Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1616

ตอนพิเศษ 2

ฉู่อวี้เยียน

ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ รอบๆ บริเวณนั้นกลายเป็นสีดำสนิท บางทีอาจจะไม่ใช่เป็นเพราะยามราตรี แต่เป็นเพราะว่าจิตใจข้าหม่นหมอง

ข้าเลือกที่จะคงอยู่แต่ในความมืด ข้าไม่ต้องการลืมตาขึ้นมา ข้าไม่ต้องการรับรู้โลกภายนอก ข้าต้องการมีชีวิตอยู่ในโลกของตนเอง ข้าไม่ต้องการฟื้นตื่นขึ้นมา…

ข้ายังคงจำได้ที่เห็นท่านเป็นครั้งแรกในสำนักเอกะเทวะเมื่อนานมาแล้ว แต่ก็ไม่ต้องการจะจดจำมัน ข้าไม่ต้องการคิดถึงมัน!

ฤดูใบไม้ผลิหมายถึงสิ่งต่างๆ เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง แต่ตอนนี้ฤดูใบไม้ผลิสิ้นสุดลงแล้ว กลายเป็นฤดูร้อนมาแทนที่ ข้าได้ยินผู้คนพูดคุยกัน รวมทั้งท่านอาจารย์ ที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่จากเม็ดยา…ท่านถอนหายใจขณะที่ใช้ช่วงเวลาในฤดูร้อน เฝ้ามองมายังข้า

ข้าไม่ต้องการคิดไปถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสำนักจื่อยิ่น ทำไมข้าไม่อาจจะลืมมันได้? ทำไม? เพราะเหตุใด…?

ตอนนี้อากาศหนาวลงแล้ว ไม่ใช่ความหนาวเย็นแห่งช่วงฤดูหนาว แต่เป็นความเปราะบางแห่งฤดูใบไม้ร่วง สายฝนกำลังตกลงมา โลกที่ข้าอยู่มืดมิดสนิททั่ว ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวแห่งแสงสว่าง ข้าน่าจะสามารถลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าแทบจะลืมเลือนสำนักเอกะเทวะ คุนเผิง สำนักจื่อยิ่น แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ก็ไม่อาจจะลืมสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอาณาจักรสายลมได้แม้แต่น้อย

ทำไมถึงลืมเลือนได้ยากเย็นนัก…?

ตอนนี้ทุกสรรพสิ่งกำลังถูกแช่แข็งไปแล้ว ข้ารู้ว่าหิมะกำลังตกอยู่ตรงด้านนอก หลังจากที่เกล็ดหิมะปกคลุมไปทั่วพื้น พวกมันก็คล้ายกับข้า หนาวเย็นและไม่อาจจะขยับตัวเคลื่อนไหว แต่ในที่สุดเกล็ดหิมะก็ค้นพบเส้นทางกลับบ้านของพวกมัน ไม่

เหมือนกับข้า ข้าไม่รู้ว่าจะออกไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร

หลายปีผ่านไปจนจำไม่ได้ว่านานเท่าใดแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะลืมเลือนอาณาจักรสายลมไปแล้ว แต่ก็ไม่อาจจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นบนดาวชางหมาง ข้าไม่อาจจะลืมตี้จิ่วจง (สำนักอันดับเก้า) และซือจุน (ท่านอาจารย์) ในที่แห่งนั้น

เวลากำลังเลื่อนผ่านไป ข้ารู้สึกคล้ายกับหลงทางอยู่ในความมืดมิด แต่จากนั้นก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังขึ้นที่ข้างกาย ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังเฝ้ามองมา ข้ามองไม่เห็นคนผู้นั้น แต่ก็รู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าในสายตาคู่นั้น

ข้าต้องการลืมเลือนเรื่องราวทั้งหมดไป แต่ภาพของเสี่ยวเปาก็หลอมรวมเข้ากับใบหน้าของท่าน และข้าก็ไม่อาจจะลืมเลือนท่านได้ เช่นเดียวกับที่ข้าไม่อาจจะลืมเลือนหม่านเอ๋อร์ได้…

ข้าอยากจะร้องไห้ แต่ก็ไม่ต้องการจะลืมตาขึ้นมา รู้สึกได้ว่าหยดน้ำตากำลังไหลลงมาสองข้างแก้ม

