Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1172

ตอนที่ 1172

เซิ่งจู่เทศนาเต๋า

แสงยามรุ่งอรุณค่อยๆ สาดส่องลงมาอย่างช้าๆ ประตูเปิดออก และปรมาจารย์ซ่งก็เดินออกมา ท่านมีท่าทางแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ ไม่ได้ดูเหมือนกับชายชราที่เก่าแก่โบราณอีกต่อไป แต่ดูมีอายุน้อยลง และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้อาการบาดเจ็บที่ท่านได้รับในช่วงสงครามครั้งนั้นถูกรักษาจนหายดี และดูกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นกว่าเดิม

ปรมาจารย์ซ่งลูบไปที่ถุงสมบัติอย่างไม่รู้สึกตัว ภายในคือ…ต้นเถาวัลย์ประกายเซียน เป็นของกำนัลจากเมิ่งฮ่าว ทำให้ท่านมีความหวังที่จะบรรลุถึงขั้นเซียน…

เมื่อออกไปจากกระท่อมไม้สองสามก้าว ปรมาจารย์ซ่งหมุนตัวกลับมาประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ จากนั้นก็มองขึ้นไปทางด้านหลังอยู่ชั่วขณะก่อนจะจากไป กลุ่มคนตระกูลซ่งต่างก็ตกตะลึงต่อรูปร่างหน้าตาของปรมาจารย์ตนเอง พวกมันตระหนักขึ้นอย่างรวดเร็วว่าท่านได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน

ขณะที่กลุ่มผู้ฝึกตนตระกูลซ่งกำลังจะจากไปพร้อมกับปรมาจารย์ ฉับพลันนั้นก็มีลำแสงพุ่งออกมาจากกระท่อมไม้ตรงไปยังซ่งเจีย

ได้ยินเสียงเมิ่งฮ่าวดังขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าดีใจที่ได้พบกับสหายเก่าอีก โปรดรับของกำนัลนี้ไว้ มันจะช่วยหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ช่วยให้ท่านสามารถทะลวงผ่านพื้นฐานฝึกตนได้ง่ายมากขึ้น”

ซ่งเจียมองไปยังแสงที่กำลังลอยอยู่ตรงหน้า มันคือหยกเวทสีเขียวมรกตที่กระจายปราณเซียนออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งของธรรมดา

จากนั้นนางก็มองกลับไปยังกระท่อมไม้ ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ในที่สุดนางก็หยิบหยกชิ้นนั้น และจากไปพร้อมกับผู้ฝึกตนตระกูลซ่ง

ถึงตระกูลซ่งจะจากไป แต่ผู้ฝึกตนดินแดนด้านใต้ก็ยังคงมาถึงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงยามอู่สือ (11 โมงเช้าถึงบ่ายโมง) ก็ไม่มีที่ว่างเหลืออยู่อีก กลุ่มผู้ฝึกตนบดบังไปทั่วทั้งท้องฟ้า ขยายยืดยาวออกไปในทั่วทุกทิศทาง

เมื่อเมิ่งฮ่าวเสร็จสิ้นการหวนรำลึกถึงรูปปั้นที่อยู่ในกระท่อมไม้ ก็เดินออกมาพร้อมกับถอนหายใจ ในทันทีที่เขาปรากฏกายขึ้น กลุ่มผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นต่างก็ประสานมือและโค้งตัวลงด้วยความตื่นเต้น

“ขอน้อมพบ เซิ่งจู่!!”

“ขอน้อมพบ เซิ่งจู่!!” เสียงคนทั้งหมดดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง จนถึงขั้นที่ผู้ฝึกตนอื่นๆ ที่ไม่อาจจะมองเห็นเมิ่งฮ่าวได้ ต่างก็โค้งตัวลงและเริ่มร้องตะโกนออกมาด้วยเช่นกัน เสียงคนทั้งหมดราวกับเป็นเสียงฟ้าร้องคำรามดังกระหึ่มไปทั่วทุกที่

ผู้แข็งแกร่งมากที่สุดของแต่ละสำนัก ก้าวเดินออกมาเพื่อน้อมคารวะด้วยความตื่นเต้น

“เจ้าสำนักจื่อยิ่นขอน้อมพบ เซิ่งจู่!!”

“เจ้าสำนักเซี่ยเยาขอน้อมพบ เซิ่งจู่!!”

เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ ยังผู้ฝึกตนทั้งหมด มีอยู่หลายคนที่เขาจดจำได้ เขายิ้มออกมานั่งลงขัดสมาธิไปบนขั้นบันไดของกระท่อมไม้

“ขอต้อนรับสหายเต๋าทั้งหลาย สู่บ้านข้าด้วยความยินดี เมิ่งโหม่วไม่ได้กลับมานานหลายปีแล้ว จึงขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันดูแลด้วยความห่วงใย โปรดรักษาสถานที่แห่งนี้ไว้เหมือนเช่นที่ผ่านมา”

“นี่คือความเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่ผู้ฝึกตนแห่งดินแดนด้านใต้ทั้งหลายได้แสดงต่อเมิ่งโหม่ว ดังนั้นข้าจะเทศนาเต๋าในที่แห่งนี้เป็นเวลาเจ็ดวัน ในช่วงเวลานั้นผู้ฝึกตนดินแดนด้านใต้ทั้งหมดสามารถมาร่วมรับฟังกันได้”

“ข้าจะอธิบายถึงสิ่งที่ข้าเข้าใจเกี่ยวกับการฝึกตน ซึ่งเกี่ยวข้องกับขั้นตอนที่แตกต่างกัน และจะอธิบายว่าข้าได้รับความรู้แจ้งได้อย่างไร” ด้วยเช่นนั้นเขาจึงโบกสะบัดชายแขนเสื้อ ทำให้ก้อนเมฆแยกตัวออกจากกัน แสงตะวันอันเจิดจ้าสาดประกายลงมา และกลิ่นอายเซียนก็กระจายออกไป แทบจะทันใดนั้นเองทั่วทุกแห่งหนก็ดูคล้ายกับเป็นสวรรค์ชั้นฟ้า

“หลังจากที่เฝ้าศึกษาด้วยความระมัดระวัง” เมิ่งฮ่าวเริ่มกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าก็พบว่าเต๋าแห่งฟ้าดิน และเต๋าของตนเอง จงใจที่จะเปลี่ยนธรรมชาติของคนผู้หนึ่งไป…” เขาเลือกที่จะประทานโชควาสนาให้กับผู้ฝึกตนดินแดนด้านใต้ ด้วยความรู้สึกขอบคุณที่พวกมันมาช่วยดูแลบ้านเดิมของตนเอง และด้วยความรู้สึกว่า…สถานที่แห่งนี้คือบ้านของตนเอง ซึ่งแตกต่างไปจากดาวตงเซิ่ง

“ดังนั้น การฝึกตนก็อาจจะเรียกว่า ‘ซิวเจิน’ (修真 – การฝึกฝนเพื่อค้นหาความจริง) ได้เช่นเดียวกัน สองตัวอักษรนี้ประกอบขึ้นมาจาก ตัวอักษรแรกที่หมายถึงวิธีการ และตัวที่สองหมายถึงสภาพจิตใจ…” เสียงของเมิ่งฮ่าวดูเหมือนจะประกอบไปด้วยพลังที่แปลกๆ พุ่งกระจายออกไปในทั่วทุกทิศทาง ทำให้กลุ่มผู้ฟังทั้งหมด ไม่ว่าจะมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ระดับใดก็ตามที ต้องผ่านเข้าไปในสภาวะที่แปลกๆ เช่นเดียวกัน

“กล่าวอย่างเรียบง่ายก็คือ มันเหมือนกับสิ่งที่ข้าเคยอธิบายให้กับใครบางคนฟังเมื่อครั้งหนึ่งถึงความแตกต่างของอาณาจักรแห่งชีวิต”

“ในอดีตที่ผ่านมา มีผู้คนมากมายได้ถามข้าว่าเต๋าคืออะไร…คำตอบของข้าแตกต่างกันออกไปในแต่ละโอกาส, แต่ละสถานการณ์ และระดับพื้นฐานการฝึกตนของข้าเอง จริงๆ แล้ว ข้ามีคำตอบที่แตกต่างกันไปในทุกครั้ง ถ้ามีใครมาถามข้าในครั้งต่อไปก็ไม่แน่ใจว่าคำตอบนั้นจะคืออะไร?”

“แต่ก็สามารถจะบอกได้ว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาก่อน นั่นก็คือ…ข้าไม่รู้ว่าเต๋าคืออะไร มีคำตอบอยู่มากมายเกี่ยวกับคำถามนี้ สิ่งที่ข้ารู้ทั้งหมดก็คือว่า…ข้ากำลังไล่ตามหาอิสรภาพและเสรีภาพ เพื่อหลุดพ้นไร้ข้อผูกมัดใดๆ นั่นคือความจริงของข้า และคือเต๋าของข้าเอง!”

