Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 941

ตอนที่ 941

สิบลมหายใจกับดวงตะวัน!

การเคลื่อนที่ไปครั้งสุดท้ายนี้ทำให้เมิ่งฮ่าวสูงขึ้นไปอีกสิบจ้าง…และตอนนี้มีเวลาเหลืออยู่เพียงแค่สิบลมหายใจเท่านั้น ก่อนที่ปรากฏการณ์ตงเซิงจือหยาง (ตะวันรุ่งบูรพา) จะสิ้นสุดลง

ก้าวสุดท้ายนี้ทำให้เมิ่งฮ่าวไปอยู่ที่ระดับความสูง 150,000 จ้าง ตอนนี้เขาก้าวเท้าออกไปจาก…ดาวตงเซิ่งและก้าวเข้าไปสู่…ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว!

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าคลื่นแห่งแสงและความร้อนอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้ กำลังกดทับลงมาบนร่าง ดูเหมือนจะสามารถหลอมละลายให้เขาหายไปในทันที เวลาเดียวกันนั้นเขาก็มองเห็นต้นไม้สีเหลืองในกลุ่มเมฆลงทัณฑ์ด้วยเช่นกัน ซึ่งจู่ๆ ก็เริ่มพุ่งตรงมาที่เขาอย่างรวดเร็ว

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น

ในตอนที่เขาได้เคลื่อนที่ขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเป็นครั้งสุดท้าย ภาพแห่งธรรมก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นที่ด้านหลัง และไม่ได้มีความสูงที่ห้าพันจ้างอีกต่อไป แต่สูงถึงเจ็ดพันจ้าง!

เจ็ดพันจ้างนี้เทียบได้กับเซียนขั้นเจ็ด หรือเซียนที่สามารถเปิดชีพจรได้เจ็ดสิบจุด สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไปส่วนใหญ่แล้ว เซียนขั้นเจ็ดจะถูกถือว่าเป็นอาณาจักรเซียนขั้นสูงสุด

เหตุผลที่เมิ่งฮ่าวมีภาพแห่งธรรมสูงถึงเจ็ดพันจ้าง ไม่ใช่เพระว่าเขามีชีพจรเซียนเจ็ดสิบจุด เขายังคงมีแค่จุดเดียวเท่านั้น แต่เขากำลังจะทะลวงผ่านเข้าไปได้ทุกขณะจิตแล้ว

ตอนนี้เมื่อเขามีกายเนื้อเซียนแท้ กลิ่นอายก็ถูกกระตุ้นให้เด่นชัดขึ้น ทำให้ชีพจรเซียนตกผลึกแข็งตัวไปมากขึ้นกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม…ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่มันก็ยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ก็เพียงพอที่จะให้เมิ่งฮ่าวสามารถใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังมากที่สุด ในตอนที่เขาได้รับความรู้แจ้งเกี่ยวกับ…สุดยอดสะพานออกมาได้!!

เขาเริ่มใคร่ครวญไปถึงความรู้แจ้งของความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในเศษซากเซียน! สุดยอดสะพาน!

ผู้คนมากมายเคยเห็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์นี้มาแล้ว ดังนั้นถ้าเขาใช้ออกมาในตอนนี้ ตัวตนในฐานะฟางมู่ของเขาก็จะถูกเปิดเผยขึ้น แต่เขาก็ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นเมื่อเขาปลดปล่อยสุดยอดสะพานออกมา มันก็ไม่ได้ดูเหมือนกับสะพาน แต่เป็นต้นไม้ยักษ์

ต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ ที่ปรากฏขึ้นอยู่รอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าวนี้ จริงๆ แล้วก็คือสุดยอดสะพาน ขณะที่มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ก็ระเบิดพลังอันน่าเหลือเชื่อออกมา

เป็นพลังที่ทำให้แสงและความร้อนหายไปในทันที และจากนั้นก็ส่งเสียงกระหึ่มพุ่งตรงไปยังกลุ่มเมฆลงทัณฑ์

เมื่อมันกระแทกเข้าไปในกลุ่มเมฆ พื้นฐานฝึกตนทั้งหมดของเมิ่งฮ่าวก็พุ่งขึ้นมา ส่งพลังทั้งหมดให้ไหลเข้าไปในสุดยอดสะพานที่อยู่ในรูปแบบต้นไม้ยักษ์ ขณะที่มันโจมตีไปอย่างสุดกำลัง!

