Skip to content

A Will Eternal 1028

บทที่ 1028 ฟ้าถล่มดินทลาย

สมบัติแห่งโลกสายเหนือก็คือท่าไม้ตายของป๋ายเสี่ยวฉุน!

เมื่อนิ้วนั้นชี้ลงมา ตลอดทั้งสายเหนือซึ่งไม่ได้เป็นพื้นที่ราบน้ำแข็งอีกต่อไปพลันสะเทือนเลือนลั่น ยอดเขาทั้งหมดที่อยู่บนแผ่นดินผืนนี้ได้กลายเป็นเถ้าธุลีเพราะวิชาแห่งเต๋าของนักพรตทงเทียนนานแล้ว

ยามนี้เมื่อแผ่นดินไหว จึงเป็นเหตุให้แผ่นดินที่เดิมทีก็พังภินท์แทบไม่เหลือดีส่งเสียงกัมปนาทสะท้านฟ้าออกมาทันใด ตามหลังเสียงนี้ก็คือเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ที่ทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน กึกก้องไปทั้งโลก

รอยปริแตกใหญ่ยักษ์จำนวนมากเริ่มแผ่ลามจากสองฝั่งของแม่น้ำทงเทียนที่แห้งขอด จนกระทั่งลามไปถึงขอบเขตสิ้นสุดซึ่งเป็นพื้นที่ที่เชื่อมต่อไปยังแดนทุรกันดาร แผ่นดินผืนนั้นก็ราวกับถูกตัดให้ขาดออกมา!

แผ่นดินสายเหนือกระเทือนเลือนลั่นทั้งผืน ครั้นจึงเริ่มเอนลง แล้วพอกลายมาเป็นลูกระนาดก็เห็นได้ว่ามีเศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงกราวลงมา จุดที่แผ่นดินสายเหนือถูกตัดขาดจากแดนทุรกันดารถูกยกขึ้นสูง…สุดท้ายก็ลอยขึ้นฟ้าไปอย่างเชื่องช้า!

พอลอยขึ้นไปบนฟ้า แผ่นดินขนาดใหญ่ที่ลอยตัวผืนนั้นจึงตกอยู่ในสายตาของคนทั้งโลก เสียงสูดหายใจดังขึ้นจากคนนับไม่ถ้วน เสียงฮือฮาแตกตื่นฟังไม่ได้ศัพท์ ท่ามกลางการไหลหายไปของพลังชีวิต นี่ได้กลายมาเป็นภาพที่เขย่าคลอนจิตวิญญาณของทุกผู้ทุกคนและเป็นภาพที่พวกเขามิอาจลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต

“สวรรค์ นี่…นี่มันอะไร!!”

“นั่นมัน…สายเหนือ?”

และวินาทีที่แผ่นดินสายเหนือลอยสู่ฟ้าสูง แผ่นดินผืนนั้นก็พลันปลดปล่อยแสงสีฟ้าพร่างพราว เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าแสงพวกนี้ล้วนแผ่ออกมาจากในรอยปริแตก และยิ่งนานแสงนี้ก็ยิ่งสว่างจ้า ทุกชีวิตที่อยู่บนแผ่นดินสายเหนือพลันหายวับไปเพราะถูกดูดเข้าไปในโลกสมบัติอาคม ขณะเดียวกันเสียงครืนครั่นก็ดังกึกก้องไม่หยุด เศษหินก้อนใหญ่ร่วงระนาวลงมาจากแผ่นดิน จนกระทั่งแผ่นดินสายเหนือทั้งผืน ลอยขึ้นไปอยู่บนฟ้านิ่งๆ แล้ว…เศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนที่ร่วงลงมาถึงได้ก่อตัวกันขึ้นเป็นรูปเป็นร่างของ…กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่ง!

กลายมาเป็น…สมบัติแห่งโลก กระบี่แห่งสายเหนือ!