วันคืนเลื่อนผ่านไปจนกลายเป็นหลายปี กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป และข้าก็ไม่รู้ว่าได้ผ่านไปนานเท่าใดแล้ว บางทีอาจจะเป็นหนึ่งพันปี บางทีอาจจะเป็นหนึ่งหมื่นปี หรือบางทีก็อาจจะเป็นหลายแสนปี…เสียงค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างเงียบกริบลงไป

ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ ข้าอยู่อย่างโดดเดี่ยว เป็นส่วนหนึ่งของยามราตรี ที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด

เวลาผ่านไปในที่สุดก็บรรลุถึงจุดที่ข้าคิดว่าได้ลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว แต่จากนั้นก็ได้ยินใครบางคนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง

“ชือเอ๋อร์ (เด็กโง่) เจ้าคิดว่าสามารถจะลืมเลือนได้จริงๆ?”

เสียงนั้นเสียดแทงเข้ามาในจิตวิญญาณข้า ทำให้ต้องสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ความทรงจำทั้งหมดที่ข้าแสร้งทำเป็นลืมไปปะทุขึ้นมาในทันที กลายเป็นว่าข้าไม่อาจจะลืมเลือนได้แม้แต่น้อย

อันที่จริงข้าจดจำทุกสิ่งทุกอย่างได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิมในตอนนี้ ราวกับว่าพวกมันถูกจารึกไว้แน่นอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ

ข้าคือฉู่อวี้เยียน!

“ข้า…ข้าไม่อาจจะลืมได้” นางกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา เมื่อลืมตาขึ้นมา หยดน้ำตาก็ไหลลงมานองหน้า โลกไม่ได้มืดสนิทอีกต่อไป ชายชราผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ที่เบื้องหน้า พร้อมกับริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ปกคลุมไปทั่วทั้งใบหน้า และนางก็ไม่อาจจะจดจำคนผู้นี้ได้ แต่ก็มีบางสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะดูคุ้นเคย ราวกับว่าเคยรู้จักกันมาเมื่อชาติที่แล้ว ราวกับว่าในที่สุดก็ถูกลิขิตให้มาพบกัน

“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องพยายามลืม” ชายชรากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นราวกับสามารถจะตัดตะปูเฉือนเหล็กกล้าให้ขาดออกจากกันได้

“เหล่าฟูเรียกว่าเมี่ยเซิง (ตัดชีวิต) บรรลุเต๋ามาหลายยุคสมัยจนนับไม่ถ้วน นับตั้งแต่นั้นมาข้าก็ค้นหาคำตอบมาชั่วชีวิต แต่ก็ยังคงไม่อาจจะหาพบได้ ดังนั้นเหล่าฟูกำลังจะออกไปค้นหาในส่วนลึกของห้วงจักรวาลต่อไป”

“เจ้ายินดีที่จะกลายเป็นศิษย์ข้าหรือไม่ ชือเอ๋อร์ (เด็กโง่)?”

“ถ้าตกลง ข้าจะนำเจ้าเข้าไปในส่วนลึกของห้วงจักรวาลด้วย”

“บางที…เจ้าอาจจะได้พบกับคนผู้นั้นก็เป็นได้…”

ฉู่อวี้เยียนหลับตาลง นอนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน จากนั้นก็ลืมตา และลุกขึ้นมาจากโลงศพ

“ศิษย์ขอคารวะซือจุน (ท่านอาจารย์)” ฉู่อวี้เยียนกล่าว คุกเข่าลงไปที่เบื้องหน้า เมี่ยเซิงมองดูด้วยความเมตตา

 

หลายปีก่อนเมื่อมันค้นหาเต๋าของตนเอง ก็สามารถทำได้สำเร็จในที่สุด แต่สิ่งที่ยังคงอยู่ก็คือเต๋าของมัน ตลอดช่วงเวลานั้นมันได้ยกเลิกทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมเสียสละทุกสรรพสิ่ง ถึงแม้ว่าจะยังคงเต็มไปด้วยความมุ่งหวัง แต่ก็ไม่เคยลืมเลือนดินแดนบ้านเกิดที่ถูกทำลายไป เหล่าสหายและเครือญาติ รวมทั้งสิ่งทั้งปวงที่ต้องสูญเสียไป

