Skip to content

A Will Eternal 1

บทที่ 1 ชื่อของเขาคือป๋ายเสี่ยวฉุน

เขาเม่าเอ๋อร์ ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาตงหลิน ตีนเขามีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตั้งตนโดดเดี่ยวตัดขาดกับโลกภายนอกอันแสนวุ่นวาย ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ ณ หมู่บ้านแห่งนี้ล้วนมีวิถีอันเรียบง่าย ชีวิตดำรงอยู่ได้ด้วยการทำไร่ไถนา

ช่วงเวลาเช้าตรู่ คนทั้งหมู่บ้านพากันมายืนอออยู่เต็มหน้าประตูทางเข้า เพื่อรอส่งหนุ่มน้อยอายุราว ๆ 15-16 ปี เด็กหนุ่มคนนี้แม้จะมีรูปร่างผอมบางอ่อนแอ แต่ผิวพรรณกลับขาวสะอาดสะอ้าน มองดูเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เสื้อผ้าที่สวมใส่แม้จะไม่ต่างไปจากเสื้อผ้าสำหรับผู้ที่กำลังศึกษาเล่าเรียนใส่กันทั่วไป ทว่ากลับถูกซักซะจนขาวซีด เมื่อมาอยู่บนตัวของหนุ่มน้อยผู้นี้ ประกอบกับดวงตาใสกระจ่างที่เขามีแล้ว ยิ่งขับให้เขาดูเป็นเด็กปราดเปรียว

ชื่อของเขาคือป๋ายเสี่ยวฉุน

“พี่ป้าน้าอา ปู่ย่าตายายทุกท่าน ข้าต้องไปบำเพ็ญตนเป็นเซียนแล้ว แต่ใจจริงข้าไม่อยากจากพวกท่านไปเลย” ใบหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ เดิมทีเขาก็เป็นเด็กที่มีท่าทางน่าเอ็นดูอยู่แล้ว ในเวลานี้ก็ยิ่งดูใสซื่อเข้าไปใหญ่

คนในหมู่บ้านที่รายล้อมอยู่หันมองหน้ากัน แล้วจึงพากันทำสีหน้าห่วงหาอาลัยออกมา

“เสี่ยวฉุน พ่อแม่เจ้าด่วนจากไปเร็วนัก เจ้าเองก็เป็น…เด็กดี!! เจ้าไม่อยากเป็นอมตะแล้วหรือ พอเจ้าได้เป็นเซียนก็จะอายุยืนยาว อยู่ได้อีกนานแสนนานเลยนะ ไปเถอะ นกอินทรีเมื่อเติบใหญ่ก็ย่อมมีวันที่ต้องโบยบินออกจากรัง” ผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคนที่รายล้อม ขณะที่พูดคำว่าเด็กดี เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง

“อยู่ข้างนอกไม่ว่าเจอกับเรื่องอะไร เจ้าก็ต้องเข้มแข็งเข้าไว้ เมื่อก้าวออกจากหมู่บ้านไปแล้ว จงอย่ากลับมาอีก เพราะหนทางของเจ้ารออยู่เบื้องหน้า!” สายตาของผู้เฒ่าฉายให้เห็นถึงความเมตตา เขาพูดพร้อมกับตบไหล่เด็กหนุ่มไปด้วย

“เป็นอมตะ…” ร่างป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับสะท้านไหว นัยน์ตาค่อยๆ ส่อแววความเด็ดเดี่ยว มองเห็นสายตาให้กำลังใจจากท่านผู้เฒ่าและเพื่อนร่วมหมู่บ้านที่อยู่รอบๆ ตัว เขาก็พยักหน้าแรงๆ ตอบรับ จดจ้องใบหน้าของทุกคนที่อยู่รายล้อม จากนั้นหมุนตัวย่างเท้า ค่อยๆ ก้าวเดินออกไปจากหมู่บ้าน

ยิ่งแผ่นหลังของเด็กหนุ่มลับหายออกไปไกลเท่าไหร่ ความตื่นเต้นของกลุ่มคนที่ยืนรวมตัวกันก็ยิ่งเพิ่มระดับขึ้นเท่านั้น สายตาที่เต็มไปด้วยความอาลัยเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความปิติยินดีในพริบตา ผู้เฒ่าที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเมตตาก่อนหน้า เวลานี้กลับตัวสั่นไหว หยาดน้ำตาไหลริน

“สวรรค์มีตา ในที่สุดเจ้าเพียงพอนขาว[1]ตัวนี้มันก็…มันก็ไปได้สักที คนไหนที่ไปบอกมันว่าเห็นเซียนปรากฏตัวใกล้ๆ หมู่บ้านเรา เดี๋ยวจะตบรางวัลให้อย่างงามเลย!”

