Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 848

ตอนที่ 848

ผู้อาวุโส, เอามาอีก!

บนเส้นทางโบราณขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง แสงเจิดจ้าพุ่งขึ้นไป เจ้าอ้วนจ้องมองไปยังแท่นศิลาตัวอักษรที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาที่งุนงง แสงนั้นพุ่งขึ้นไปสูงเพียงแค่สามสิบจ้างเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะมีอยู่ไม่น้อยที่สูงไม่เท่าของมันก็ตามที

“ท่านย่ามันเถอะ!” มันคิด ดวงตาสาดประกายด้วยโทสะ “ทำไมพรสวรรค์ของข้าถึงไม่ดีที่สุด? นี่ไม่สมเหตุสมผล! เมื่อหลายปีก่อนโน้นสำนักจินหานบอกข้าว่า พรสวรรค์ของข้าในโลกทั้งหมดนี้ไม่มีใครเทียบได้!” มันยิ่งรู้สึกหดหู่ใจมากขึ้นเป็นพิเศษ เมื่อมองไปเห็นว่าเสาแห่งแสงของหวังโหย่วฉายสูงห้าสิบจ้าง

จากนั้นก็มองไปยังเฉินฝาน และดวงตาเจ้าอ้วนก็ต้องเบิกกว้างขึ้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ลำแสงของเฉินฝาน…อยู่ในท่ามกลางเสาหนึ่งร้อยจ้าง!

ของหลี่ซือฉีไม่ได้สูงหนึ่งร้อยจ้าง แต่ก็สูงถึงแปดสิบจ้าง

บนเส้นทางโบราณค้นหาเต๋า ขณะที่ผู้เข้าแข่งขันวางมือลงไปบนแท่นศิลาตัวอักษร ประกายแสงก็พุ่งขึ้นไป ทำให้พื้นที่แถบนั้นเต็มไปด้วยแสงอันเจิดจ้า มีแต่แท่นศิลาตัวอักษรของเมิ่งฮ่าวเท่านั้นที่ไม่มีแสงใดๆ พุ่งขึ้นมา ทำให้เขาต้องยิ้มอย่างแห้งแล้งออกมา

เป็นไปไม่ได้ที่แท่นศิลาตัวอักษรของเขาจะกระจายแสงใดๆ ออกมา เพราะว่าพลังอันอ่อนโยนที่เป็นต้นกำเนิดของแสง ไม่ได้ไหลออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าวกลับเข้าไปในแท่นศิลา แต่มันถูกจุดชีพจรเซียนที่ไร้ตัวตนภายในร่างเขากลืนกินเข้าไปจนหมดสิ้น

ตอนนี้ เหล่าผู้ชมที่อยู่ในโลกด้านนอกต่างก็พูดคุยกันอย่างวุ่นวาย สิ่งที่สำคัญมากก็คือด่านที่ทดสอบพรสวรรค์ของการแข่งขันในครั้งนี้ พรสวรรค์เป็นพื้นฐานสำคัญของผู้ฝึกตนทุกคน และสำนักทั้งหมดต่างก็ให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด สำหรับผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา พวกมันจะถูกจดบันทึกไว้ในทันที

มีผู้คนอยู่ไม่น้อยที่เฝ้ามองเมิ่งฮ่าวอยู่ เขาได้อันดับหนึ่งจากทั้งสองด่านก่อนหน้านี้ ทำให้ดูโดดเด่นขึ้นมา มีอยู่หลายคนที่กำลังเฝ้ารอคอยด้วยความมุ่งหวัง ที่จะเห็นเขาได้อันดับหนึ่งในด่านที่สามนี้อีกด้วย แน่นอนว่าต้องมีคนอื่นๆ ที่มองไปด้วยรอยยิ้มอันเย็นชาเช่นกัน รอคอยที่จะได้หัวเราะเยาะเย้ย

ตอนนี้ แท่นศิลาตัวอักษรทั้งหมดสาดแสงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางโบราณขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งหรือตัดวิญญาณ หรือเส้นทางโบราณขั้นค้นหาเต๋า ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดได้พุ่งไปที่เมิ่งฮ่าว…

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ได้อันดับหนึ่งมาในสองด่านแรก ตอนนี้เขาอยู่ด้านหน้าสุดบนเส้นทางโบราณจากกลุ่มคนทั้งหมด ไม่มีผู้ฝึกตนใดๆ อยู่รอบๆ ตัวเขา ทำให้ตำแหน่งที่อยู่นี้ดูโดดเด่นมากขึ้นกว่าเดิม

“ฟางมู่กำลังทำอะไรอยู่?”

