บทที่ 99 พวกเจ้าก็เป็นเพียงแค่กลุ่มตัวเล็กตัวจ้อยเท่านั้น (ต้น)
เยี่ยฉวนสับสนไปหมด!
“ใครตีข้า?”
เขากระโดดขึ้นฟ้าพลางควงกระบี่หลิงเซี่ยวและมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มไม่พบอะไรทั้งนั้น
เขาถอนสายตากลับมาและมองไปที่กระบี่หลิงเซี่ยว จากร่องรอยบนกระบี่หลิงเซี่ยว เยี่ยฉวนสังเกตเห็นรอยอุ้งเท้าเล็กๆ อยู่ตรงใบหน้าด้านขวา ทันทีที่เห็นมัน ใบหน้าของเขาก็จมดิ่งลงไป!
เขาจำรอยเท้านี้ได้!
มันเหมือนกับรอยอุ้งเท้าบนกระดาษที่ลอยออกมาจากชั้นที่สองของหอคอยเรือนจำ!
“มันสามารถออกมาได้หรือไม่?”
เมื่อคิดได้ดังนี้ เยี่ยฉวนก็เหงื่อแตกพลั่ก ถึงกับรีบร้อนตรงดิ่งกลับไปที่หอคอยแห่งเรือนจำทันที อย่างไรเสีย ตอนนี้หอคอยก็ยังดูสงบนิ่งไม่ไหวติง! ส่วนชั้นบนนั้นก็เงียบสนิท!
เยี่ยฉวนมองไปที่ทางขั้นชั้นสองของหอคอยด้วยสีหน้าแปลกๆ
เยี่ยฉวนมั่นใจ คนที่ตีเขาเมื่อครู่ต้องเป็นคนที่อยู่ในชั้นสองแน่ๆ แต่กระนั้นเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้!
“แล้วถ้าเป็นการดวลแบบตัวต่อตัวเล่า? ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรือไร?”
“ข้าไม่กล้าทำให้มันขุ่นเคืองหรอก! ยังไงก็ทำไม่ได้จริงๆ!”
เยี่ยฉวนสัมผัสใบหน้าด้านขวาที่ปวดแสบปวดร้อนของตัวเอง จากนั้นจึงได้หมุนตัวเดินออกจากหอคอยไป
เที่ยงวัน
ภายในห้องโถงฉางหลาน ทุกคนนั่งรอบโต๊ะ บนโต๊ะนั้นมีจานเนื้อสัตว์และผักมากกว่าครึ่งที่ส่งกลิ่นหอมหวลชวนหิว
น่าแปลกที่จี้อันซื่อไม่แม้แต่จะขยับตะเกียบ นางลิ้มรสอาหารในจานเหล่านั้นเพียงเล็กน้อยก่อนจะให้ความสนใจกับภาพที่ถืออยู่ในมือมากกว่า ทุกคนล้วนชินกับกริยาเช่นนี้
หนนี้ชายชราจี้กล่าวอย่างกะทันหันว่า “ได้เวลาออกเดินทางหลังจากอาหารมื้อนี้แล้ว!”
“จะไปแล้วหรือ?”
เยี่ยฉวนเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์จี้ “พวกท่านจะไปที่ชายแดนภูเขาด้วยหรือไม่?”
อาจารย์ใหญ่จี๋ส่ายศีรษะ “ข้าจะพาเจ้าพวกนี้ไปฝึกที่อื่น”
เยี่ยฉวนพยักหน้ารับก่อนจะมองไปยังโม่อวิ๋นฉีและไปเจ๋อ “รักษาตัวด้วย!”
ไปเจ๋อพยักหน้า “เจ้าก็เช่นกัน!”
โม่อวิ๋นฉีเหยียดยิ้ม “เจอกันครั้งหน้า ค่อยเอาผลการฝึกของพวกเรามาเปรียบเทียบดูกันเถอะ”
เยี่ยฉวนคลี่ยิ้ม ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก เยี่ยหลิงที่อยู่ข้างๆ เมื่อหลังได้ยินดังนั้นก็พลันพูดเบาๆ ส่งเสียงขึ้นมาว่า “พวกท่านเอาชนะท่านพี่ของข้าไม่ได้หรอก!”
โม่อวิ๋นฉีกลอกตา “ถูกแล้ว ท่านพี่ของเจ้าน่ะดีที่สุดเลย!”