กระบี่ยักษ์สีฟ้าเล่มนี้ยังคงส่งผลกระทบต่อโลกที่ตายไปแล้วได้อยู่ดี รอยยับย่นบนท้องฟ้ายิ่งเพิ่มมากขึ้น รอยปริแตกแผ่ลามไปทั่วทั้งแผ่นดิน พลานุภาพสยบที่สูงล้ำจนไร้คำพรรณนาแผ่กำจายออกมาจากบนกระบี่ใหญ่

และหลังจากที่กลายมาเป็นสมบัติแห่งโลกที่แท้จริงแล้ว บนกระบี่ใหญ่เล่มนี้ก็มีใบหน้าใหญ่ยักษ์ลอยขึ้นมา ซึ่งก็คือใบหน้าของบุรพาจารย์หันเหมิน ดวงตาของนางที่เต็มไปด้วยความเศร้าอาลัยมองไกลๆ ไปยังทิศทางที่ร่างของบรรพบุรุษโลหิตถูกเผาไหม้ และขณะที่นางพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบาซึ่งคนนอกไม่ได้ยิน สมบัติแห่งโลกสีฟ้านี้ก็กลายมาเป็นแสงสีฟ้าที่น่าครั่นคร้ามซึ่ง…ตรงดิ่งเข้าหามหาสมุทรทงเทียนพร้อมเสียงดังครืนครั่น!

เพราะขนาดของมันใหญ่เกินไป เพียงแค่ขยับทีเดียวก็มาปรากฏอยู่บนมหาสมุทรทงเทียนโดยตรง ท่ามกลางการขยับเข้ามาใกล้นี้ กระบี่ใหญ่สีฟ้าก็ได้หดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง มาถึงท้ายที่สุดก็กลายมาเป็นกระบี่ธรรมดาทั่วไป ซึ่งมาโผล่อยู่ใน…มือของป๋ายเสี่ยวฉุนที่คว้าไปยังทิศเหนือ และถูกเขากำเอาไว้แน่น!

เมื่อมือกุมกระบี่สายเหนือ กุมสมบัติแห่งโลกชิ้นนี้เอาไว้

ตบะทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ระเบิดออก ร่างทั้งร่างพลันแผ่อานุภาพน่ากริ่งเกรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาที่โชนแสงคมกริบมากด้วยความเย็นชาจ้องเขม็งไปยังน้ำวนสีเลือดลูกนั้น ครั้นจึงยกกระบี่ในมือขึ้นฟาดฟันเข้าใส่นักพรตทงเทียนที่ร่างถูกห้อมล้อมไปด้วยพายุแห่งพลังชีวิต…อย่างแรง!!

“ตาย!” เสียงคำรามของป๋ายเสี่ยวฉุนมาพร้อมกับแสงสีฟ้าของกระบี่ที่เจิดจ้าขึ้นมา วินาทีที่ตวัดลง เรือนกายของเขาก็พุ่งพรวดมาปรากฏอยู่บนท้องฟ้าแล้วกระโจนเข้าหานักพรตทงเทียนพร้อมเสียงอึกทึกไปตลอดทางไม่ต่างกัน

ลมหายใจของนักพรตทงเทียนถี่กระชั้น สัมผัสได้ถึงวิกฤตความเป็นความตายที่รุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขารู้จักกระบี่ใหญ่สายเหนือนี้ดี แต่กลับคาดไม่ถึงว่ามันจะแข็งแกร่งปานนี้

เขาจึงรีบยกมือขวาขึ้นมา แม้ว่าจะยังไม่ได้ดูดพลังของสรรพชีวิตในโลกมาทั้งหมด ทว่าตอนนี้เขาไม่มัวมาสนอะไรอีกแล้ว เพียงรีบซัดตบะทั่วร่างออกไปผสานรวมกับน้ำวนในมือขวา ทำให้พลังของน้ำวนลูกนี้ระเบิดปะทุออกเป็นวงกว้าง