“ในการฝึกฝนเพื่อค้นหาความจริง สิ่งที่พวกเราฝึกฝนก็คือ…จิตใจ” เสียงเมิ่งฮ่าวดังสะท้อนไปมา ขณะที่ชี้แจงถึงความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋าของตนเอง และอธิบายถึงความรู้แจ้งที่ได้รับมาเกี่ยวกับการฝึกตน คำพูดเหล่านี้คล้ายกับเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของผู้ฝึกตนทั้งหลาย

บางทีพวกมันส่วนใหญ่อาจจะไม่เคยรู้สึกว่า มีเมล็ดถูกฝังอยู่ในชีวิตของพวกมัน หรือบางที…อาจจะมีใครบางคนบรรลุถึงจุดที่การฝึกตนของพวกมัน หรือได้รับความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาในทันใด ทำให้พวกมันได้รับโชควาสนาที่อยู่ในเมล็ดพันธุ์ซึ่งเมิ่งฮ่าวได้ปลูกฝังไว้ในจิตใจพวกมัน

สามารถกล่าวได้ว่าสิ่งที่เมิ่งฮ่าวมอบให้กับพวกมัน…ไม่ใช่เพียงแค่โอกาสที่จะได้รับความรู้แจ้งเท่านั้น แต่เป็น…เส้นทางที่จะกลายเป็นเซียน มอบโอกาสที่ถูกต้องให้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกมันที่จะเดินตามวิถีทางของเมิ่งฮ่าว และบรรลุกลายเป็น…เซียนแท้

แต่ถึงแม้ว่าพวกมันไม่อาจจะทำได้ ก็ยังได้รับความรู้แจ้งจากเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น และทะลวงผ่านอาณาจักรวิญญาณออกไปจนกลายเป็น…เซียนเทียม!

สามารถจะกล่าวได้ว่าเมล็ดเซียนที่เมิ่งฮ่าวมอบให้กับผู้ฝึกตนแห่งดินแดนด้านใต้นี้ ไม่เหมือนกับเมล็ดเต๋าที่อยู่ในสายโลหิตของตระกูล แต่มันก็เป็นความเมตตาของเขา ด้วยความหวังว่าผู้ฝึกตนที่บ้านเดิมของตนเองจะแข็งแกร่งมากขึ้นกว่านี้

“ถ้าจิตใจของพวกท่านแน่วแน่มั่นคง แม้แต่ฟ้าดินก็ไม่อาจจะเหยียบย่ำได้ สิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตามไม่อาจจะทำลายมันไปได้ ไม่จำเป็นต้องก้มศีรษะให้กับผู้ใด และสามารถจะก้าวหน้าไปโดยไร้ความลังเลใดๆ ไม่มีทางจะหยุดการก้าวไปข้างหน้าได้ นี่คือความหมายของการฝึกฝนจิตใจ และฝึกฝนเพื่อค้นหาความจริง มันคือการเดินทางไปบนวิถีแห่งการฝึกตนอย่างยาวนาน”

“ชั่วชีวิตที่ทำการฝึกตนของข้า เริ่มต้นจากขั้นรวบรวมลมปราณ และกลายเป็นข้าในตอนนี้ ได้พบเจอกับอุปสรรคและการเปลี่ยนแปลงมาอย่างมากมาย ข้าจะหลอมรวมร่างกาย, จิตใจ และวิญญาณของข้าเข้าไปในภาพที่คล้ายกับเป็นวิญญาณในจิตใจของพวกท่าน ให้สังเกตและไตร่ตรองใคร่ครวญดู มันจะกลายเป็นความจริง, เป็นเส้นทาง และจิตใจที่พวกท่านต้องฝึกฝน!” เสียงของเมิ่งฮ่าวดูเหมือนจะลึกล้ำและเก่าแก่โบราณ ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่บนเกาะหรือที่ไหนก็แล้วแต่ในบริเวณนั้น ต่างก็สั่นสะท้านและมีอยู่หลายคนที่ได้รับความรู้แจ้งขึ้นมาในทันที

เวลาผ่านไป ขณะที่เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ด้านนอกกระท่อมไม้พูดคุยเกี่ยวกับเต๋า ผู้ฝึกตนดินแดนด้านใต้ก็มาถึงมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ผู้คนจากดินแดนสีดำก็ยังมาด้วยช่นกัน ตลอดทั้งช่วงเจ็ดวันนั้น เกาะแห่งนี้ได้กลายเป็นจุดสนใจของดินแดนด้านใต้ทั้งหมด