“อี๋? ไม่มีแสงออกมาจากแท่นศิลาตัวอักษรของมันเลยแม้แต่น้อย! เกิดอะไรขึ้น? เป็นไปไม่ได้ที่มันจะไม่มีพรสวรรค์อยู่เลย ถ้ามีอยู่น้อยมาก มันก็ต้องมีแสงขึ้นมาบ้าง ใช่หรือไม่?”

“บางทีมันยังไม่ได้เริ่มทำการทดสอบ ไม่ถูกต้อง เห็นได้ชัดว่ามือของมันกำลังวางอยู่บนแท่นศิลาแล้ว!”

ในที่สุด คนทั้งหมดที่อยู่ด้านนอก ต่างก็มองไปยังภาพของเมิ่งฮ่าวบนจอภาพกระแสน้ำวน และรู้สึกประหลาดใจไปตามๆ กัน

ผู้แข็งแกร่งจากสำนักต่างๆ ก็กำลังมองไปด้วยเช่นเดียวกัน เหมือนกับคนทั้งหมดในวิหารที่อยู่สูงขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว คนทั้งหมดจากสามนิกายหกสำนัก, ห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์, สีตระกูลใหญ่ และแม้แต่สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ ตอนนี้กำลังมองไปยังเมิ่งฮ่าว และแท่นศิลาตัวอักษรที่ไร้แสงของเขา

“เจ้าบัดซบน้อยกำลังใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรออกมาอีก?” ปรมาจารย์เอกะเทวะคิด ใบหน้ามันบิดเบี้ยวด้วยโทสะ แต่มันก็มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับเมิ่งฮ่าว, เมิ่งฮ่าวคือศิษย์สายในเพียงคนเดียวแห่งสำนักเอกะเทวะ ดังนั้นภาพที่กำลังเห็นอยู่ในตอนนี้ก็ทำให้ปรมาจารย์เอกะเทวะรู้สึกค่อนข้างจะอับอายนัก

ย้อนกลับไปในดินแดนตะวันออกอันกว้างใหญ่ ฟางซิ่วเฟิงและเมิ่งลี่ก็จ้องมองไปด้วยความตกตะลึงเช่นเดียวกัน พวกท่านรู้ดีว่าเมิ่งฮ่าวมีพรสวรรค์เช่นไร ถึงแม้เขาจะต้องพบเจอกับทัณฑ์เจ็ดปี แต่ก็เป็นคนแรกของตระกูลฟาง ที่เคยเผชิญกับการเกิดใหม่ถึงสามครั้ง

เนื่องจากเช่นนั้น ทำให้พวกท่านรู้ว่าสายโลหิตของเขามีความแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ สายโลหิตของผู้ฝึกตนคือส่วนหนึ่งของพรสวรรค์ ดังนั้นพวกท่านจึงไม่เข้าใจว่าทำไมแท่นศิลาตัวอักษรที่อยู่ตรงหน้าเมิ่งฮ่าว ถึงไม่กระจายแสงใดๆ ออกมา

เมิ่งฮ่าวกระแอมไอเบาๆ มองไปรอบๆ ยังคนอื่นๆ และเสาแห่งแสงของพวกมันทั้งหมด รับรู้ได้ถึงสายตาทั้งหมดที่จ้องมองมายังแผ่นหลังของตนเอง เขาค่อยๆ ยกมือขึ้น และจากนั้นก็วางลงไปบนแท่นศิลาตัวอักษรอีกครั้ง

พลังอันอ่อนโยนปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ก็เหมือนกับครั้งก่อน จุดชีพจรเซียนกลืนกินมันเข้าไป ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวสังเกตพบว่า หลังจากที่ดูดกลืนพลังนั้นเข้าไปแล้ว จุดชีพจรเซียนเริ่มมีความแตกต่างขึ้นเล็กน้อย

เขายกมือขึ้นและวางลงไปอีกครั้ง ทำให้พลังที่อ่อนโยนกระจายออกไปทั่วร่างมากขึ้น พวกที่ดูอยู่มองไปด้วยความตกตะลึง ขณะที่เมิ่งฮ่าวพยายามจะกระตุ้นให้แสงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หลังจากที่พยายามอยู่เจ็ดถึงแปดครั้ง เขาก็ตระหนักว่าชีพจรเซียนได้ดูดกลืนพลังที่อ่อนโยนนั้นเข้าไปมาก และตอนนี้ก็ไม่มีแสงกระจายออกมาจากแท่นศิลาตัวอักษรแม้แต่น้อย ชีพจรเซียนภายในร่าง ได้เปลี่ยนจากสถานะภาพลวงตาก่อนหน้านี้ กำลังเริ่มตกผลึกได้ถึงหนึ่งในสิบส่วนแล้ว

