ตอนที่ 898
เจ้ารนหาที่ตาย?!
“ตราบเท่าที่ของสิ่งนั้นเป็นของข้า เจ้าก็จะขโมยมันไป?”
“มุมมองชีวิตที่บิดเบี้ยวไปของเจ้า จริงๆ แล้วก็เป็นความผิดของข้าเอง ในวันข้างหน้า ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อช่วยให้เจ้าแก้ไขความผิดพลาดเหล่านั้น” เมิ่งฮ่าวกล่าวคำพูดเหล่านี้ ขณะที่จ้องมองไปยังฟางเว่ยตรงๆ
“เจ้ารนหาที่ตาย?” ฟางเว่ยกล่าวตอบด้วยเสียงราบเรียบ
“ช่างอวดเก่งนัก!” เมิ่งฮ่าวกล่าว เดินตรงไปยังฟางเว่ย แต่ละก้าวที่เขาเดินไป ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน และดวงตาก็เย็นชาขณะที่จ้องไปยังฟางเว่ย
“ในแง่ของศักดิ์ฐานะ ข้าคือหลานปู่คนโต ในแง่ของสายโลหิต ลำแสงสายโลหิตของข้าสูงหนึ่งหมื่นจ้าง ในแง่ของความเป็นผู้อาวุโสของตระกูล ข้าคือเปียเกอของเจ้า มันเป็นหน้าที่ข้าที่จะตักเตือนสั่งสอนเจ้า และเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อต้าน! เมื่อเจ้ายืนยันที่จะกล่าวคำไร้สาระเช่นนั้นออกมา ข้าก็ต้องถามเจ้าว่า ฟางเว่ย…เจ้ารนหาที่ตาย?” คำพูดของเมิ่งฮ่าวช่างก้าวร้าวอย่างน่าเหลือเชื่อ
หลังจากที่พูดจบ เขาก็หันหน้าไปยังผู้เฒ่าสูงสุดและประสานมือขึ้น
“ท่านผู้เฒ่าสูงสุด ฟางเว่ยแสดงท่าทีที่ไม่เคารพต่อพี่ชาย ถือว่าเป็นการทำลายบรรทัดฐานของมารยาทเป็นอย่างยิ่ง เป็นบาปที่แม้แต่สวรรค์และปฐพีก็ยังไม่ยอมให้อภัย เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของตระกูล ทุกคนต้องมีความประพฤติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน การที่ตระกูลฟางจะมีศักดิ์ฐานะสมกับเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งขุนเขาทะเลที่เก้า ก็ต้องมีกฎที่เข้มงวดกว่าตระกูลอื่นๆ การเคารพต่อผู้อาวุโสเป็นมาตรฐานที่ต้องมี เพื่อให้ตระกูลเจริญรุ่งเรืองต่อไปในวันข้างหน้า!”
“กฎของตระกูลยอมให้ใครมาแสดงท่าทีเช่นนี้ได้? ถ้าไม่ได้ ก็ถือว่ามันละเมิดกฎของตระกูล บทลงโทษสำหรับการกระทำเช่นนี้คืออะไร?” ขณะที่เขากล่าว ดวงตาของผู้อาวุโสที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นเบิกกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสที่เป็นสายโลหิตหลัก ซึ่งกำลังรู้สึกตกตะลึงขึ้นเป็นอย่างมาก
เมื่อเมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้น คำพูดของเขาแหลมคมราวกับเป็นกระบี่ ทำให้เหล่าผู้ชมดูรู้สึกประหลาดใจไปทั่วทุกตัวคน ไม่มีใครจะคาดคิดว่าเขาจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดุดันเช่นนี้
แน่นอนว่าพวกมันไม่รู้ว่าเมิ่งฮ่าวได้เติบโตขึ้นมาในฐานะที่เป็นนักศึกษา และรักที่จะพูดจาด้วยสำนวนโวหารเช่นนี้ ย้อนกลับไปในวันที่เขาเป็นนักปรุงยา เขาได้เข้าร่วมการโต้วาที จนทำให้จิตใจเต๋าของคู่ต่อสู้เริ่มไม่มั่นคง จากเรื่องนั้นก็สามารถจะเห็นได้ว่าคำพูดของเขาแหลมคมมากแค่ไหน
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเคยได้โต้เถียงกับผีโต้งอยู่หลายครั้ง ซึ่งถือได้ว่าทำให้เขาได้รับการฝึกฝนการโต้วาทีเพิ่มมากขึ้น
ในตอนนี้เองที่บิดาฟางเว่ย ซึ่งนั่งอยู่ที่ฝั่งผู้อาวุโส ทันใดนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ฟางฮ่าว กฎของตระกูลห้ามไม่ให้เกิดความขัดแย้งกันเองภายใน แล้วเจ้ากล่าวคำพูดที่ชั่วร้ายเช่นนั้นขึ้นมาได้อย่างไร? เจ้าต้องทบทวนตัวเองบ้างแล้ว! ใครก็ได้ นำมันออกไป!”