ขณะที่เมิ่งฮ่าวพูดจา ก็ดูเหมือนว่าทุกประโยคทุกคำพูดเหล่านั้น เขากล่าวออกมาจากธรรมชาติของตนเอง และประกอบไปด้วยเต๋าอันยิ่งใหญ่ อันที่จริงก็มีผู้เข้าฟังบางคนที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา สามารถจะทะลวงผ่านได้ในทันทีอีกด้วย

เนื่องจากเช่นนั้น ทำให้พลังลมปราณในที่แห่งนั้นเริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้น และปราณเซียนก็ถูกสร้างขึ้นมามากขึ้น การฝึกตนในที่แห่งนี้หนึ่งวันก็คล้ายกับการฝึกตนในสถานที่แห่งอื่นหนึ่งปี

สถานที่แห่งนี้สมกับที่ถูกเรียกว่า…ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วในตอนนี้!

เมื่อถึงวันที่สาม ไม่เพียงแต่ผู้ฝึกตนเท่านั้นที่มารวมตัวกันบริเวณรอบๆ เกาะศักดิ์สิทธิ์ สัตว์ป่าจำนวนมากได้ปรากฏขึ้น ปกติแล้วจะเห็นว่าพวกมันมีความป่าเถื่อนดุร้าย แต่ตอนนี้พวกมันกลับเชื่องอย่างน่าแปลกใจ ในที่สุดก็เต็มอยู่ในบริเวณนั้น แทบจะดูเหมือนว่าพวกมันสามารถจะเข้าใจในสิ่งที่เมิ่งฮ่าวกำลังกล่าวออกมา และกำลังได้รับความรู้แจ้ง

ผู้ฝึกตนและสัตว์ป่าสามารถได้รับความรู้แจ้งแห่งเต๋าไปด้วยกันในเวลาเดียวกัน ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสงบสุขร่มเย็น

ถ้ามองไปรอบๆ ก็จะเห็นงูเหลือมขนาดใหญ่กำลังได้รับความรู้แจ้ง หรือมีสือหู่โซ่ว (สัตว์ผสมที่เกิดจากสิงโตตัวผู้และเสือตัวเมีย) กำลังหมอบกราบสักการะอยู่ บ้างก็เป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งซึ่งพบเห็นได้ยาก แต่พวกมันก็มาอยู่ที่นี่ ราวกับว่ามาเข้าร่วมพิธีการบางอย่างที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ได้รับความรู้แจ้งจากเสียงที่เต็มไปด้วยเต๋าของเมิ่งฮ่าว

วิหคบินเป็นวงกลมอยู่ในท้องฟ้าเหนือศีรษะ และมัจฉาก็กระโจนขึ้นมาจากน้ำในทะเลสาบ ขณะที่พวกมันพยายามจะรับฟังให้ชัดเจนมากไปกว่านี้ แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็ได้รับผลประโยชน์จากเต๋า และเริ่มส่ายไหวไปมาด้วยความอ่อนโยน และกระจายพลังลมปราณออกมา

ดินแดนด้านใต้สั่นสะเทือนราวกับว่ากำลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่

ขณะที่เมิ่งฮ่าวเทศนาเกี่ยวกับเต๋าอยู่นั้น ผู้ฝึกตนตระกูลฟางก็วุ่นวายเกี่ยวกับการจัดเตรียมงานพิธีรับมอบตำแหน่งผู้นำตระกูล ในดินแดนตะวันออกอันกว้างใหญ่ได้เตรียมการเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว แท่นบูชาและวิหารจำนวนมากถูกสร้างขึ้นมา ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลก็ถูกติดตั้งขึ้นมาด้วยเช่นกัน

งานพิธีจะเริ่มขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า และบัตรเชิญต่างๆ ก็ถูกส่งออกไปผ่านประตูเคลื่อนย้ายทางไกล ไปยังสำนักและตระกูลต่างๆ ในขุนเขาทะเลที่เก้า ทำให้ขุนเขาทะเลที่เก้าทั้งหมดตกอยู่ในเสียงหึ่งๆ เกี่ยวกับข่าวคราวที่ฟางซิ่วเฟิงกำลังจะกลายเป็นผู้นำตระกูล

เรื่องนี้ไม่เพียงแต่จะสำคัญต่อตระกูลฟางเท่านั้น แต่ยังเป็นเหตุการณ์ใหญ่สำหรับขุนเขาทะเลที่เก้าทั้งหมดอีกด้วย การตัดสินใจว่าใครจะกลายเป็นผู้นำตระกูล มีผลกระทบต่อคนทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผู้นำตระกูลเป็นบุคคลที่รักการต่อสู้และก่อสงคราม ก็สามารถจะทำนายได้เลยว่า ขุนเขาทะเลที่เก้าจะเกิดสงครามขึ้นในไม่ช้า