“ในที่สุดเจ้าเพียงพอนขาวก็ยอมไปได้สักที สงสารก็แต่ไก่ที่บ้านข้า เพราะเจ้าเพียงพอนขาวนั่นดันกลัวเสียงไก่ขัน ก็ไม่รู้ว่ามันใช้วิธีไหนยุยงให้เด็กๆ ในหมู่บ้านพากันกินเนื้อไก่ เล่นเอาไก่ทั้งหมู่บ้านถูกจับกินซะเกลี้ยง…”

“อย่างนี้ต้องฉลองกันหน่อยแล้วพวกเรา!” เสียงไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีดังสนั่นไปทั่วทั้งหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้น บางคนถึงขนาดหยิบเอาฆ้องขึ้นมาตีด้วยความสำราญใจ

ด้านนอกหมู่บ้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยังไม่ทันเดินออกไปไกล ก็ได้ยินเสียงตีฆ้องโห่ร้องเฮฮาดังออกมาจากในหมู่บ้านเบื้องหลัง

เท้าที่กำลังก้าวเดินถึงกับหยุดชะงัก สีหน้าของเขาปั้นยากเหยเก กระแอมไอแห้งๆ ออกมาทีหนึ่งแล้วย่างเท้าเดินไปตามเส้นทางขึ้นเขาเม่าเอ๋อร์ต่อไป พร้อมกับที่หูยังแว่วเสียงตีฆ้องร้องป่าวดังมาไม่หยุด

เขาเม่าเอ๋อร์ลูกนี้ถึงจะไม่สูงนักแต่ก็เต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้ แม้จะเป็นช่วงเช้าตรู่แต่ก็ยังเห็นเพียงสีดำทึบทึม สงัดเงียบไร้สรรพเสียงใดๆ

“เอ้อโก่วบอกว่า ไม่กี่วันก่อนตอนโดนหมูป่าวิ่งไล่เห็นเซียนท่านหนึ่งบินผ่านท้องฟ้าไป…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังเดินขึ้นเขาไปด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสวบสาบดังออกมาจากพุ่มไม้ ฟังแล้วคล้ายเสียงของหมูป่า ด้วยความที่เสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่แต่เดิมก็ตื่นเต้นเป็นกำลังอยู่แล้วถึงกับเสียวสันหลังวาบ

“ใคร ใครอยู่ตรงนั้น!” มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเอื้อมไปหยิบขวานสี่เล่ม มีดผ่าฟืนอีกหกเล่มจากห่อผ้าออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกไม่วางใจ เลยหยิบธูปสีดำอีกหนึ่งดอกออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก กำเอาไว้ในมือแน่น

“อย่าออกมานะ ห้ามออกมาเด็ดขาด ข้ามีทั้งขวาน มีทั้งมีดผ่าฟืน แถมธูปในมือข้าดอกนี้ยังสามารถเรียกฟ้าร้องฟ้าผ่า เรียกให้เซียนปรากฏตัวได้ด้วย ถ้าเจ้ากล้าออกมาจะผ่าเจ้าจนเกรียมเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนขู่ปากคอสั่น มือเท้าก็ตะเกียกตะกายปีนขึ้นเขาไปด้วยความรวดเร็ว สารพัดอาวุธที่หนีบเอาติดกายไปด้วยเสียงเคร้งคร้างร่วงระนาวไปตามทาง