เมิ่งฮ่าวไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาแม้แต่น้อย กลับเริ่มหัวเราะเป็นเสียงดังขึ้น ตอนนี้เมื่อเขาอยู่ที่นี่ในตระกูลฟาง จึงสามารถจะฉวยโอกาสนำกฎเกณฑ์และข้อระเบียบของตระกูลมาใช้ เขาจะไม่ปล่อยให้ใคร บังอาจมาเอาเปรียบเขาไปได้
“เอ้อร์ซู (อาสอง) คำพูดของผู้เยาว์ชั่วร้ายจริงๆ? ข้ากล่าวว่าได้ทุบตีมันรุนแรงมากเกินไปในตอนที่พวกเรายังเยาว์วัย นี่คือความเป็นจริงทั่วไป ข้ากล่าวว่ามันกลายเป็นคนไม่ปกติ เป็นการแสดงออกซึ่งความเสียใจ จากนั้นข้าก็บอกว่าข้าจะช่วยมันแก้ไขความผิดพลาดเหล่านั้น ในฐานะที่เป็นเปียเกอของมัน ทั้งหมดนี้คือการตำหนิตัวข้าเอง!”
“ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสของมัน นี่คือความรับผิดชอบของข้า จริงๆ แล้วก็เป็นหน้าที่ข้า ที่จะต้องช่วยเหล่าน้องๆ ดังนั้นข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเอ้อร์ซู ถึงได้เรียกคำพูดเหล่านั้นว่าชั่วร้าย”
บิดาฟางเว่ยขมวดคิ้ว “ช่างมีปากที่คมกล้ายิ่ง! การแสดงของเจ้าไร้ประโยชน์ใดๆ! ความจริงก็คือความจริง!”
“ข้าบอกท่านถึงความเป็นจริง” เมิ่งฮ่าวโต้ตอบกลับไป “น้องชายที่เอาแต่ใจผู้นี้ ขโมยถ้ำแห่งเซียนของข้าไป มันยังได้ขโมยเม็ดยาของข้าไปอีกด้วย แต่ถึงกระนั้นข้าก็ไม่ว่าอะไร มันคือน้องชายและข้าคือพี่ชาย ถ้าข้ายอมให้มันได้สิ่งเหล่านั้นไป ก็ไม่เป็นไร มันสามารถเอาไปได้”
“แต่เหตุผลที่ข้าดุมัน ก็เป็นเพราะว่ามันยังได้ขโมยต้นเถาวัลย์ประกายเซียนที่บิดาข้าเก็บไว้ให้กับข้าไป เมื่อของสิ่งนั้นเป็นของบิดาข้า แล้วผู้เยาว์ของตระกูลจะขโมยมันไปได้อย่างไร? ผู้เยาว์ของตระกูลสามารถจะขโมยสิ่งของที่เป็นของผู้อาวุโสได้จริงๆ? เอ้อร์ซู ท่านกำลังเห็นด้วยกับเรื่องนี้?”
“พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ได้ละเมิดกฎของตระกูล? จริงๆ แล้วมันไม่ได้เคารพกฎของผู้อาวุโส ใช่หรือไม่? การกระทำเช่นนี้เทียบเท่ากับการเป็นขบถอย่างเปิดเผย ใช่หรือไม่?”
“ในขุนเขาทะเลที่เก้า ยอมให้ผู้เยาว์รุ่นหลังมาขโมยสิ่งของจากกลุ่มผู้อาวุโสได้? มีตระกูลอะไรบ้างที่เชื่อว่าเรื่องเช่นนี้ถูกต้องเหมาะสม? ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีตระกูลใดที่จงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง กลับถูกให้เป็นผิด?”