หลังเสียงคำรามกร้าวของเขา หลังการตวัดมือขวาออกไปอย่างเหี้ยมหาญของเขา พลังการต่อสู้ที่ขยับเข้าไปใกล้ขอบเขตเทียนจุนเต็มพิกัดก็บินพรวดออกมาจากน้ำวน แล้วพุ่งปะทะเข้ากับกระบี่ใหญ่สายเหนือที่แล่นฉิวเข้ามาใกล้

บัดนี้เหมือนเวลาหมุนช้าลง การแห้งเหี่ยวของท้องฟ้า การแห้งขอดของพื้นดิน จิตสำนึกของทุกชีวิตล้วนเปลี่ยนมาเป็นเชื่องช้า…

มีเพียงน้ำวนที่บินออกไปและกระบี่ใหญ่สายเหนือเท่านั้นที่ยังคงกระแทกชนกัน…ในเสี้ยววินาที

เสียงตูมระเบิดออกมารุนแรงอย่างที่ไม่เป็นเคยมาก่อน เสียงนี้ดังเหนือกว่าทุกเสียงที่เคยปรากฏขึ้นในโลกใบนี้ ชั่วขณะที่ดังออกมา…คลื่นวิชาอภินิหารที่เกิดจากการปะทะรุนแรงระหว่างกระบี่ใหญ่สายเหนือกับน้ำวนลูกนั้นเหนือเกินกว่าว่าที่เทียนจุน ทั้งยังไต่ทะยานต่อเนื่องจนไปถึงระดับเทียนจุนอย่างแท้จริง!!

หากเปรียบเทียบโลกใบนี้เป็นบ้านกระดาษหลังหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นคลื่นที่เกินกว่าขอบเขตเทียนจุนขุมนี้ก็เป็นเหมือนเปลวเพลิงที่เผาไหม้บ้านกระดาษทั้งหลังในชั่วพริบตา!

ท้องนภาที่เสื่อมโทรมจนเต็มไปด้วยรอยยับย่นมิอาจฝืนยืนหยัดได้อีกต่อไป ท่ามกลางเสียงเกริกก้อง แผ่นฟ้าถูกกระชากออกให้กลายเป็นรอยแตกใหญ่ยักษ์ที่ยากจะบรรยายเส้นหนึ่ง ยังไม่สิ้นสุด ไม่นานรอยแตกเส้นที่สอง เส้นที่สาม จนกระทั่งถึงเส้นที่แปดก็ได้แผ่ลามไปทั่วทั้งผืนฟ้า…ท้องฟ้าทั้งผืนถูกฉีกกระชากออกเป็นเก้าส่วน!!

เมื่อท้องฟ้าถูกฉีกออกจึงมองไปเห็นความว่างเปล่าเบื้องหลังแผ่นฟ้า ซึ่งความว่างเปล่านั้นก็ถูกฉีกออกเช่นเดียวกัน จึงเผยให้เห็น…โลกที่ทุกคนไม่คุ้นเคยซึ่งอยู่ในความพร่ามัวใบหนึ่ง…

ขณะเดียวกันปราณระลอกแล้วระลอกเล่าที่ไม่ใช่ของโลกทงเทียนก็ไหลบ่าทะลักทลายเข้ามาตามรอยแตกเหล่านี้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะแผ่กระจายไปแปดทิศ

ตามมาติดๆ ด้วยแผ่นดินที่สะเทือนเลือนลั่น โลกทงเทียนรวมไปถึงแดนทุรกันดารแหลกสลายกลายเป็นสิบส่วน

บัดนี้โลกทงเทียนทั้งใบได้กลายมาเป็น…เก้าฟ้าสิบดิน!

และยังคงพังถล่ม ยังคงแตกทลายอย่างต่อเนื่อง!!