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวต้องเต้นรัวด้วยความยินดีและตื่นเต้น เขารู้ว่าเมื่อไหร่ที่ชีพจรเซียนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ เขาก็จะก้าวเท้าเข้าไปเป็นเซียนแท้

เมื่อสะกดข่มความตื่นเต้นไว้ได้แล้ว เขาก็แสร้างทำสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็ทดลองกดมือลงไปบนแท่นศิลาตัวอักษรอีกสองสามครั้ง ชำเลืองมองไปรอบๆ จากนั้นก็มองขึ้นไป เห็นได้ชัดว่ากำลังหงุดหงิด ร้องตะโกนออกไปในความว่างเปล่า “ผู้อาวุโสหลิงอวิ๋นจื่อ อยู่หรือไม่!? แท่นศิลาตัวอักษรนี้ใช้ไม่ได้แล้ว! ข้าขอเปลี่ยนได้หรือไม่?”

“จะเป็นการดีมากถ้านำมาให้ข้าอีกหลายแท่น เผื่อว่ามีแท่นไหนเสีย จะได้ไม่ต้องรบกวนท่านผู้เฒ่าอีกครั้ง” เมิ่งฮ่าวจ้องขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ด้วยสีหน้าที่คาดหวังอย่างกระตือรือร้น

ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบกริบ ผู้ฝึกตนอื่นๆ บนเส้นทางโบราณค้นหาเต๋าทั้งหมด ต่างก็มองมาอย่างเงียบๆ

ในวิหารบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ปรมาจารย์จากสำนักต่างๆ กำลังขมวดคิ้วกันทุกคน พวกมันรู้ว่าเศษซากเซียนเต็มไปด้วยความลี้ลับ แม้แต่สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ที่คอยควบคุมดูแลสามเส้นทางโบราณนี้ ก็ยังมีอยู่มากมายหลายสิ่งที่พวกมันไม่เข้าใจ

หลังจากผ่านไปนานสักพัก ปรมาจารย์จากอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าก็กล่าวขึ้น “สหายเต๋าหลิงอวิ๋นจื่อ มอบแท่นศิลาก้อนอื่นให้มัน”

เสียงนั้นดังก้องเข้าไปในเส้นทางโบราณค้นหาเต๋า และหลิงอวิ๋นจื่อก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่า มันมองลงไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความเรียบเฉย จากนั้นก็โบกสะบัดมือ ทำให้แท่นศิลาตัวอักษรที่อยู่ตรงหน้าเขาหายไป ราวกับว่าถูกเคลื่อนย้ายทางไกลออกไป ไม่นานต่อมา ก็ถูกแทนที่ด้วยแท่นศิลาก้อนอื่น

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น เขารีบยื่นมือออก และกดลงไปบนแท่นศิลาตัวอักษร

“สาดประกาย!” เขาแผดเสียงออกมา พลังอันอ่อนโยนผ่านเข้าไปในร่างเขาอีกครั้ง และเริ่มหมุนวนไปมา ในเวลาเดียวกันนั้นแสงที่แทบจะมองไม่เห็น ก็แวบขึ้นมาในดวงตาเมิ่งฮ่าว ขณะที่เขาใช้ทั้งผีโต้งและขนนกสีดำ เพื่อปกปิดสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ภายในร่างตนเอง

ชีพจรเซียนดูดกลืนพลังทั้งหมดเข้าไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะดูเหมือนว่าไม่มีผลกระทบต่อชีพจรเซียนมากมายเท่าใดนักก็ตามที เมิ่งฮ่าวกระพริบตา จากนั้นขณะที่หลิงอวิ๋นจื่อมองมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เขาก็ทำเป็นตรวจสอบแท่นศิลาตัวอักษรด้วยความละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น และพยายามวางมือลงไปอีกหลายครั้ง ในที่สุดพลังทั้งหมดของแท่นศิลาก็ถูกชีพจรเซียนดูดกลืนไปจนหมดสิ้น

ไม่ใช่หลิงอวิ๋นจื่อคนเดียวเท่านั้น ที่กำลังมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้อย่างใกล้ชิด กลุ่มคนที่อยู่ในวิหารบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวก็สังเกตดูอย่างละเอียดด้วยเช่นกัน แต่คิ้วของพวกมันก็ขมวดลึกมากขึ้น

“มีบางอย่างผิดปกติ!”