บางทีอาจจะเป็นเพราะตกใจคำขู่ของเขา เสียงสวบสาบที่ได้ยินก่อนหน้านี้ถึงได้หายไปในทันที ไม่มีสัตว์ป่าโผล่ออกมาอย่างที่คิด ใบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงซีดเผือด เมื่อเช็ดเหงื่อเย็นๆ ออก ก็เริ่มอยากล้มเลิกความคิดที่จะเดินทางขึ้นเขาต่อ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าธูปที่อยู่ในมือดอกนี้เป็นของที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ก่อนตาย โดยบอกว่าบรรพบุรุษเคยช่วยเหลือเซียนตกยากท่านหนึ่ง ก่อนที่เซียนท่านนั้นจะจากไปได้ทิ้งธูปดอกนี้ไว้ให้เป็นของตอบแทน และเคยรับปากว่าจะรับคนตระกูลป๋ายหนึ่งคนไว้เป็นลูกศิษย์ แค่เพียงจุดธูป ท่านเซียนก็จะมาปรากฏตัวให้เห็น

เขาเคยจุดธูปดอกนี้มาสิบกว่าครั้งแล้ว แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีเซียนคนไหนโผล่มาให้เห็น จนป๋ายเสี่ยวฉุนชักสงสัยว่าจะมีเซียนมาหาจริงหรือ ที่ครั้งนี้เขาตัดสินใจแน่วแน่ หนึ่งเพราะธูปเหลืออยู่ไม่มากแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะได้ยินคนในหมู่บ้านบอกว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งเห็นเซียนบินผ่านที่แห่งนี้

ดังนั้นเขาถึงได้ออกเดินทางมา ใจอยากให้ใกล้ชิดกับท่านเซียนอีกหน่อย บางทีอาจทำให้ท่านเซียนสังเกตเห็นเขาก็เป็นได้

ลังเลใจอยู่พักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กัดฟันเดินหน้าต่อไป ยังดีที่ภูเขาลูกนี้ไม่สูงมากนัก ใช้เวลาไม่นานเขาก็ปีนขึ้นมาถึงยอดเขาด้วยอาการหอบฮักๆ ขณะที่ยืนอยู่บนนั้น สายตาก็มองลงไปยังหมู่บ้านตีนเขาพลางทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง จากนั้นจึงหลุบตาลงมองธูปสีดำที่ถูกจุดมาแล้วหลายครั้งจนเหลือแค่ขนาดเท่าเล็บมือ

“สามปีแล้ว ท่านพ่อท่านแม่คุ้มครองข้าด้วย ครั้งนี้ต้องสำเร็จให้ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจุดธูปด้วยความระมัดระวัง ฉับพลันนั้นลมก็พัดกรรโชกขึ้นรอบทิศ ท้องฟ้ายิ่งปกคลุมด้วยเมฆทะมึนในชั่วพริบตา สายฟ้าเส้นแล้วเส้นเล่าแลบแปลบปลาบพาดผ่าน พร้อมกับเสียงฟ้าผ่าสะเทือนเลื่อนลั่นที่ระเบิดอยู่ข้างหูของป๋ายเสี่ยวฉุน

ทั้งเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว ทั้งบรรยากาศที่น่าครั่นคร้าม ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนจะถูกฟ้าผ่าตายได้ตลอดเวลา จิตสำนึกบอกให้เขาถ่มน้ำลายดับธูปไปซะ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะข่มกลั้นความหวาดกลัวต่อไป

“สามปีมานี้ข้าจุดธูปดอกนี้ไปแล้วสิบสองครั้ง นี่เป็นครั้งที่สิบสาม คราวนี้ข้าต้องอดทนเข้าไว้ เสี่ยวฉุนไม่ต้องกลัว ยังไงก็คงไม่ถูกฟ้าผ่าตายหรอก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนย้อนนึกถึงช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา หากไม่นับครั้งนี้ สิบสองครั้งที่เคยจุดไปล้วนเกิดฟ้าร้องฟ้าผ่าอย่างในเวลานี้เสมอ แต่ก็ไม่เคยมีเซียนปรากฏกายออกมา เขาที่เดิมทีก็กลัวตายอยู่แล้วตกใจจนถ่มน้ำลายดับธูปไปเองก่อนทุกที พูดแล้วก็แปลก ธูปดอกนี้ดูเหมือนไม่ธรรมดา แต่ความจริงกลับใช้น้ำดับได้ไม่ต่างจากธูปทั่วไป