ทุกชีวิตที่อยู่ในโลกทงเทียนพากันตัวสั่น ทั้งเลื่อนลอย ทั้งตื่นตะลึง คลื่นที่ซัดไปแปดทิศราวกับฟ้าจะถล่มดินจะทลาย ราวกับจะทำลายล้างโลกนี้ทำให้หัวใจของทุกคนบังเกิดความสิ้นหวังและหวาดกลัวอย่างไร้คำบรรยาย

ขณะที่ความหวาดกลัวแผ่ขยายเป็นวงกว้าง การปะทะกันระหว่างน้ำวนและกระบี่ใหญ่สายเหนือก็ได้ดำเนินมาจนถึงขีดสูงสุด น้ำวนลูกนั้นบิดเบือนเหมือนมิอาจต้านทานกระบี่แห่งโลกสายเหนือได้ และพอเสียงตูมดังลั่น มันก็ระเบิดแตก!

นักพรตทงเทียนถูกแรงโจมตีของพลังการระเบิดซัดมาโดน เขารู้สึกเพียงว่าเหมือนมีลมพายุบ้าคลั่งพัดกระหน่ำเข้ามาแสกหน้า เหมือนถูกภูเขาใหญ่หลายลูกกระแทกทับร่างตัวเองติดต่อกัน เลือดสดๆ กระอักออกมาจากปาก เส้นผมของเขาพันกันยุ่งเหยิง ร่างถูกกระแทกรุนแรงจนกระเด็นลิ่วออกไป แต่ยังไม่ทันรอให้เขาถอยไปได้ไกลเท่าไหร่ แสงสีฟ้านั้นพลันเปล่งแสงวาบสะท้อนเข้าดวงตาของเขา วิกฤตรุนแรงผุดขึ้นมากลางใจ เขาฝืนเบี่ยงหลบ ทว่าเมื่อเลือดสดสาดกระจาย แขนขวาของเขาที่ถูกแสงสีฟ้าสาดมาโดนก็ถูกตัดขาดร่วงลง!

“เป็นไปไม่ได้!!” มุมปากของนักพรตทงเทียนเปรอะไปด้วยคราบเลือด เขาแผดเสียงร้องคำรามราวคนเสียสติ เขามิอาจยอมรับได้ ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งของป๋ายเสี่ยวฉุน โดยเฉพาะความยิ่งใหญ่ของตะเกียงอมตะ หรือแม้แต่กระบี่ใหญ่ที่ปีนั้นลูกศิษย์คนแรกของเขาใช้แผ่นดินสายเหนือสร้างขึ้นมา ทุกอย่างนี้ล้วนทำให้ใจเขาสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง

แม้เขาจะเพิ่งแน่ใจเมื่อไม่นานมานี้ว่าลูกศิษย์ใหญ่ยังไม่ตาย แล้วก็รู้เรื่องของสมบัติอาคมชิ้นนี้ด้วย แต่กระนั้นเขากลับไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก เพราะเขารู้ข้อสำคัญอยู่ข้อหนึ่งนั่นคือ ต่อให้ครึ่งเทพ…จะสามารถสร้างสมบัติแห่งโลกขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่สามารถสำแดงอานุภาพของมันออกมาได้เต็มที่!

ทว่าปราณกระบี่สะท้านฟ้าที่ระเบิดออกมาจากกระบี่ใหญ่สีฟ้าเมื่อครู่นี้กลับทำให้เขาตะลึงพรึงเพริดสุดประมาณ

“เป็นไปไม่ได้ นี่มันเป็นไปไม่ได้!!” นักพรตทงเทียนที่ใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่งพลันนึกถึงสิ่งหนึ่งที่ตนหลงลืมไป…

“ร่างจริงของใบหน้าผีหัวเราะร้องไห้!! สมควรตายนัก ต้องเป็นมันแน่นอน!!”