ตลอดช่วงยุคสมัยของเมิ่งฮ่าว มันได้เฝ้าสังเกตดูวิถีชีวิตของผู้คนมากมาย และมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ทำให้ตนเองรู้สึกประทับใจ ก็คือหญิงสาวนางนี้ ซึ่งคอยย้ำเตือนให้ตนเองต้องคิดไปถึงใครบางคนจากเมื่อในอดีตที่ผ่านมา

หลังจากที่ได้เห็นเรื่องราวทั้งหมดซึ่งเกิดขึ้นระหว่างฉู่อวี้เยียนและเมิ่งฮ่าว ในที่สุดมันก็ตัดสินใจมายังที่แห่งนี้เพื่อช่วยนาง

ผ่านไปนานสักพัก เมี่ยเซิงก็ยิ้มออกมา และจากนั้นก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป เรือที่ผุผังทรุดโทรมลำหนึ่งปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มันเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก็ไปปรากฏร่างขึ้นบนลำเรือ ฉู่อวี้เยียนมองไปรอบๆ ยังโลกแห่งนี้ชั่วขณะ และจากนั้นก็ติดตามไป

บนตัวเรือมีบุรุษหนุ่มใบหน้าเย็นชาในชุดยาวสีดำอยู่ผู้หนึ่งด้วยเช่นกัน กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น มองมายังฉู่อวี้เยียนและพยักหน้าให้ จากนั้นก็หลับตาลงและนั่งเข้าฌานต่อไป

“ไปกันเถอะ พวกเราจะเข้าไปในส่วนลึกของห้วงจักรวาล” เมี่ยเซิงกล่าว

เรือลำนั้นเริ่มเคลื่อนที่ตรงไป โดยไม่มีเสียงดังขึ้นมาแม้แต่น้อย ทะลวงผ่านความว่างเปล่าเข้าไปในห้วงจักรวาล อาบไล้อยู่ในแสงแห่งดวงดาวนับไม่ถ้วนที่คงอยู่ในที่แห่งนั้น

ฉู่อวี้เยียนนั่งอยู่บนตัวเรือ หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก ก็คิดย้อนกลับไปยังสิ่งที่อาจารย์คนใหม่เพิ่งจะบอกมาว่า ตนเองอาจจะได้พบกับคนที่พยายามจะลืมเลือนไป

 

“ถ้าได้พบกับมัน…สิ่งแรกที่ข้าจะกล่าวควรเป็นอะไรดี?” ทันใดนั้นฉู่อวี้เยียนก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย

เวลาที่เลื่อนผ่านไปตรงด้านนอกและบนตัวเรือแตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง

หนึ่งเดือนบนตัวเรือ เหมือนกับเป็นหนึ่งยุคสมัยของเมิ่งฮ่าว

ยากที่จะบอกได้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ในวันหนึ่งจู่ๆ ฉู่อวี้เยียนก็ได้ยินใครบางคนกำลังพูดคุยกันตรงด้านนอกบนลำเรือ

“สหายเต๋าทั้งสอง ขอให้พวกเราสองสามีภรรยาร่วมเดินทางไปกับพวกท่านได้หรือไม่?”

ในทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ ร่างกายก็สั่นสะท้านขึ้นมา และเริ่มประหม่ามากขึ้นกว่าเดิม

“ศิษย์ข้า พวกเรามีแขกใหม่มาเยือนแล้ว ช่วยจัดเตรียมสุรามาสองถ้วยด้วย”

ฉู่อวี้เยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำจิตใจให้สงบนิ่ง ขบริมฝีปากและออกมาจากม่านท้องเรือ เมื่อนางก้าวเดินออกไป ก็มองเห็นเมิ่งฮ่าวที่มีท่าทางตกตะลึง และสวี่ชิงที่กำลังยืนอยู่ด้านข้าง

“ฟางมู่ซือซยง (ศิษย์พี่ฟางมู่) สวี่ชิงเจี่ยเจีย (พี่สาวสวี่ชิง) ข้าคงไม่ได้รบกวนพวกท่าน นี่เป็นเรือของซือจุน (อาจารย์) และท่าน…ก็บอกให้ข้าติดตามมา” ฉู่อวี้เยียนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

เพราะว่านางงดงาม ดังนั้นรอยยิ้มนี้จึงเปล่งประกายอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้

เพราะว่านางประหม่า ดังนั้นรอยยิ้มนี้จึงดูแข็งทื่อ จนดูเหมือนว่า…จะยิ้มก็ไม่ใช่ จะไม่ยิ้มก็ไม่เชิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!