“เอ้อร์ซู ได้โปรดชี้แนะ ผู้เยาว์มีประสบการณ์ที่จำกัด และข้าก็ไม่มั่นใจถึงคำตอบของคำถามเหล่านี้” เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดชายแขนเสื้อ และมองไปยังบิดาของฟางเว่ย ด้วยสายตาที่สาดประกายเจิดจ้า
“เจ้า…” บิดาฟางเว่ยมีท่าทางกราดเกรี้ยว แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่อาจจะคิดสิ่งใดๆ เพื่อโต้ตอบกลับมาได้
ห้องโถงของวิหารตกอยู่ในความเงียบไปโดยสิ้นเชิง เหล่าผู้อาวุโสที่เดิมทีได้รักษาความเป็นกลางไว้ ตอนนี้กำลังมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความอยากรู้อยากเห็น
บุตรชายของสือจิ่วซู (อาสิบเก้า) ฟางซี ก็อยู่ในกลุ่มฝูงชนด้วยเช่นเดียวกัน กำลังจ้องมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความงุนงง มันไม่เคยคาดคิดว่าเมิ่งฮ่าวสามารถจะพูดจาได้คมคายหลักแหลมเช่นนี้มาก่อน
เมิ่งฮ่าวทำเรื่องเล็กน้อยให้กลายเป็นสิ่งที่สำคัญได้ ทำให้เหตุการณ์เล็กๆ กลายเป็นเรื่องราวที่ใหญ่โต ทำให้ผู้คนไม่อาจจะสรรหาคำพูดใดๆ มาตอบโต้กลับไปได้ ทักษะการพูดจาเช่นนี้เป็นสิ่งที่ฟางซีไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชั่วชีวิตของมัน จึงทำให้สายตาต้องสาดประกายเจิดจ้าขึ้น
“พอได้แล้ว!” ผู้เฒ่าสูงสุดฟางตงเทียนกล่าว มันขมวดคิ้วและสะบัดชายแขนเสื้อ
“พวกเราทั้งหมดเป็นคนในตระกูลเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมาโต้เถียงกันเอง เรื่องราวได้ผ่านพ้นไปแล้ว และจะไม่ถูกนำขึ้นมาพูดอีก ฮ่าวเอ๋อร์ต้นเถาวัลย์ประกายเซียนที่บิดาเจ้าได้เก็บไว้จะถูกนำมาให้เจ้า” ด้วยเช่นนั้น มันก็ทำท่าคว้าจับ ทำให้ฉับพลันนั้นถุงสมบัติได้ปรากฏขึ้นอยู่ในมือ มันโยนถุงสมบัตินั้นตรงมายังเมิ่งฮ่าว เขาได้คว้าจับมันไว้และใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ม้วนกวาดเข้าไป ที่ด้านใน เขาสามารถมองเห็นเป็นต้นเถาวัลย์ประกายเซียน มีขนาดความยาวประมาณสามชุ่น และมีความหนาเท่านิ้วก้อย
รังสีสังหารแวบขึ้นมาในดวงตาของฟางเว่ย มันแค่นเสียงอย่างเย็นชา จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากวิหาร ไม่สนใจเมิ่งฮ่าวไปโดยสิ้นเชิง เสียงกรอบแกรบได้ยินมาขณะที่ผู้ติดตามของมันหนึ่งร้อยกว่าคนได้จากไปโดยพร้อมเพรียงกัน แต่ละคนจ้องมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่น่ากลัวเมื่อพวกมันจากไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟางอวิ๋นอี้ ซึ่งมีสายตาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายอย่างเข้มข้น
เมิ่งฮ่าวไม่สนใจฟางเว่ย ราวกับว่ามันไม่มีค่าพอที่จะให้เขามองดู เขาประสานมือและโค้งตัวลงให้กับผู้เฒ่าสูงสุด จากนั้นก็มองกลับไปยังแผนที่ของถ้ำแห่งเซียน ในตอนนี้เขาตัดสินใจที่จะสร้างชื่อเสียงอยู่ในตระกูลฟาง เพื่อบิดาและมารดาของตนเอง ด้วยเช่นนั้นเขาจึงจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวบางอย่าง
“เตียเหนียงต้องการให้ข้าพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชื่อเสียงของพวกท่าน และต้องการให้คนทั้งหมดในตระกูลฟางรับรู้ว่า…ข้าคือบุตรชายของพวกท่าน นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องกระทำ!”