ตูมมมมม!

เสียงระเบิดขนาดใหญ่ดังก้องขึ้นมา เมื่อสองต้นไม้ยักษ์กระแทกเข้าหากัน ต้นไม้ของกลุ่มเมฆลงทัณฑ์สั่นสะท้านและจากนั้น…ก็พังทลายลงไปอย่างคาดไม่ถึง ชั้นแล้วชั้นเล่า ในที่สุดก็แตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไป

พร้อมกันนั้นสุดยอดสะพานก็สั่นสะท้าน และจางหายไปในที่สุด สุดยอดสะพานทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง แต่พื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะใช้มันออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ด้วยการทุ่มพลังออกมาจนสุดตัว จนถึงจุดที่ใส่พลังชีวิตและวิญญาณของตนเองเข้าไปด้วย ทำให้เขาสามารถทำลายกลุ่มเมฆลงทัณฑ์ลงไปได้โดยสิ้นเชิง

เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน และกระอักโลหิตออกมากองโต แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจอย่างถึงที่สุด

ไม่เคยมีใครจะสามารถต่อสู้กลับไปยังทัณฑ์เซียน โดยการทำลายมันลงไปได้อย่างสิ้นเชิงเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นพลังอันไร้ขอบเขตของสุดยอดสะพานก็ช่างน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง

ขณะที่ต้นไม้ลงทัณฑ์แตกกระจายไป และกลุ่มเมฆลงทัณฑ์หายไป ปราณเซียนก็ระเบิดขึ้นพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว พวกมันผ่านเข้าไปในร่างเขาผ่านรูขุมขน กระจายไปทั่วร่าง เปลี่ยนร่างกายเขาให้กลายเป็นร่างเซียนขึ้นอย่างแท้จริงในทันที ตอนนี้เขาคือผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้ว!

ปราณเซียนไหลเข้าไปในร่างเขาด้วยความบ้าคลั่ง ทำให้เมิ่งฮ่าวมีคุณสมบัติที่จะอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และมองไปยังดวงตะวันได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่คุณสมบัติชั่วคราวเท่านั้น แต่ก็ทำให้เขาอยู่ห่างจากหุบเหวแห่งความตายได้ชั่วระยะเวลาสั้นๆ สำหรับเมิ่งฮ่าว…มันก็เพียงพอแล้ว!

ด้วยความช่วยเหลือจากปราณเซียน ทำให้เขาลอยตัวอยู่ที่นั่นในห้วงอวกาศได้อย่างเยือกเย็น ไม่สนใจต่อกลุ่มเมฆลงทัณฑ์และต้นไม้ของมันอีก ต่อต้านกับแสงและความร้อน ทั้งหมดที่เขากระทำอยู่นี้…ก็เพื่อช่วงเวลาที่มีค่าสิบลมหายใจนี้เท่านั้น

เมิ่งฮ่าวจ้องมองไปยังดวงตะวันขนาดใหญ่ ได้รับการเกื้อหนุนจากปราณเซียน และกายเนื้อเซียนแท้ของตนเอง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ก็มีเพียงคนที่อยู่ในอาณาจักรเต๋าเท่านั้นที่สามารถจะยืนอยู่ที่เบื้องหน้าพลังอันน่ากลัวของดวงตะวันได้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มหลอมละลายไป หลังจากเพียงแค่สามลมหายใจเท่านั้น สองขาของเมิ่งฮ่าวหลอมละลายไปโดยสิ้นเชิง หลังจากหกลมหายใจ สองแขนและร่างของเขาก็หายไป อย่างไรก็ตามดวงตาเขายังคงมีอยู่ กำลังจ้องนิ่งไปยังดวงตะวัน

ความรู้แจ้งแวบขึ้นมาในจิตใจ กฎธรรมชาติ, เวทแห่งเต๋า ได้ไหลเข้ามาในจิตใจ เขารีบดูดซับมันไว้อย่างรวดเร็ว และในเวลาเดียวกันนั้น ก็รักษาความสงบไว้โดยสิ้นเชิง ไม่ใช่ว่าเมิ่งฮ่าวไม่สนใจต่อความตาย แต่เขารู้ว่า…จะไม่ตายไป!