“แท่นศิลาตัวอักษรใช้งานไม่ได้ ซึ่งทุกอย่างก็ดูปกติดี ต้องมีบางอย่างที่แปลกๆ เกิดขึ้นในร่างกายมัน”

“มันต้องฝึกฝนเวทแห่งเต๋าที่พิเศษบางอย่าง…”

ขณะที่เสียงพูดคุยดังหึ่งๆ อยู่ในวิหาร ชายชราที่สวมใส่ชุดยาวสีแดงเข้ม ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นมายืน กล่าวขึ้นว่า

“ไม่จำเป็นต้องทดสอบอีกแล้ว ท่านทั้งหลาย ภูเขาไท่หยางยินดีที่จะขจัดความสงสัยของพวกท่าน ข้าจะรับมันเข้าสังกัดภูเขาไท่หยาง ปัญหาทั้งหลายก็จะคลี่คลายไปได้เอง” พร้อมกับหัวเราะเป็นเสียงดัง มันเริ่มเดินตรงไป จากนั้นก็ถูกขัดขวางไว้ในทันที

“ไม่จำเป็นที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาไท่หยางจะต้องมาพบเจอกับปัญหานี้! เซียงหั่วเต้า (เต๋าธูปเผาไหม้) ยินดีที่จะเสี่ยงรับมันไว้เอง”

ในชั่วพริบตา บรรยากาศในวิหารก็วุ่นวายไปทั่ว ขณะที่พวกมันปะทะคารมกันด้วยเรื่องนี้ เมิ่งฮ่าวที่ยืนอยู่บนแท่นบูชาบนเส้นทางโบราณค้นหาเต๋า ถอนหายใจออกมา และมองขึ้นไปยังหลิงอวิ๋นจื่อที่มีใบหน้าเคร่งขรึม

“ผู้อาวุโส แท่น…แท่นนี้ก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน! ท่านช่วยเอามาให้ข้าอีกได้หรือไม่…?”

หลิงอวิ๋นจื่อจ้องมองไปที่เขาอย่างเงียบๆ อยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็โบกสะบัดมือ เสียงกระหึ่มดังก้องออกมา ขณะที่แท่นศิลาตัวอักษรที่มีคำว่า ‘พรสวรรค์’ จารึกอยู่สี่แท่นปรากฏขึ้นในทันที

จิตใจเมิ่งฮ่าวเต้นรัว และกระแอมไอออกมาเบาๆ อีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มดำเนินการ

“อืม แท่นนี้ก็ใช้ไม่ได้”

“หือ? นี่ก็เสียเช่นกัน! บัดซบ!”

“สวรรค์! คิดไม่ถึงว่านี่ก็ใช้ไม่ได้ด้วย!”

“นี่ก็…น่าประหลาดใจจริงๆ ที่ใช้ไม่ได้เช่นกัน!” เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไปด้วยสีหน้าที่เขินอาย มีท่าทางเจ็บปวดใจ ราวกับว่าสวรรค์กำลังเล่นตลกกับตัวเอง หลิงอวิ๋นจื่อมองกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูน่าเกลียดมากยิ่งขึ้น

แน่นอนว่า ภายในใจเมิ่งฮ่าวกำลังตื่นต้นอย่างที่สุด ถึงแม้ว่าแท่นศิลาตัวอักษรทั้งห้าจากเมื่อครู่นี้ จะไม่ได้มีประสิทธิภาพที่น่าเหลือเชื่อ แต่ก็ทำให้ชีพจรเซียนตกผลึกเพิ่มขึ้นจากหนึ่งในสิบส่วนกลายเป็นสองในสิบส่วน

แน่นอนว่ากลุ่มฝูงชนทั้งหมดที่กำลังมองมาจากตี้จิ่วซานไห่ ไม่รู้ว่าต้องหัวเราะหรือร้องไห้ดี ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะไม่อยู่ในอันดับหนึ่งอีกต่อไป แต่จริงๆ แล้วก็ยิ่งกลายเป็นจุดสนใจมากขึ้นกว่าเดิม กว่าตอนที่เขาได้อันดับหนึ่งซะอีก

“ผู้อาวุโส ขอให้ข้าอีกสิบแท่นได้หรือไม่” เมิ่งฮ่าวถามด้วยความมุ่งหวัง

หลิงอวิ๋นจื่อเหลือกตาขึ้น โบกสะบัดมือพร้อมกับเสียงแค่นอย่างเย็นชา จากนั้นก็ประกาศผู้ชนะอันดับหนึ่งของด่านที่สามนี้ออกไป

หลังจากนั้นก็กล่าวว่า “ด่านต่อมาคือพื้นฐานฝึกตน! เริ่มทดสอบได้!”