หลังจากที่มองไปยังถ้ำแห่งเซียน เขาก็พบว่ามีอยู่แห่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่มันก็มีสวนต้นสมุนไพรซึ่งมีขนาดกำลังดีอยู่
“ท่านผู้เฒ่าสูงสุด ข้าจะใช้ถ้ำแห่งเซียนนี้”
ผู้เฒ่าสูงสุดพยักหน้าและขยับมือร่ายเวท ทันใดนั้นเหรียญคำสั่งก็ปรากฏขึ้นและลอยตรงไปยังเมิ่งฮ่าว
“ดีแล้ว การประชุมตระกูลในครั้งนี้จบสิ้นแต่เพียงเท่านี้” จากนั้นมันก็มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความเมตตา และกล่าวว่า “ฮ่าวเอ๋อร์ อีกสองวัน ให้กลับมายังที่แห่งนี้ และข้าก็จะมอบผลเนี่ยผานให้กับเจ้าด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้” ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าสูงสุดรู้แล้วว่าเมิ่งฮ่าวมีนิสัยอย่างไรในช่วงของการประชุมนี้
ขณะที่กลุ่มฝูงชนแยกย้ายกันจากไป สือจิ่วซูได้ตะโกนเรียกเมิ่งฮ่าว แนะนำเขาให้กับผู้อาวุโสที่เป็นสายโลหิตหลัก เมื่อพวกมันมองมาที่เขา สีหน้าการหวนรำลึกก็มองเห็นได้จากใบหน้าของพวกมัน
ชายชราบางคนเหล่านี้เคยเห็นบิดาเมิ่งฮ่าวเติบโตขึ้นมา และยังเคยอุ้มเมิ่งฮ่าวมาเมื่อเขายังเป็นเด็กทารกมาก่อน คนทั้งหมดเริ่มพูดคุยกันไปมา และเมื่อเอ่ยถึงบิดาของเมิ่งฮ่าว พวกมันก็ต้องถอนหายใจออกมา จากนั้นเมื่อพูดไปถึงท่านปู่ของเขา สีหน้าพวกมันก็หมองคล้ำลง
จนกระทั่งถึงยามสนธยาในที่สุดคนทั้งหมดก็แยกย้ายกันไป ฟางซีอาสาที่จะนำเมิ่งฮ่าวออกจากคฤหาสน์โบราณไปยังถ้ำแห่งเซียนของเขาด้วยตนเอง
ระหว่างทางฟางซีได้พาเมิ่งฮ่าวไปรับอุปกรณ์การฝึกตนของเขา และคนทั้งสองก็เริ่มพูดคุยกันด้วยความสุภาพ
“อ้าย…เป็นเรื่องดีที่สุดท้ายแล้วท่านก็กลับมา ถ้ายังไม่กลับ สายโลหิตหลักก็คงจะอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ…”
“ท่านไม่รู้หรอกว่าเมื่อเร็วๆ นี้ข้ามีโทสะมากแค่ไหน ทุกครั้งที่ข้าเห็นฟางเว่ย ก็ต้องยับยั้งตัวเองไม่ให้ไปชกหน้ามัน! เจ้าบัดซบนั่นมีอะไรดีเป็นพิเศษ หือ? พรสวรรค์ของมัน? สายโลหิตที่เข้มข้น?”
“ฮึ่ม ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าบิดาและปู่ของมัน รวมทั้งปรมาจารย์ของพวกมันที่มักจะเสนอหน้าออกมาเป็นระยะ สาขาของพวกมันก็ไม่มีทางจะได้มองเห็นคฤหาสน์โบราณนี้!”
ฟางซีบ่นกับเมิ่งฮ่าวไปตลอดทางอย่างต่อเนื่อง
“ในแง่ของพรสวรรค์ แน่นอนว่าของท่านต้องดีที่สุด ลำแสงสายโลหิตของท่านสูงถึงหนึ่งหมื่นจ้าง! ฟางเว่ยไม่อาจจะเทียบได้แม้แต่น้อย! มาดูกันว่ามันจะบอกว่าตัวเองเป็นผู้ถูกเลือกอันดับหนึ่งในวันข้างหน้าได้อย่างไร!?”