หลังจากเวลาผ่านไปเจ็ดลมหายใจ ร่างกายเขาก็ดูเลือนลางไป เมื่อถึงลมหายใจที่แปด มีดวงตาอยู่หนึ่งข้างที่ยังไม่ได้ละลายไป เมื่อถึงลมหายใจที่เก้าศีรษะเขาเริ่มพังทลายลงไป

ในช่วงเวลาแห่งความตายนี้ เขาเหลือเพียงแค่ดวงตาข้างซ้ายเท่านั้น ซึ่งยังคงจ้องนิ่งไปยังดวงตะวันอย่างต่อเนื่อง เขาไม่รู้สึกตื่นตระหนกแม้แต่น้อยนิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อเขาก้าวเท้าเข้ามาในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวนี้ เป็นสิ่งที่เขาได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกเหนือจากความคาดคิดของเขา

ในที่สุด ช่วงเวลาลมหายใจสุดท้าย…ก็มาถึง!

ในตอนนี้เองที่สติของเมิ่งฮ่าวกำลังจะจางหายไป ดวงตะวันขนาดใหญ่ก็เริ่มเลือนลางลง ในเวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวก็สามารถมองเห็นกฎธรรมชาติอันลึกล้ำได้ เงาขนาดใหญ่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าดวงตะวัน บดบังมันไว้โดยสิ้นเชิง

เมื่อเงานั้นมาบดบังดวงตะวัน ก็ทำให้ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว กลายเป็นมืดสนิทไป แสงและความร้อนจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ความร้อนอันน่ากลัวที่ปกคลุมไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าวหายไป อาณาจักรความเป็นนิรันดร์เริ่มฟื้นฟูร่างกายขึ้นมาในทันที เพียงเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ ร่างกายเขาก็ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอีกครั้ง

เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไปด้วยสีหน้าที่เหมือนเดิมอยู่ตลอดเวลา, สงบนิ่งและมั่นคง เขามองออกไปในความมืดมิดของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นอันใด เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงการคงอยู่ของดวงตะวัน

“ขุนเขาที่เก้าเพิ่งจะบดบังดวงตะวันไป…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ภายในจิตใจได้นึกย้อนไปยังภาพของดวงตะวันที่กำลังถูกปกคลุมไว้ และกฎแห่งธรรมชาติของดวงตะวันที่เขาได้ใคร่ครวญมาตลอดช่วงเวลาสิบลมหายใจนั้น

ในที่สุดเขาก็หลับตาลง รวบรวมชิ้นส่วนภาพของสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้เข้าด้วยกัน และจากนั้นก็ลงไปนั่งขัดสมาธิ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เงาร่างมากมายได้บินขึ้นมาจากดาวตงเซิ่งในทันที บิดาของฟางซีอยู่ในท่ามกลางกลุ่มคนหนึ่งร้อยกว่าคนเหล่านั้น ซึ่งแต่ละคนคือ…ผู้แข็งแกร่งจากกลุ่มสายโลหิตหลัก

สีหน้าพวกมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ใกล้เข้ามายังเมิ่งฮ่าวพวกมันก็ตระหนักถึงสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ และตกตะลึงไปตามๆ กัน

“มันกำลังขบคิดใคร่ครวญความรู้แจ้ง!”

“มีแต่ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าเท่านั้น ที่จะสามารถเผชิญหน้ากับดวงตะวันในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวนี้ได้ แต่เด็กผู้นี้กลับสามารถทำได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าด้วยพื้นฐานฝึกตนของมัน จะสามารถอยู่ได้นานแค่สิบลมหายใจเท่านั้น แต่สำหรับมันแล้วก็ถือได้ว่าเป็นโชควาสนาอย่างน่าประหลาดใจยิ่ง!”