ขณะที่เสียงของมันดังก้องออกไป แท่นศิลาตัวอักษร ‘พรสวรรค์’ ก็หายไป

ผู้ชนะอันดับหนึ่งของด่านที่สาม จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความขุ่นเคือง แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากต้องจมอยู่ในโทสะของตัวเอง

“ผู้อาวุโส! ผู้อาวุโส! ข้ายังไม่ได้ทดสอบเลย! มันไม่ยุติธรรม!”

หลิงอวิ๋นจื่อไม่สนใจเมิ่งฮ่าวโดยสิ้นเชิง อันที่จริงมันได้หายตัวไปแล้ว

ไม่มีใครให้ความสนใจต่อเสียงบ่นของเมิ่งฮ่าวอีกต่อไป ในเวลาเดียวกันนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ในเส้นทางโบราณค้นหาเต๋า ก็ก้าวเท้าตรงไปยังแท่นศิลาตัวอักษร ‘พื้นฐานฝึกตน’ ปรมาจารย์ที่อยู่ในวิหารบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว มองมาด้วยดวงตาที่สาดประกายเจิดจ้า ถึงแม้ว่าพวกมันจะโต้เถียงกันมาเมื่อครู่นี้ แต่ทั้งหมดนั้นก็สอดคล้องกับแผนการต่างๆ ที่คาดคิดกันไว้

สำหรับกลุ่มคนในตี้จิ่วซานไห่ เดิมทีพวกมันคาดหวังไว้อย่างมากกับด่านที่สาม แต่หลังจากที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับฟางมู่ อารมณ์ความรู้สึกของพวกมัน…ก็แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

“ช่างไม่ยุติธรรมนัก!” เมิ่งฮ่าวบ่น เดินตรงไปยังแท่นศิลาตัวอักษร ‘พื้นฐานฝึกตน’ ยื่นมือขวาออกไป และรู้สึกดีใจที่พบว่าพลังอันอ่อนโยนนี้ ถึงแม้ว่าจะแตกต่างไปจากพลังจากก่อนหน้านี้ แต่จริงๆ แล้วก็มีความแข็งแกร่งมากกว่าเล็กน้อย ทันทีที่พลังนั้นไหลผ่านเข้ามาในร่างและเริ่มโคจรหมุนวนไปรอบๆ ชีพจรเซียนก็สั่นสะท้าน และจากนั้นก็กระจายออกไปดูดซับพลังเหล่านั้นทั้งหมดไว้ด้วยความกระหาย

“บัดซบ! ทำไมมันถึงใช้ไม่ได้อีกเช่นกัน?” เมิ่งฮ่าวร้องอุทานออกมา ดูเหมือนอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก ขณะที่แท่นศิลาตัวอักษรรอบๆ บริเวณนั้นทั้งหมดเริ่มสาดประกายเป็นแสงเจิดจ้าออกมา เมิ่งฮ่าวก็พยายามที่จะทำให้มันใช้งานได้ ดูคล้ายกับว่าเขาไม่อยากจะเชื่อว่ามันใช้งานไม่ได้ หลังจากที่พยายามอยู่เจ็ดถึงแปดครั้ง เขาก็ดูดซับพลังจากแท่นศิลาตัวอักษรไปได้อย่างเพียงพอ ที่จะทำให้ชีพจรเซียนเริ่มตกผลึกได้ถึงสามในสิบส่วน

พื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าว ที่มีพลังของเซียนแท้อยู่แปดในสิบส่วน ก็เริ่มมีความก้าวหน้าขึ้นมาบ้างแล้ว

เมิ่งฮ่าวเลียริมฝีปาก ตะโกนออกไปเป็นเสียงดังขึ้นอีกครั้ง “นี่ไม่ยุติธรรมจริงๆ! ผู้อาวุโสหลิงอวิ๋นจื่อ ได้โปรดมาเปลี่ยนแท่นศิลาให้ข้าด้วย!”

หลิงอวิ๋นจื่อปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งเครียด มองไปยังเมิ่งฮ่าวและโบกสะบัดมือ แท่นศิลาตัวอักษร ‘พื้นฐานฝึกตน’ ก็หายไป และจากนั้นเสียงที่เต็มไปด้วยความรำคาญของอวิ๋นหลิงจื่อก็ดังก้องออกมา

“หนวกหูจริง! ถ้าเจ้าพูดจาเหลวไหลออกมาอีกครั้ง ก็จะถูกตัดสิทธิ์ในทันที! ด่านต่อไป การประเมินอายุ!”

เมิ่งฮ่าวกระพริบตา รู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย เดินตรงไปยังแท่นศิลาตัวอักษร ‘อายุ’ และวางมือลงไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!