“จากนั้นก็ยังมีฟางอวิ๋นอี้ที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง มันเป็นคนที่ดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง! ดังนั้นในวันข้างหน้า ท่านจำเป็นต้องระมัดระวังมันไว้บ้าง”
“เมื่อมาคิดดูแล้ว พื้นฐานฝึกตนของท่านจำเป็นต้องปรับปรุงขึ้นมาบ้าง แต่โชคร้ายเกี่ยวกับเม็ดยาสลายรุ้งเซียนเหล่านั้น พวกมันทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเม็ดยาเช่นนั้น เมื่อรวมเข้ากับพลังของต้นเถาวัลย์ประกายเซียน ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะกลายเป็นเซียนแท้ได้ และจากนั้นพื้นฐานฝึกตนของท่านก็จะมีการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นอย่างมากมาย”
“มันเป็นหนึ่งในเม็ดยาที่มหัศจรรย์ของตระกูลฟาง อันที่จริงเมื่อเทียบกับเม็ดยาของอาณาจักรวิญญาณแล้ว เม็ดยาสลายรุ้งเซียนคือหนึ่งในเม็ดยาอันดับต้นๆ ของขุนเขาทะเลที่เก้าทั้งหมด!”
“เจ้าบัดซบฟางเว่ย! ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะมัน เม็ดยาเหล่านั้นทั้งหมดก็จะเป็นของท่าน” ฟางซีพูดคุยไปอย่างต่อเนื่องจนแทบจะคล้ายกับเป็นผีโต้ง ในที่สุดมันก็เริ่มบอกเล่าเมิ่งฮ่าวเกี่ยวกับเรื่องราวในตอนที่มันยังเยาว์ เริ่มจากตอนที่มันมีอายุหนึ่งขวบ และพูดต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันมีอายุหลายร้อยปี…
เมิ่งฮ่าวแค่ยิ้มออกมา และรับฟังฟางซีบ่นไปเรื่อยๆ รวมทั้งคำอธิบายต่างๆ เกี่ยวกับตระกูลฟาง จากทั้งหมดนี้ ทำให้เขาเริ่มเข้าใจตระกูลฟางได้มากขึ้นกว่าเดิม อย่างช้าๆ เสียงพูดคุยที่พรั่งพรูออกมาของมัน ได้กลายเป็นเสียงหึ่งๆ อยู่ในหูของเมิ่งฮ่าว
แต่โดยรวมแล้ว เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ถึงความจริงใจที่มีอยู่ในตัวของฟางซี
ขณะที่คนทั้งสองเดินไปเรื่อยๆ ก็ได้พบเห็นสมาชิกตระกูลฟางมากมาย พวกมันทั้งหมดมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยแววตาที่ดุร้าย บางคนก็มีรอยยิ้ม บางคนก็ถลึงตาใส่ สามารถมองเห็นสีหน้าที่หลากหลายได้ทั้งหมดจากพวกมัน
“ยังมีเรื่องที่สำคัญอีกอย่าง ท่านช่างแกร่งกล้าจริงๆ ตอนที่อยู่ในวิหาร! ข้าไม่เคยเห็นใครในหมู่ผู้เยาว์ที่จะกล้ายืนอยู่ตรงกลางวิหารและพูดจาเช่นนั้นมาก่อน ทุกอย่างที่ท่านพูดมาเป็นเรื่องจริงและสมเหตุสมผล ทำให้พวกมันทั้งหมดไม่อาจจะตอบโต้กลับมาได้!”
