Skip to content

A Will Eternal 1026

บทที่ 1026 วิชาแห่งเต๋าอันเลิศล้ำ

ป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหายใจหนักหน่วง ใบหน้าขาวซีดน้อยๆ แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาร่ายใช้วิชาแห่งเต๋าบทอมตะอย่างตะเกียงอมตะ แต่วิชานี้กลับเหมือนผุดขึ้นในสมองของเขามาแล้วนับพันนับหมื่นครั้ง จึงไม่มีติดขัดแม้แต่น้อย เพราะเดิมทีนี่ก็คือวิชาแห่งเต๋าอันเลิศล้ำที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างพลังอันเป็นเอกลักษณ์ของบทอมตะกับความคิดของตัวผู้ฝึกเองอยู่แล้ว

ทว่าการเผาผลาญที่มหาศาลของมันก็กินแรงป๋ายเสี่ยวฉุนไม่น้อยเช่นกัน ลำพังเพียงแค่ร่ายใช้วิชานี้ พลังอมตะในร่างของเขาถึงกับถูกเผาผลาญไปแล้วเกือบเจ็ดส่วนกว่า!

การเผาผลาญของตบะไม่ได้อยู่ในขอบข่ายการฟื้นตัวของบทมิวางวาย การฟื้นตัวของบทมิวางวายเป็นเพียงการฟื้นตัวด้านอาการบาดเจ็บทางกายเท่านั้น ซึ่งตบะที่สูญสิ้นไปยังจำเป็นต้องใช้การทำสมาธิเข้าฌานถึงจะฟื้นกลับคืนมาได้ ทว่าอานุภาพของวิชาแห่งเต๋าที่การเผาผลาญสูงระดับนี้ก็มีมากจนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจิตใจสะท้านไหวได้เช่นกัน ตอนนี้ประกายดวงตาของเขาเปล่งวูบวาบราวสายฟ้าแลบ สายตามองไปยังเทียนจุนก็จริง ทว่าโลกที่เขาเห็นผ่านสายตานี้…กลับแตกต่างไปจากเดิม!

แท่นฐานที่มาจากผลึกน้ำ แท้จริงแล้วก็คือ…เชิงตะเกียงอมตะ!!

เชิงตะเกียงที่ใหญ่โตขนาดนี้ก่อกลายมาเป็นพลานุภาพสยบที่น่าครั่นคร้าม ก่อนหน้านี้มันไม่ได้เผยตัวออกมา แต่ตอนนี้กลับระเบิดออกอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังพอจะเห็นได้ด้วยว่าในเชิงตะเกียงเหมือนจะมีแรงดึงดูดขุมหนึ่งที่ทำให้ทุกสรรพสิ่งซึ่งอยู่ด้านบนมิอาจขยับเขยื้อนจากไปได้แม้แต่น้อย

ส่วนม่านฟ้าที่ถูกเฉือนออกมาจากนภากาศ เวลานี้ก็แผ่ปกคลุมสี่ด้านของเชิงตะเกียง มองดูแล้วมันก็คือ…โป๊ะตะเกียง!!

ส่วนอักษรคำว่าอายุยืนจำนวนนับไม่ถ้วนนั้น ตอนนี้พอมองไปจึงเห็นว่าเป็นตัวอักษรที่เขียนลงบนโป๊ะตะเกียง ซึ่งเป็นตัวแทนของอายุขัยยืนยาวเป็นอมตะ!

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของตะเกียงอมตะ ทว่ากุญแจสำคัญที่แท้จริง…กลับเป็นเทียนไขสีขาวที่วางไว้ในตะเกียงอมตะเพื่อรอปลดปล่อยแสงสว่าง!

พลังชีวิต เรือนกาย ทุกสิ่งทุกอย่างของนักพรตทงเทียนก็คือ…เทียนไขสีขาวแท่งนี้ และส่วนประกอบสุดท้ายของตะเกียงอมตะก็คือเปลวเพลิงที่แผ่ออกมาจากดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุน ซึ่งหลังจากที่เทียนไขถูกจุดไฟและเริ่มเผาไหม้ตัวเองแล้ว มันก็จะกลายมาเป็นแสงตะเกียงอมตะ!