“พวกเราต้องไม่ปล่อยให้ใครมารบกวนมัน” ผู้อาวุโสกลุ่มสายโลหิตหลัก ไปอยู่ในตำแหน่งรอบๆ ร่างเมิ่งฮ่าวในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์เต๋าอย่างฉับพลัน ในที่สุดกลุ่มคนสมาชิกสายโลหิตหลักคนอื่นๆ ก็เข้ามาใกล้ด้วยความตื่นเต้น และประจำตำแหน่งในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์เต๋าด้วยเช่นกัน

ท่ามกลางเสียงกระหึ่ม ดาวตงเซิ่งได้กลับมาโคจรหมุนเวียนเหมือนก่อนหน้านี้ แสงของดวงตะวันจางหายไป และยามราตรีก็ปกคลุมลงมา

การเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ตงเซิงจือหยาง (ตะวันรุ่งบูรพา) ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และโอกาสที่จะได้รับโชควาสนาก็จบลง

ฝานตงเอ๋อร์และผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ จากดาวตงเซิ่งไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ขณะที่พวกมันบินตรงขึ้นไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว แต่ละคนก็มองไปยังเมิ่งฮ่าวเป็นเวลานาน

โจวซิน, ซ่งหลัวตาน, หวังมู่, ไท่หยางจื่อ, ซุนไห่, หลี่หลิงเอ๋อร์…ทั้งหมดต่างก็เป็นเช่นเดียวกัน

ขณะที่พวกมันพุ่งผ่านไป ก็มองเห็นกลุ่มคนสายโลหิตหลักอยู่รอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าว และพวกมันก็พึมพำกับตนเองหนึ่งถึงสองประโยคออกมา

โจวซินมองไปยังเมิ่งฮ่าวและกล่าวขึ้นอย่างเงียบๆ “ข้ากำลังจะกลับไปนั่งเข้าฌาณตามลำพัง และจะไม่ออกมาอีกจนกว่าจะกลายเป็นเซียนแท้!”

“นอกจากมีสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น ข้าจะกลายเป็นเซียนแท้ภายในหนึ่งร้อยวัน!” หลี่หลิงเอ๋อร์กล่าว จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยโทสะ จากนั้นนางก็หมุนตัวและพุ่งตรงไปยังยานบินของนาง

“ฟางฮ่าว จากการเตรียมตัวทั้งหมดที่พวกเราได้ทำมา พวกเราแต่ละคนจะเข้าไปสู่อาณาจักรเซียนขั้นสูงสุด และจะเปิดชีพจรเซียนได้เก้าสิบจุดหรือมากกว่านั้น…” ฝานตงเอ๋อร์กล่าวผ่านร่องฟัน

“ข้าหวังว่าเจ้ายังคงจะพยายามอย่างหนักต่อไป มิเช่นนั้น…เมื่อข้ากลายเป็นเซียนแท้ เจ้าก็จะทำให้ข้าหมดโอกาสที่จะก้าวหน้าเกินไปกว่าเจ้าแล้ว!” หวังมู่กล่าว กำหมัดจนแน่น

พวกมันจากไป และความสนใจในตระกูลฟางของพวกมันได้กลายเป็นฟางฮ่าวไปแล้ว สำหรับคนส่วนใหญ่ ตอนนี้เขาอยู่เหนือกว่าฟางเว่ย…กลายเป็นผู้ถูกเลือกอันดับหนึ่งในรุ่นเดียวกันแล้ว

ฟางเว่ยยังคงนิ่งเงียบ ขณะที่กลับไปยังส่วนลึกในคฤหาสน์โบราณพร้อมกับบิดาและปู่ของมัน มันไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และลงไปยังห้องใต้ดิน ดวงตามันสาดประกายด้วยความมุ่งมั่น ขณะที่มองกลับไปยังบิดาและปู่

“ข้าจะไปฝึกเวท…หนึ่งรำพึงเต๋าอเวจี!” มันประกาศก้องขึ้น

เมื่อบิดามันได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป กล่าวด้วยโทสะว่า

