช่นนั้น ในการแข่งขันส่วนของขั้นค้นหาเต๋า!”

“มีอยู่เก้าคนในขั้นตัดวิญญาณ!”

“ในส่วนของวิญญาณแรกก่อตั้งมีมากกว่านั้นอีก! เสาหนึ่งร้อยจ้างมีทั้งหมดสิบเจ็ดต้น!”

“ข้าอยากรู้นักว่าของฟางมู่จะสูงเท่าไหร่…” ขณะที่กลุ่มคนที่ด้านนอกพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ปรมาจารย์ในวิหารที่เป็นตัวแทนของสำนักและตระกูลต่างๆ กำลังมองไปด้วยดวงตาที่เจิดจ้า พวกมันเฝ้าจับตาดูกลุ่มผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์สูงส่งมากเป็นพิเศษ และแน่นอนว่าตอนนี้กำลังมองไปยังเมิ่งฮ่าว

เมิ่งฮ่าวลังเลอยู่ชั่วขณะ เขาไม่เคยให้ความสนใจต่อพรสวรรค์ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ยกมือขึ้นและวางลงไปบนแท่นศิลาตัวอักษร

ทันทีที่เขาแตะมือไป พลังอันอ่อนโยนจากแท่นศิลาตัวอักษรก็กระจายเข้ามาในร่าง ไหลเข้าไปในเส้นลมปราณและเส้นโลหิตอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็หมุนวนผ่านไปทั่วร่าง แต่ในตอนนี้เองที่จุดชีพจรเซียนภาพลวงตา ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยตะเกียงสัมฤทธิ์จู่ๆ ก็สั่นสะท้าน จากนั้นก็เริ่มกระจายแรงดึงดูดออกมา ซึ่ง…ทำการดูดพลังอันอ่อนโยนจากแท่นศิลาตัวอักษรเข้าไปในทันที

ดวงตาเมิ่งฮ่าวเบิกกว้าง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!