เมื่อฟางซีและเมิ่งฮ่าวไปถึงถ้ำแห่งเซียนของเขาก็เป็นยามราตรีพอดี ถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างไกลออกไปตรงส่วนทิศเหนือของคฤหาสน์โบราณ ดูงดงามเงียบสงบจนแทบจะดูคล้ายกับเป็นภาพวาด ถึงจะเป็นยามราตรีแต่ก็มีดวงจันทร์อยู่สองดวงในท้องฟ้า ที่กำลังส่องแสงสว่างมายังทุกสรรพสิ่ง ทำให้เกิดเป็นภาพที่งดงามขึ้นอย่างถึงที่สุด
ถ้ำแห่งเซียนของเมิ่งฮ่าวจริงๆ แล้ว เป็นอาคารที่อยู่อาศัยสองชั้นที่เหยียดยาวออกไป ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามและค่อนข้างจะหรูหรา มีทะเลสาบเล็กๆ อยู่บริเวณใกล้เคียง และมีเส้นทางที่ปูด้วยแผ่นศิลาตรงไปยังทะเลสาบนั้น ประกายแสงของกลุ่มดาวบนท้องฟ้า ส่องสะท้อนอยู่บนพื้นผิวของทะเลสาบ ทำให้เกิดเป็นประกายระยิบระยับดูงดงามเป็นอย่างยิ่ง
มีสวนห้อมล้อมอยู่รอบๆ ทะเลสาบขนาดเล็กนั้น ภายในสวนเต็มไปด้วยต้นสมุนไพรหลากหลายชนิด มีจำนวนไม่มากนัก แต่ก็ทำให้เกิดเป็นกลิ่นหอมเต็มอยู่ในอากาศ มองเห็นดอกบัวกำลังลอยอยู่บนพื้นผิวของทะเลสาบ ทำให้ภาพที่เห็นทั้งหมดนี้ดูคล้ายกับเป็นสรวงสวรรค์
เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ และค่อนข้างจะพึงพอใจ ถึงแม้ว่าสถานที่แห่งนี้ ไม่อาจจะถือได้ว่าพิเศษเมื่อเปรียบเทียบกับถ้ำแห่งเซียนอื่นๆ ทั้งหมดในคฤหาสน์โบราณของตระกูลฟาง แต่ในโลกภายนอก มันก็สามารถจะถือได้ว่าเป็นหนึ่งในถ้ำแห่งเซียนที่ดีที่สุด
มีพลังลมปราณอยู่มากมายในที่แห่งนี้ รวมทั้งปราณเซียนด้วย เมิ่งฮ่าวเดินเข้าไปในลานบ้าน และจากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขารู้สึกชื่นชอบสถานที่แห่งนี้ขึ้นอย่างแท้จริง
“เกี่ยวกับพรสวรรค์ในการพูดของท่าน…คิดว่าจะสามารถสอนข้าได้หรือไม่? เตียบอกว่าข้ามักจะพูดจาอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยพูดอะไรที่มีสาระเลย ท่านยังได้ทุบตีข้าอยู่หลายครั้งเพราะเรื่องนี้ ท่านสามารถช่วยข้าได้หรือไม่? ได้โปรดเถอะ” ฟางซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่วิงวอนอย่างน่าสมเพช
เมิ่งฮ่าวหันหน้าไปมองยังฟางซีและยิ้มออกมา
“เจ้าแน่ใจ?”
สีหน้าฟางซีดูสดใสขึ้น และรีบพยักหน้าให้
เมิ่งฮ่าวลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งหวังของฟางซี เขาก็อดที่จะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ตบไปที่ถุงสมบัติ ทำให้ผีโต้งปรากฏขึ้นมาอยู่ในมือ
ผีโต้งโกรธขึ้นในทันที และจากนั้นก็เริ่มพูดจาด้วยความไม่พอใจออกมา
“เมิ่งฮ่าว เจ้าสารเลว เจ้าต้องตายอย่างน่าอนาถใจมากที่สุด! เจ้าทอดทิ้งข้าไปแล้วก็หลอกใช้ข้า! ไม่ถูกต้อง, เจ้าหลอกใช้ข้าจากนั้นก็ทอดทิ้งข้าไป! เจ้า เจ้า เจ้า, เจ้ามันไร้ศีลธรรม! เจ้ามันไร้ยางอาย! เจ้ามันพวกคนพาล! ข้าจะต้องเปลี่ยนแปลงเจ้า!”
“ฟางซี” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมกับกระแอมไอออกมา “มาเยี่ยมข้าบ่อยๆ ทุกครั้งที่เจ้ามา ก็สามารถจะพูดคุยกับเจ้าตัวน้อยนี่ได้ เมื่อเจ้าสามารถจะพูดคุยกับมันได้นานถึงสามวัน เจ้าก็จะเป็นผู้ที่แกร่งกล้าแล้ว”