ท่ามกลางเสียงอึกทึก ภายใต้การเผาไหม้เรือนกายของนักพรตทงเทียน แสงเทียนส่องสว่างสะท้อนไปทั่วโป๊ะตะเกียงสี่ทิศ เป็นเหตุให้อักษรคำว่าอายุยืนที่เขียนไว้เต็มโป๊ะตะเกียงเด่นชัดสะดุดตาเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันพลังการดึงดูดของเชิงตะเกียงก็ได้กลายมาเป็นน้ำวนขั้นสูงสุดที่ทำให้เทียนจุนมิอาจขยับเขยื้อนไปไหนได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการทำให้นักพรตทงเทียนกลายมาเป็นตะเกียงอมตะดวงหนึ่ง!

ร่างของนักพรตทงเทียนสั่นเทิ้ม ในหัวใจมีคลื่นยักษ์โถมกระหน่ำ วิกฤตความเป็นความตายที่รุนแรงจนมิอาจบรรยายระเบิดอยู่กลางใจของเขาอย่างต่อเนื่อง เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพอตนกลายมาเป็นตะเกียงอมตะและถูกจุดไฟแล้ว พลังชีวิต เรือนกาย ตบะหรือแม้แต่จิตวิญญาณของตนก็ล้วนไหลหายไปอย่างไม่หยุดยั้ง การสลายหายไปของสิ่งเหล่านี้รวดเร็วอย่างยิ่ง เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็ทำให้นักพรตทงเทียนตะลึงพรึงเพริดอย่างถึงที่สุด เพราะเขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนแออย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

“วิชาอภินิหารนี้…วิชาแห่งเต๋านี้…” ปากของนักพรตทงเทียนเปล่งเสียงคำรามคล้ายเสียงของสัตว์ป่า

“กะอีแค่ตะเกียงอมตะดวงหนึ่งก็กล้ามาเผาไหม้ดวงวิญญาณของตัวข้าอย่างนั้นรึ!!”

นักพรตทงเทียนแหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วแผดเสียงคำรามแหบโหย ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนห่างไปไกลมองนักพรตทงเทียนที่กำลังดิ้นรนด้วยสายตาเย็นชา ความไร้ปราณีในแววตานั้นยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้ขัดขวางการดิ้นรนของเทียนจุน เพียงแค่พึมพำเบาๆ ด้วยเสียงที่มีแต่ตนเท่านั้นที่ถึงจะได้ยิน

“นักพรตทงเทียน ตอนนี้คงถึงเวลาที่เจ้าจะเปิดเผยที่พึ่งซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าคิดว่ามันจะช่วยให้เจ้าทำสำเร็จออกมาได้แล้วกระมัง!”

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเพ่งมองมาตาไม่กะพริบ นักพรตทงเทียนมีสีหน้าดุร้ายน่ากลัว ทั่วร่างของเขาลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง ซ้ำผิวหนังหลายแห่งยังเริ่มถูกไฟคลอกจนเห็นเนื้อแดงๆ และกระดูก เส้นผมของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นสีขาวอย่างรวดเร็ว บนใบหน้ามีริ้วรอยปรากฏ ทว่าความบ้าคลั่งในดวงตากลับไม่ลดลงแม้สักเสี้ยว

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าจงดูให้ดีว่าตัวข้าจะทำลายวิชาแห่งเต๋าของเจ้าอย่างไร!” ขณะที่นักพรตทงเทียนร้องคำราม มือทั้งคู่ของเขาก็ยกขึ้นช้าๆ แล้วทำมุทราประกบนิ้วทั้งสิบเข้าด้วยกันอยู่เบื้องหน้าท่ามกลางเปลวเพลิงที่โหมไหม้!

“ประตูแห่งเต๋าบานที่เจ็ด คุนกง!”

หางเสียงสุดท้ายในประโยคนี้ของนักพรตทงเทียนเป็นดั่งอสนีบาตอื้ออึง เหมือนเสียงคำรามที่ดังมาจากจุดลึกใต้ดิน วินาทีที่เสียงนี้ดังก้องกังวาน ก็มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าเรือนกายของเขาแผ่ปราณแห่งแผ่นดินออกมา!

คุนกง ก็คือตัวแทนของแผ่นดิน!

เสียงอึกทึกเกริกก้อง พื้นดินทั่วโลกเหมือนจะระเบิดออก ปราณของดินหนาชั้นผุดพุ่งออกมาจากทั่วพื้นที่บนพื้นปฐพี ครั้นจึงตรงดิ่งเข้าหานักพรตทงเทียน!