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังอกสั่นขวัญหาย รอคอยด้วยความทรมานท่ามกลางเสียงฟ้าผ่านั้น บนท้องนภาห่างจากจุดนี้ไปไม่ไกลนัก มีลำแสงสีรุ้งทอดยาวพุ่งตรงมายังเขาอย่างรวดเร็ว

ในลำแสงสีรุ้งนั้นมีชายวัยกลางคนอยู่คนหนึ่ง ชายผู้นั้นสวมใส่อาภรณ์หรูหรางดงาม รัศมีของเซียนแผ่กระจาย แต่กลับดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง หากสังเกตดูให้ดีจะเห็นได้ว่าสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

“ข้าล่ะอยากจะเห็นนัก ว่าคนประเภทไหนกันที่จุดธูปดอกเดียวได้ตั้งสามปี!”

พอนึกถึงระยะเวลาตลอดสามปีที่ผ่านมาของตัวเอง ชายวัยกลางคนก็โกรธจัด สามปีก่อนเขาสัมผัสได้ว่ามีคนจุดธูปหอมที่ตัวเองเคยมอบไว้สมัยที่ยังบำเพ็ญตน จึงนึกถึงบุญคุณช่วงหนึ่งในโลกมนุษย์ขึ้นมา

ถึงได้บินมาหาตามคำสัญญา เดิมทีเขาคิดว่าใช้เวลาไม่นานคงเสร็จธุระ แต่นึกไม่ถึงว่าเพิ่งจะตามกลิ่นธูปไปได้ไม่ไกลเท่าไร กลิ่นธูปกลับหายไป ตัดการติดต่อกับเขาไปอย่างสิ้นเชิง หากแค่ครั้งเดียวยังพอว่า แต่สามปีมานี้เขาได้กลิ่นธูปมาสิบกว่าครั้งแล้ว

เรียกหาเขาที่นี่ และหายไปกลางคันระหว่างที่กำลังตามหาเสียทุกครั้ง มาๆ หายๆ อยู่อย่างนี้ ทรมานเขามาตลอดสามปี

ตอนนี้เขามองเห็นเขาเม่าเอ๋อร์ที่อยู่ไกลออกไป มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนยอดเขา ความโมโหโกรธาปะทุขึ้นมา ส่งให้เขาบินพุ่งออกไปอย่างว่องไว พริบตาเดียวก็มายืนอยู่บนยอดเขา เขาสะบัดฝ่ามือ ธูปที่เหลือเพียงน้อยนิดดอกนั้นก็ดับแสงลงไปในทันที

เสียงฟ้าผ่าหายไปอย่างปุบปับ ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน พอเงยหน้าขึ้นมอง ถึงได้เห็นว่ามีชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายตัวเอง

“ท่านเซียน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยออกมาอย่างระแวดระวัง เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ มือก็แอบเอื้อมไปหยิบขวานที่อยู่ด้านหลัง

“ข้าคือหลี่ชิงโหว เจ้าคือลูกหลานตระกูลป๋ายรึ?” สายตาคมปลาบของเซียนวัยกลางคนสำรวจป๋ายเสี่ยวฉุนตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่นำพาขวานที่อยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม เขารู้สึกว่าเด็กคนนี้เด็กคนนี้หน้าตางดงามหล่อเหลา คลับคล้ายคลับคลาสหายเก่าเมื่อปีนั้นของเขา หน่วยก้านก็ดูใช้ได้ เห็นอย่างนี้อารมณ์ร้อนระอุที่อยู่ในอกก็บรรเทาลงไปเล็กน้อย

“ใช่แล้ว ข้าน้อยคือคนรุ่นหลังของตระกูลป๋าย ป๋ายเสี่ยวฉุน” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ตอบกลับเสียงเบา แม้จะยังหวาดกลัวอยู่ในใจแต่ก็ยืดอกตอบคำถาม

“ไหนบอกข้ามาสิ แค่จุดธูปดอกเดียวใช้เวลายังไงตั้งสามปี!” เซียนผู้บำเพ็ญตบะเอ่ยปากเนิบนาบ ถามคำถามที่ต้องการได้ยินคำตอบมากที่สุดตลอดสามปีมานี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนพอได้ยินคำถาม หัวสมองก็แล่นหาคำตอบเร็วจี๋ จากนั้นจึงทำสีหน้ากลัดกลุ้ม ทอดสายตามองลงไปยังหมู่บ้านที่อยู่ตีนเขา