บัดนี้เขารู้แล้วว่าในสถานสำนักศึกษาแห่งนี้ คนสุดท้ายที่เขาจะสามารถทำให้ขุ่นข้องหมองใจได้คงเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนี้กระมัง นางนั่งอยู่ในใจของทุกคน นอกจากปรุงอาหารแล้ว นางยังสามารถไปซื้อสุราให้กับอาจารยใหญ่จี้ และหาของกินไว้สำรองตอนเที่ยงคืนสำหรับจี้อันซื่อได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางไม่เคยรังเกียจที่จะช่วยพวกเขาซักเสื้อผ้า อย่างไรก็ดี ไปเจ๋อชื่นชอบเยี่ยหลิงมาก! หากเขากล้าทำให้นางขุ่นเคืองแม้แต่น้อย นั่นก็เท่ากับว่าเขาทำให้ทุกคนขุ่นเคืองไปด้วย
เยี่ยหลิงยิ้มหวานก่อนจะใส่เนื้อติดมันลงในชามของเยี่ยฉวน “ท่านพี่ ท่านต้องกินนี่สิเจ้าคะ!”
เยี่ยฉวนลูบศีรษะเล็กๆ ของเยี่ยหลิงอย่างแผ่วเบา ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความเอ็นดูสุดหัวใจ
โม่อวิ๋นฉีส่ายหน้าทันทีและได้แต่ถอนหายใจ “โธ่เอ๊ย ทำไมนางไม่ใช่น้องสาวของข้ากันนะ!”
ทุกคนมองหน้ากันแล้วยิ้ม
หลังจากผ่านไปได้ครึ่งชั่วยามดี อาจารย์จี้จึงพาโม่อวิ๋นฉี และไปเจ๋อลงจากภูเขา
ข้างใต้ภูเขานั้น โม่อวิ๋นฉีโบกมือให้กับเยี่ยฉวน “แล้วเจอกัน ไว้คราวหน้าท่านมาเป็นคู่มือให้ข้าอีกล่ะ!”
เยี่ยฉวนยิ้มตอบ “ได้เลย!”
ไปเจ๋อบอกลาเยี่ยฉวนเล็กน้อย “พวกเจ้ารักษาตัวด้วยนะ!”
หลังจากนั้นเมื่อหันกลับมาพร้อมกับโม่อวิ๋นฉี ชายแก่จี้จึงเดินนำทุกคนอยู่ข้างหน้า
เยี่ยฉวนพาเยี่ยหลิงเดินไปหาจี้อันซื่อด้วยกัน เขาสบตากับนางนิ่งพลางถาม “หากน้องสาวข้าอยู่ที่นี่นางจะปลอดภัยหรือไม่?”
จี้อันซื่อจ้องตาเยี่ยฉวนแต่ไม่ได้พูดอะไร
เยี่ยฉวนเองก็มองไปที่นางโดยไม่มีคำพูดอื่นใดเช่นกัน
ทันใดนั้นจี้อันซื่อก็เอนตัวไปข้างหนึ่ง นาทีต่อมาพลันปรากฏกระบี่บางเท่าปีกของจักจั่นอยู่ในมือของนาง เพียงพริบตาหญิงสาวก็อยู่ห่างออกไปหลายจั้งแล้ว ขณะที่นางหยุดฝีเท้าไว้ พื้นดินด้านหลังก็พลันแยกออกจากกันพร้อมกับเสียงดังฉ่า
รอยแยกนั้นดูลึกลงไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด!
ไม่เพียงเท่านั้น มันยังมีพลังลึกลับแฝงอยู่ในรอยแยกที่แตกออก
เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว เยี่ยฉวนก็พลันหรี่ตาลง ลึกๆ ข้างในแล้วเขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก!
เป็นเพราะว่านี่คืออะไรที่เขาไม่เคยจินตนาการหรือนึกถึงมาก่อน!
ทักษะมีดจำแลง!
“เจ้าคนคลั่งอาหารตรงหน้าข้านี่ทรงพลังถึงขนาดนี้เชียวรึ?”
เมื่อนึกถึงวันนั้นที่นักกินคนนี้เกือบจะสังหารเขาด้วยกระบี่ ในที่สุดตอนนี้ชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกว่านางน่ากลัวขึ้นมาแล้ว!