ปราณของดินหนาชั้นที่อยู่บนร่างของเขายิ่งแกร่งกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ จนแม้แต่เปลวเพลิงที่เผาร่างของเขาก็ยังเกิดลางว่าจะมอดดับ หรือแม้กระทั่งเชิงตะเกียงผลึกใสเบื้องล่างที่อยู่ท่ามกลางปราณของดินหนาชั้นก็ยังเริ่มขุ่นมัว ไม่ได้โปร่งใสแวววาวอีกต่อไป แต่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ากำลังจะกลายมาเป็นเหมือนหินปกติทั่วไป!

ไม่เพียงแต่เชิงตะเกียงเท่านั้น ยังมีโป๊ะตะเกียงรอบด้านที่พอถูกปราณของดินแผ่อวลปกคลุมไปทั่วก็เริ่มกลายมาเป็นสีน้ำตาล และผ่านไปแค่ไม่กี่อึดใจ โป๊ะตะเกียงทั้งหมดก็กลายมาเป็นสีน้ำตาลเหมือนดินโคลนที่แท้จริง ส่วนเชิงตะเกียงที่อยู่ด้านในก็เป็นเช่นเดียวกัน แม้แต่ร่างของนักพรตทงเทียนเองก็ยังไม่ใช่ขี้ผึ้งขาวอีกต่อไป และเปลวเพลิงที่เผาผลาญพลังชีวิตของเขา บัดนี้ก็ได้…มอดดับไปแล้ว!

เสียงกัมปนาทราวกับผ่าฟ้าแหวกดินระเบิดกังวาน ตามมาติดๆ ด้วยตะเกียงอมตะซึ่งจำแลงมาจากร่างของเทียนจุนที่แตกโพล๊ะออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย…

“ป๋ายเสี่ยวฉุน วิชาแห่งเต๋านี้กระจอกๆ ของเจ้าก็ยังคิดจะเอามากักตัวข้างั้นหรือ!!”

นักพรตทงเทียนที่หอบหายใจหนักหน่วงกระโจนออกมาจากบนเชิงตะเกียงอมตะที่พังทลายด้วยสภาพค่อนข้างกระเซอะกระเซิง พอบุกออกมาได้ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม นัยน์ตาที่เย็นชาปานน้ำแข็งเผยแววเหยียดหยามขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง ครั้นจึงยกมือขวาขึ้นโบกไปยังท้องฟ้า

“เจ้าทำลายวิชาของข้า ได้จริงหรือ!”

ชั่วขณะที่คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมา นักพรตทงเทียนก็หน้าเผือดสีฉับพลัน เขาค้นพบว่าพลังชีวิต อายุขัย ตบะและจิตวิญญาณของตนกลับ…ยังคงไหลหายไป!

สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยน เงยหน้าพรวดมองท้องฟ้า แล้วสมองของเขาก็มีเสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของเขาสั่นเทิ้มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“จะเป็นไปได้อย่างไร!!”

บนนภากาศที่กว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด เวลานี้กลับมี…ตะเกียงอมตะที่เรียกได้ว่าแทบจะนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา ตะเกียงอมตะแต่ละดวงนั้นแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกอณูบนท้องฟ้า ทอดสายตามองไปก็แทบจะนับไม่ได้เลยว่ามันมีมากแค่ไหนกันแน่…

เห็นเพียงว่าบนตะเกียงอมตะทุกดวงล้วนมีเงาร่างของนักพรตทงเทียนลอยขึ้นมา ใบหน้าเหล่านั้นมีทั้งร้องไห้ มีทั้งหัวเราะ บ้างก็ดุดัน บ้างก็กำลังร้องคำราม!

แปลกประหลาด น่าสะพรึงกลัวอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้!

นักพรตทงเทียนหอบหายใจระรัว คลุ้มคลั่งสุดประมาณ เขาพลันกระโจนออกไปยืนอยู่กลางอากาศ สองแขนอ้ากว้างฉีกกระชากท้องนภากาศออกจากกันอย่างแรง แหงนหน้าแผดเสียงคำรามสะเทือนฟ้า

“ประตูแห่งเต๋าบานที่แปด เฉียนกง!!”

เฉียนกงคือตัวแทนของท้องฟ้า!