“ข้าน้อยเป็นคนรักพวกพ้อง จึงทำใจลำบากหากต้องจากพวกเขาไป ทุกครั้งที่ข้าจุดธูปพวกเขาก็ทำใจให้ข้าจากไปไม่ได้ วันนี้ที่ตีนเขาพวกเขาก็พากันเศร้าเสียใจยกใหญ่เพราะการจากมาของข้า”

เซียนวัยกลางคนได้ฟังก็อึ้งไป เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าสาเหตุจะมาจากเรื่องนี้ โทสะในดวงตาก็ยิ่งลดน้อยลงไปอีก เพียงแค่ฟังคำพูดคำจาก็สัมผัสได้ว่าเด็กคนนี้นิสัยไม่เลว

แต่พอเขาตวัดสายตามองลงไปที่หมู่บ้านตีนเขา พลังจิตของเขาก็กวาดผ่านไปด้วย หูได้ยินเสียงตีฆ้องร้องป่าวและประโยคไชโยโห่ร้องที่ว่าเจ้าเพียงพอนขาวจากไปแล้วซ้ำไปซ้ำมา เขาถึงกับทำหน้าไม่ถูก รู้สึกปวดหัวแปล๊บ มองป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งภายนอกดูเป็นเด็กดีไร้พิษสงที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วก็ให้แน่ใจว่าความจริงคือเจ้าเด็กหนุ่มตรงหน้านี่แหละที่โกหกเขา

“บอกความจริงมา!” เซียนวัยกลางคนถลึงตา เสียงดังก้องประดุจเสียงฟ้าผ่า ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนสั่นไปหมดทั้งตัว

“เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้นะ เพราะธูปประหลาดของท่านนั่นแหละ จุดทีไรฟ้าก็ผ่าทุกที เกือบจะผ่าข้าตายก็ตั้งหลายครั้ง แค่ข้ารอดมาได้สิบสามครั้งนี่ก็ถือว่าโชคช่วยตั้งเท่าไหร่แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนตอบกลับเสียงหงอยน่าสงสาร

เซียนวัยกลางคนมองป๋ายเสี่ยวชุนแล้วถึงกับพูดไม่ออก

“ในเมื่อเจ้ากลัวขนาดนี้ แล้วจะยังดึงดันจุดอีกทำไมตั้งสิบกว่าครั้ง?” เซียนวัยกลางคนปริปากถามออกมา

“ข้ากลัวตายน่ะสิ บำเพ็ญตนเป็นเซียนจะเป็นอมตะไม่ใช่เหรอ ข้าอยากเป็นอมตะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนตอบกลับด้วยความกล้ำกลืน

เป็นอีกครั้งที่เซียนวัยกลางคนไร้ซึ่งคำพูด แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าเด็กคนนี้มีจิตใจมุ่งมั่นน่าชื่นชม เอาไปทิ้งไว้ในสำนัก ฝึกปรือขัดเกลาอีกสักหน่อย บางทีอาจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้

คิดได้ดังนั้น ก็สะบัดปลายแขนเสื้อม้วนเอาตัวป๋ายเสี่ยวฉุนห่อเข้าไปอยู่ในลำแสงสีรุ้งเส้นยาว พุ่งทะยานตรงไปยังเส้นขอบฟ้า

“ไปกับข้า”

“ไปที่ไหน? นี่มันสูงเกินไปแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นตัวเองลอยอยู่บนท้องฟ้า ด้านล่างคือพื้นดินเวิ้งว้างอันตรายก็หน้าถอดสีทันที ถึงกับโยนขวานทิ้ง เกาะกอดขาท่านเซียนแน่นหนึบ

เซียนวัยกลางคนหลุบตามองที่ขาของตัวเอง เอ่ยปากพูดอย่างหน่ายใจ

“สำนักธาราเทพ”

—————-

[1] เพียงพอนขาว ภาษาจีนอ่านว่าป๋ายสู่หลาง (白鼠狼) ในที่นี้มีความใกล้เคียงกับชื่อของตัวละครเอกอย่างป๋ายเสี่ยวฉุน และความหมายในเชิงเปรียบเปรยจะสามารถแปลว่าตัวปัญหาก็ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!