จากนั้นเยี่ยหลิงก็เดินไปหาเยี่ยฉวน นางหยิบกระเป๋าออกมาคล้องไว้กับท่อนแขนแข็งแรงของผู้เป็นพี่ชาย “ท่านพี่ ข้างในนี้มีรองเท้าที่ข้าถักให้อยู่ นอกจากนี้ข้ายังเตรียมอาหารแห้งเผื่อเอาไว้สำหรับตอนที่ท่านพี่ออกเดินทางไปแล้วด้วย เมื่อออกไปข้างนอกแล้ว จงต่อสู้ให้น้อยลงและระวังอย่าให้ตัวเองต้องบาดเจ็บ ส่วนตัวข้าเมื่ออยู่ที่นี่ก็จะรักษาเนื้อรักษาตัว ดังนั้นท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงข้านะเจ้าค่ะ”
เยี่ยฉวนลูบศีรษะเล็กๆ ของเยี่ยหลิงอย่างอ่อนโยน “คอยข้ากลับมาล่ะ!”
หลังจากนั้นเขาก็สะพายกระเป๋าขึ้นบ่าและเริ่มออกเดินทางไกล
แม้ว่าเขาไม่เต็มใจที่จะต้องอยู่ห่างจากน้องสาว แต่เขาก็ไม่ชอบอยู่เฉย ผู้ชายที่ยิ่งใหญ่ควรมีลักษณะมองไปข้างหน้า เมื่อมีบางสิ่งที่จำเป็นต้องลงมือทำ ก็จงทำเสีย ดีกว่าผัดวันประกันพรุ่งจนติดนิสัยเสียกลายเป็นดินพอกหางหมู!
ในสายตาของเยี่ยหลิง แผ่นหลังของเยี่ยฉวนค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ
เยี่ยหลิงไม่ร้องไห้ นางยังคงเฝ้ามองอย่างไม่ละสายตาแม้ว่าร่างของเยี่ยฉวนจะหายไปอย่างสมบูรณ์ในระยะไกลที่สุดแล้วก็ตาม
หลังจากนั้นไม่นานนางก็หันกลับมา ก่อนจะเดินไปที่ด้านข้างของจี้อันซื่อก่อนจะจับมือแน่น “พี่จี้ พวกเราไปกันเถอะ!”
จี้อันซื่อเหลือบมองเยี่ยหลิง “เจ้าไม่ต้องกังวลนะ”
เยี่ยหลิงยิ้มกว้าง “ท่านพี่บอกว่าให้ข้ารอ หากท่านพี่สัญญาแล้วอย่างไรก็ต้องกลับมาแน่! แล้วจากนั้นท่านพี่ก็จะไม่ไปไหนอีก!”
จี้อันซื่อพยักหน้า นางทอดสายตาออกไปไกล ส่ายหน้าเล็กน้อยเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ช่างเป็นชายที่แสนดีอะไรเช่นนี้ น่าเสียดายที่เขานิยมชมชอบแต่บุรุษเพศด้วยกันเท่านั้น……”
……
หลังจากที่เยี่ยฉวนลงมาจากภูเขา เขาก็ตรงไปที่ฐานจอดเรือเหาะของสำนักอัปสรเมรัยข้างนอกเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิทันที การที่จะไปพื้นที่ชายแดนภูเขานั้น ย่อมต้องอาศัยการโดยสารเรือเหาะเป็นยานพาหนะในการเดินทาง
แต่ทันทีที่เขาออกจากเมืองไป กลับมีคนอีกกลุ่มที่รีบร้อนออกจากเมืองด้วยเช่นกัน
หากสังเกตจากเครื่องแบบที่สวมใส่อยู่ จะเห็นได้ชัดว่าพวกนั้นคือลูกศิษย์จากสำนักศึกษาฉางมู่!
นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เยี่ยฉวนได้สังหารศิษย์ของสำนักศึกษาฉางมู่ไป ผู้คนที่เหลือก็เอาแต่ครุ่นคิดหาวิธีแก้แค้นมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ด้วยความผิดพลาดบางอย่าง จึงทำให้พวกเขาจำต้องละสายตาจากเยี่ยฉวนไป แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่อาจยอมแพ้ง่ายๆ คณะศิษย์จากสำนักศึกษาฉางมู่อาศัยกบดานอยู่ที่โรงเตี๊ยมเชิงเขาของสำนักศึกษาฉางหลานตลอดเวลา หลังจากที่ได้ยินข่าวว่าเยี่ยฉวนจะลงมาจากภูเขา พวกเขาก็รุดมาถึงที่นี่แทบจะในทันที
……เยี่ยฉวนชะงักฝีเท้า
— จบตอน —