บัดนี้เมื่อนักพรตทงเทียนแสดงความคลุ้มคลั่งออกมา เมื่อเขาร่ายใช้วิชาประตูแห่งเต๋ามาถึงระดับของประตูบานที่แปด โลกทั้งใบพลันเปลี่ยนสี ลมพัดกระโชกแรงจนก้อนเมฆม้วนตลบ นภากาศทั้งผืนสั่นสะเทือน ราวกับว่ามือของเทียนจุนกลายมาเป็นมือใหญ่ที่มองไม่เห็นซึ่งสอดลึกเข้าไปในท้องฟ้า แล้วกระชากให้ท้องฟ้าเกิดเป็นรอยแตกร่องลึกขนาดมโหฬารรอยหนึ่ง

รอยแตกนี้แผ่ลามไปพร้อมเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ จนเหมือนกลายมาเป็นใบมีดแหลมคมที่หมายจะฟาดฟันทุกอย่างให้วอดวาย หมายจะฉีกทึ้งท้องฟ้าทั้งผืนออกจากกัน

เมื่อรอยแตกปรากฏ คลื่นที่แผ่ไพศาลจนน่าพรั่นพรึงก็ยิ่งระเบิดออกมาจากท้องฟ้า ทุกที่ที่ผ่าน ตะเกียงอมตะทุกดวงล้วนสั่นกระเทือน

ส่วนเงาร่างของนักพรตทงเทียนที่อยู่บนตะเกียงแต่ละดวงก็พากันร้องคำราม ครั้นจึงยกมือขึ้นร่ายวิชา…ประตูแห่งเต๋าบานที่แปด เฉียนกงอย่างพร้อมเพรียงกัน!

ตูมๆๆ!

ท้องนภาระเบิดกระจุยกระจาย ตะเกียงอมตะทุกดวงถูกฉีกทึ้ง ทอดสายตามองไป ตะเกียงอมตะจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนท้องฟ้าล้วนแหลกสลายไปพร้อมกัน ส่วนนักพรตทงเทียนยามนี้ก็หอบหายใจหนักหน่วงไม่เป็นจังหวะ ความอ่อนแอและเหนื่อยล้าเผยออกมาเด่นชัดเป็นพิเศษ ทว่าดวงตาเขากลับโชนแสงคมกริบ ก่อนจะเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าความอ่อนแอทางเรือนกายของเขากำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ครั้นจึงใช้สายตาเผด็จการเหนือสรรพสิ่งในโลกหันขวับมามองป๋ายเสี่ยวฉุน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน หากเจ้าไม่มีวิธีอื่น ถ้าอย่างนั้นวันนี้…ก็จงยอมเป็นโอสถใหญ่ล้ำโลกให้ข้าแต่โดยดีเถอะ!”

“เจ้าทำลายวิชาของข้า ได้แล้วจริงหรือ” สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงราบเรียบ ทว่าปราณสังหารในดวงตากลับดุเดือด น้ำเสียงที่เรียบเรื่อยของเขาเหมือนแฝงไว้ด้วยความเยาะหยันอย่างไร้ที่สิ้นสุด ขณะเดียวกันเขาก็คิดไปด้วยว่ามาถึงเวลานี้แล้ว เหตุใดนักพรตทงเทียนถึงยังไม่ยอมสำแดงวิธีการที่เป็นที่พึ่งของตัวเองออกมา

นักพรตทงเทียนได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งงัน แต่ไม่นานสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงติดต่อกัน รีบถอยกรูดไปข้างหลัง หันซ้ายหันขวามองรอบด้าน รู้สึกหายใจไม่ออก พอมองไปบนท้องฟ้า เขาก็ได้เห็นตาข่ายแห่งโลกปรากฏขึ้นมา!

มองแผ่นดิน เขาก็เหมือนมองเห็นเชิงตะเกียงขนาดมหึมาเชิงหนึ่ง…

สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนมาเป็นไม่น่ามองอย่างถึงขีดสุด สั่นเทิ้มไปทั้งเรือนกาย และสายตาของเขาก็ฉายความขมขื่นและซับซ้อนออกมาเป็นครั้งแรก!

“ช่างเป็นตะเกียงอมตะที่ดีนัก เป็นบทอมตะที่ดีนัก!”

บัดนี้โลกทงเทียนทั้งใบพลันกลายมาเป็น ตะเกียงอมตะที่ใหญ่โตมโหฬารเกินจะพรรณนาดวงหนึ่ง!!

พื้นปฐพีของโลกก็คือเชิงตะเกียน ตาข่ายแห่งโลกก็คือโป๊ะตะเกียง

ส่วนนักพรตทงเทียน…กลับยังคงเป็นเทียนไขสีขาว เรือนกายของเขายังคง…เผาไหม้ไร้ลักษณ์ ปานประหนึ่งแสงเปลวเทียน!

นี่ก็คือ…ตะเกียงอมตะสามรูปแบบ!

หนึ่งอัตตา สองฟ้า สามโลก!

วิชาแห่งเต๋าล้ำโลก

เลิศล้ำเป็นเอก!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!