ถ้าผู้นำตระกูลอ่อนแอและเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน ก็คงหนีไม่พ้นจากปัญหาอื่นๆ ที่จะตามมา

อย่างไรก็ตาม…ก่อนที่ฟางซิ่วเฟิงจะถูกส่งตัวมาเป็นผู้พิทักษ์บนดาวหนานเทียนแห่งนี้ ท่านเป็นบุคคลที่รู้จักกันดีในขุนเขาทะเลที่เก้า มีสหายอยู่มากมาย พร้อมกับศัตรูไม่น้อย

อันที่จริงสำนักและตระกูลทั้งหลายต่างก็เคยมีปฏิสัมพันธ์กับท่านเมื่อในอดีต และรู้จักท่านเป็นอย่างดี เป็นที่เลื่องลือในฐานะที่เป็นคนพูดน้อย แต่เมื่อไหร่ที่พูดขึ้นมา ก็มักจะทำตามในสิ่งที่พูดเสมอ เป็นบุคคลที่เข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ มีความคิดที่ลึกล้ำ มากประสบการณ์

ท่านมีกลยุทธ์อยู่มากมายหลายแบบ มีการจัดการที่เด็ดเดี่ยวเฉียบขาด แต่ก็ไร้ชื่อเสียงที่ด่างพร้อย ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เมิ่งฮ่าวยังเยาว์ สมาชิกในตระกูลบางคนโลภมากอยากได้ผลเนี่ยผานของเขา มองไปยังเมิ่งฮ่าวราวกับว่าต้องการจะกินเขาลงไป เมิ่งฮ่าวร้องไห้วิ่งไปหาบิดาบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

ราตรีนั้นฟางซิ่วเฟิงก็กวัดแกว่งกระบี่ออกไปอาละวาด ทำการสังหารกลุ่มคนในตระกูลไปสิบกว่าคนในคืนเดียว ไม่เพียงแต่ตระกูลฟางจะตกตะลึงเท่านั้น แม้แต่ขุนเขาทะเลที่เก้าต่างก็ตื่นตระหนกไปด้วยทั้งหมด

นับจากนั้นมา คนทั้งหมดต่างก็รู้ว่าฟางซิ่วเฟิงคือ…บุคคลที่มีจิตใจรักการปกป้องคุ้มครองเป็นอย่างยิ่ง ปกป้องคุ้มครองจนถึงระดับที่ยากจะอธิบายออกมาได้

ด้วยบุคลิกส่วนตัวเช่นนั้น ทำให้ฟางซิ่วเฟิงมีสหายอยู่มากมาย และในเวลาเดียวกัน…ก็มีศัตรูอยู่ไม่น้อย

สามารถจะคาดคิดได้ว่าเมื่อถึงวันพิธีจะยุ่งวุ่นวายและน่าตื่นเต้นถึงเพียงไหน เมื่อสำนักและตระกูลต่างๆ แห่งขุนเขาทะเลที่เก้ามาร่วมแสดงความยินดี แม้แต่ศัตรูของท่านบางคนอาจจะมาขอท้าประลองต่อสู้ ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อแบ่งปันเคล็ดลับการต่อสู้

นั่นคือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นเมื่อใครบางคนได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลหรือเจ้าสำนัก นอกจากนี้เมื่องานพิธีเสร็จสิ้นลง เรื่องส่วนตัวของคนผู้นั้นก็จะไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของตนเองอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นเรื่องส่วนรวมของตระกูลหรือสำนักทั้งหมด

หลังจากวันนั้น ความไม่พอใจทั้งปวงก็จะเลิกล้มไป

แน่นอนว่ามันเป็นเพียงพิธีการเท่านั้น ปกติแล้วจะไม่มีใครเลือกที่จะมาท้าทายเช่นนี้ เว้นแต่ว่าจะมีศัตรูที่ไม่ยอมอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันเท่านั้น ใครก็ตามที่จะกลายเป็นผู้นำตระกูลหรือเจ้าสำนัก จะต้องมีพื้นฐานฝึกตนที่แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ เป็นผู้ที่แข็งแกร่งจนสามารถจะช่วยเหลือคนทั้งหมดที่อยู่รอบตัวได้ ดังนั้นเรื่องเช่นนั้นก็แค่ช่วยให้คนผู้นั้นสามารถแสดงพลังการต่อสู้ และโจมตีไปอย่างน่ากลัวอยู่ในจิตใจของผู้ชมทั้งหมด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!