นักพรตทงเทียนถอยกรูดอย่างแตกตื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ก็กระอักเลือดออกมาเช่นกัน ต่อให้พลังการฟื้นตัวของเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ทว่าตอนนี้เมื่ออยู่ภายใต้คลื่นพลังที่เหมือนมาจากเทียนจุนตัวจริง อยู่ภายใต้แรงสะเทือนตีกลับที่ส่งมาจากกระบี่ใหญ่สายเหนือ เขาเองก็บาดเจ็บสาหัสในทันทีเช่นกัน

“นักพรตทงเทียน ตายซะเถอะ!!” แต่ต่อให้จะบาดเจ็บหนัก ทั้งการฟื้นตัวยังเปลี่ยนมาเป็นเชื่องช้าลงจากเดิม แม้แต่จิตสำนึกก็ยังพร่าเลือน ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังกัดปลายลิ้นตัวเองอย่างแรงเพื่อให้ตนคงสติเอาไว้ ครั้นจึงพกพาเอาปราณสังหาร พกพาเอาความดุร้ายถือกระบี่ใหญ่ของโลก กลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่ทะยานเข้าหานักพรตทงเทียน

ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย แต่ไอสังหารของเขาก็ยังพวยพุ่งเทียมฟ้า

นักพรตทงเทียนร้อนรนอยู่ในใจ เขามองออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ก็เหมือนม้าตีนปลาย แต่ตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน ท่ามกลางการถอยกรูดออกห่าง จู่ๆ ก็มีแสงสีฟ้าอีกเส้นฟันฉับลงมา ม่านตาทั้งคู่ของเทียนจุนหดตัว แผดเสียงร้องคำรามแล้วเบี่ยงหลบอย่างสุดความสามารถ ทว่าแสงสายฟ้าที่เปล่งวาบนั้นก็ยังฟันลงมาโดนขาซ้ายของเขา ท่ามกลางแสงสีเลือดแดงฉาน ขาของเขาก็ระเบิดออกทันใด!

ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้เสียงคำรามอื้ออึงของนักพรตทงเทียนแฝงเร้นไปด้วยความบ้าคลั่ง ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่ไล่กวดตามมาด้านหลังของเขากลับคลุ้มคลั่งยิ่งกว่า ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง ไม่สนใจเรื่องใดทั้งสิ้น เพราะเขาเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาไล่ฆ่ามาอย่างบ้าดีเดือด

พอเห็นสายตาวิปลาสของป๋ายเสี่ยวฉุน เทียนจุนผู้แข็งแกร่งก็ยังใจหายวาบ รีบหันไปตะโกนเร่งร้อนใส่อีกฝ่าย

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ตู้หลิงเฟยยังไม่ตาย!”

เสียงนี้ปานประหนึ่งอสนีบาตที่มาระเบิดอยู่ในจิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่จมอยู่กับความบ้าระห่ำสะท้านเยือกไปทั้งกาย ทว่าฝีเท้าของเขากลับไม่ได้ชะลอลงแม้แต่น้อย

เมื่อพบว่ามิอาจทำให้จิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นคลอนได้

นักพรตทงเทียนที่จนตรอกก็กัดฟันกรอด ครั้นจึงระเบิดร่างที่พิการของตัวเองทิ้ง เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ในร่างที่ระเบิดกระจายของเขามีอักขระตัวหนึ่งที่เปล่งประกายแสงระยิบระยับเหมือนกลุ่มแสงของเมล็ดพันธ์บินออกมา และเมื่ออยู่ภายใต้แรงโจมตีของหมอกเลือดซึ่งเกิดจากการระเบิดตัวเองของเขา ความเร็วของเขาจึงทะยานสู่ขีดสูงสุดไปพร้อมกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของเขาที่ทิ้งระยะห่างจากป๋ายเสี่ยวฉุนพลันตรงดิ่งไปยังท้องฟ้าที่พังทลาย

เมื่อเห็นว่าเทียนจุนใช้การระเบิดตัวเองแลกมาด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยอมไม่ได้ เขาพ่นเลือดสดออกมาอย่างบ้าคลั่ง ต่อให้อาการบาดเจ็บจะมากกว่าเดิม เขาก็ยังไม่แยแส รีบไล่กวดตามไปในชั่วพริบตา ทว่าขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไล่ล่าไปพร้อมๆ กับที่นักพรตทงเทียนเผ่นหนีนั้นเอง จู่ๆ …ท้องฟ้าทั้งผืนก็มีเสียงกัมปนาทสุดท้ายดังสนั่นออกมา นภากาศที่แตกกระจายกลายเป็นเก้าส่วน…บัดนี้ได้…พังครืน ถล่มลงมาอย่างสมบูรณ์แบบ!