“ไม่ได้! ถึงมันจะเป็นหนึ่งในสี่เวทอันยิ่งใหญ่ของตระกูลฟาง แต่ก็ไม่สมบูรณ์ มันมีอันตรายกว่าเวทหนึ่งรำพึงการเกิดใหม่เป็นอย่างมาก เจ้าต้องมีสัญลักษณ์เวทของปรมาจารย์รุ่นหกอยู่บนร่าง และจะต้องรับผิดชอบตระกูลฟางในอนาคต เจ้าต้องไม่สูญเสียจิตเต๋าไปเพราะการพ่ายแพ้แค่หนึ่งครั้งเท่านั้น!”

“แต่มันก็เป็นเต๋าที่ทรงพลังมากที่สุดในตระกูลฟาง” ฟางเว่ยกล่าวตอบด้วยเสียงเยือกเย็น “ด้วยเวทนี้ ก็จะสามารถเปิดชีพจรเซียนออกได้เก้าสิบแปดจุด ซึ่งมากกว่าเวทหนึ่งรำพึงการเกิดใหม่ถึงสี่จุด ข้าคิดว่าปรมาจารย์รุ่นหกคงจะพอใจเป็นอย่างยิ่ง!”

บิดาฟางเว่ยกำลังจะกล่าวบางอย่างออกมาอีก แต่ปู่ของฟางเว่ยก็หยุดบิดามันไว้ มองไปยังฟางเว่ยอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็กล่าวว่า “เจ้าได้คิดอย่างรอบคอบแล้ว?”

“รอบคอบเป็นอย่างยิ่ง” ฟางเว่ยกล่าวตอบเสียงแผ่วเบา หลับตาลง “ข้าจะฝึกเวทหนึ่งรำพึงเต๋าอเวจี ถ้าข้าใช้เต๋านี้เพื่อกลายเป็นเซียนแท้ ภายในหนึ่งร้อยวัน ถ้าข้าไม่จมลงไปในห้วงอเวจี ก็จะต้องเปิดชีพจรเซียนได้ถึงเก้าสิบแปดจุด!”

“เตีย, เหยียเยี่ย ถ้าข้าล้มเหลว ก็ให้คืนสิ่งของของฟางฮ่าวไป”

“แต่ถ้าข้าทำได้สำเร็จ ก็หมายความว่ามันได้ถูกลิขิตมาตั้งแต่เกิดว่า ให้ช่วยข้าบรรลุถึงเป้าหมาย!” ดวงตามันปะทุขึ้นด้วยแสงอันคมกริบ

บิดาฟางเว่ยไม่กล่าวตอบ แต่ดวงตาสาดประกายขึ้น ขณะที่พยักหน้าให้ จากนั้นก็หันหลังออกจากห้องลับไป

ปู่ของฟางเว่ยชะงักคำพูดไว้ เมื่อได้เห็นความมุ่งมั่นของฟางเว่ย มันก็ถอนหายใจออกมา ในเวลาเดียวกันนั้น จิตใจมันก็พุ่งขึ้นมาด้วยความต้องการจะสังหารเมิ่งฮ่าวไป

“ไม่ว่าเว่ยเอ๋อร์จะทำได้สำเร็จหรือไม่ ฟางฮ่าว…เจ้าต้องไม่มีชีวิตอยู่ถึงหนึ่งร้อยวันเป็นแน่!” ด้วยสีหน้าที่หมองคล้ำ มันหันหลังและจากไป

เวลาผ่านไป หลังจากที่เสร็จสิ้นปรากฏการณ์ตงเซิงจือหยาง (ตะวันรุ่งบูรพา) ผู้ถูกเลือกที่อยู่ในตระกูลและสำนักต่างๆ แห่งขุนเขาทะเลที่เก้า เริ่มไปนั่งเข้าฌาณตามลำพังกันทั้งหมด

ถึงเวลาสำหรับพวกมันแล้ว…ที่จะทะลวงผ่านเข้าไปในอาณาจักรเซียนแท้!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!