ฟ้าถล่ม!

แรงโจมตีมหาศาลขุมหนึ่งระเบิดออกมาจากในท้องฟ้าที่ปริแตกแล้วกวาดตะลุยไปสี่ทิศ ป๋ายเสี่ยวฉุนและนักพรตทงเทียนกลายเป็นหนังหน้าไฟที่เผชิญกับแรงโจมตีนี้ก่อนผู้ใด ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เดิมทีก็ฝืนระงับอาการบาดเจ็บเอาไว้อย่างยากลำบากมิอาจหลบเลี่ยง ภายใต้แรงโจมตีนี้ ในสมองของเขามีเสียงตูมดังอึงอล ร่างของเขาถูกม้วนตลบออกไปไกลอย่างที่มิอาจควบคุม

จิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันพร่าเลือน เขาฝืนมองไปยังนักพรตทงเทียนที่อยู่ห่างไปไกล จึงเห็นว่าอีกฝ่ายก็ถูกแรงโจมตีนั้นท่วมกลบทับ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากจะยืนยันให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายตายหรือไม่ ทว่าร่างของเขากลับประคองตัวไม่ไหวอีกแล้ว สายตาเขาเริ่มพร่ามัว จิตสำนึกสุดท้ายทำให้เขาได้เห็นว่า…

ฟ้าดินผืนนี้ที่ถูกแรงโจมตีหลังจากฟ้าถล่มก็เหมือนลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่ถูกปล่อยออกมาจากจมูกของคนที่พลังชีวิตแห้งขอด…จากนั้นท้องฟ้าทั้งผืนก็เหมือนกลายมาเป็นหลุมดำใหญ่ยักษ์ พลังดึงดูดที่มากมหาศาลขุมหนึ่งแปรเปลี่ยนมาเป็นพลังการนำส่งที่เยื้องกรายลงมาจากท้องฟ้า หล่นร่วงไปทั่วร่างของทุกสิ่งมีชีวิตในโลกทงเทียน พริบตาเดียวก็นำส่งพวกเขาให้หายไป เมื่อมาปรากฏตัวกลับไม่ได้อยู่พื้นที่เดียวกัน แต่ถูกสุ่มไปอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ของโลกใบใหญ่ด้านนอก!

ทุกคนของสำนักสยบธาร ทุกคนของแดนทุรกันดาร และยังมีคนของโลกทงเทียนที่ยังเหลืออยู่ บัดนี้ทุกคนที่พลังชีวิตไหลหายไปในระดับที่ไม่เท่ากันล้วนถูกนำส่งให้หายไป…

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยมองฟ้าถล่มดินทลาย มองทุกชีวิตถูกนำส่งออกไป หัวใจเขาขมขื่น แต่ที่มากกว่าคือความเคว้งคว้าง หวนนึกถึงทุกเรื่องในอดีต ทุกความทรงจำที่เคยผ่านมาก็รู้สึกราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความจริง

“บ้าน…ไม่มีแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ เต็มไปด้วยความสับสนสำหรับอนาคตในวันข้างหน้า ครั้นจึงหมดสติไป และขณะที่ร่างของเขาร่วงลงมาก็ได้ถูกแสงนำส่งขุมหนึ่งปกคลุม และพริบตาเดียว…ก็หายวับไป

ก่อนหน้าที่จะหมดสติ หูของเขาเหมือนได้ยินเสียงจอแจดังแว่วเข้ามา บ้างก็เป็นเสียงของความตื่นเต้น บ้างก็ฮึกเหิม บ้างก็ละโมบ บ้างก็เป็นเสียงของความอำมหิต ซึ่งเสียงเหล่านี้เหมือนจะดังมาจากนอกโลก…

“แตกแล้ว ร่างกายของผู้บงการขุยแตกออกแล้ว!!”

“ฮ่าๆ ในที่สุดพวกเราก็รอจนได้เจอกับคนของโลกใบนี้! รีบไปแจ้งจักรพรรดิแสเร็วเข้าว่าคนของราชวงศ์จักรพรรดิขุยกำลังจะถูกส่งไปทั่วทุกมุมในแผ่นดินหย่งเหิง (แผ่นดินหย่งเหิงหรือแผ่นดินนิรันดร์กาล) ของพวกเรา พวกเราต้องรีบทำเวลาไปจับตัวพวกเขามาเป็นทาสให้หมด!!”

“หึ เจ้าแก่จักรพรรดิเซิ่งที่ทำเป็นวางมาดภูมิฐานผู้นั้นก็ละโมบอยากได้สายเลือดของราชวงศ์จักรพรรดิขุยเหมือนกัน แต่เขารู้ดีว่าแย่งชิงกับพวกเราไม่ได้ แล้วก็รู้ดีว่าหากราชวงศ์จักรพรรดิแสของเราจับคนของราชวงศ์จักรพรรดิขุยมาเป็นทาสได้สำเร็จ สายของจักรพรรดิเซิ่งอย่างพวกเขาย่อมต้องถูกฆ่าล้าง

ปีนั้นพวกเขาถึงได้เปิดสงครามขึ้นมาอย่างไม่เสียดายค่าตอบแทน ทั้งยังทำการจัดวางการนำส่งลงบนร่างของผู้บงการขุย รอจนพวกเขาปรากฏตัวแล้วต่างคนค่อยแย่งชิงกันอีกที!”

“ในบรรดาผู้บงการทั้งสามคน นี่คือร่างผู้บงการคนสุดท้ายที่ระเบิดออกแล้ว พวกเขาปรากฏตัวกันช้าเกินไป แผนการที่เดิมทีควรจะแบ่งใต้หล้าออกเป็นสามส่วนไม่สามารถเป็นจริงได้อีก ซึ่งคนของโลกจักรพรรดิขุยที่ปรากฏตัวนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องถูกราชวงศ์จักรพรรดิแสของพวกเราจับมาเป็นทาส!”

“สหายนักพรตจากโลกจักรพรรดิขุย พวกเราคือคนจากราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง พวกเรามาช่วยพวกเจ้า เข้าร่วมกับพวกเรา ช่วยเราต่อต้านจักรพรรดิแส! จำเอาไว้ว่าพวกเราคือราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง ต้องมาหาพวกเรา!!”

“ในแผ่นดินหย่งเหิง ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งของพวกเราคือผู้เดียวที่สามารถต้านทานราชวงศ์จักรพรรดิแสได้ สหายนักพรตจากโลกจักรพรรดิขุยทั้งหลาย รวมไปถึงจักรพรรดิขุยของรุ่นนี้ เมื่อเทียบกับราชวงศ์จักรพรรดิแสแล้ว ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งของพวกเราต่างหากถึงจะเป็นทางเลือกเดียวของพวกเจ้า!!”

……

บนแผ่นดินหย่งเหิง ตรงกลางระหว่างแดนเซียนทั้งห้าแห่ง ท่ามกลางความว่างเปล่าที่อบอวลไปด้วยทะเลหมอก ยามนี้มีรูปปั้นยักษ์ตนหนึ่งที่สูงตระหง่านจนแทบจะค้ำแผ่นฟ้า ซึ่งไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนั้นมาแล้วกี่ปี เมื่อเสียงกัมปนาทเสียงหนึ่งดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งแผ่นดินหย่งเหิง รูปปั้นก็พลัน…

แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ!

จบภาค 6

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!