บทที่ 1029 ป๋ายซิ่วไฉ
เวลาล่วงเลยผ่านไป ช่วงเวลาที่โลกทงเทียนพังทลายได้ผ่านไปแล้วครึ่งปี
ท้องฟ้าที่ไม่คุ้นเคย แผ่นดินที่ไม่คุ้นตา นครแปลกหน้า คนแปลกหน้า…
และอีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างก็คือ แผ่นดินผืนนี้ประกอบกันขึ้นมาจากแผ่นดินห้าผืนที่มีขนาดมโหฬารเกินจะเปรียบ พวกมันต่างถูกเรียกขานว่า…ดินแดนเซียน
“ดินแดนเซียน…” ในพื้นที่แห่งหนึ่งของอาณาบริเวณอันกว้างขวาง
บนดินแดนเซียนที่มีขนาดพอๆ กับโลกทงเทียนสิบกว่าแห่ง ทิศตะวันออกเฉียงใต้มีเทือกเขาขนาดมหึมาหลายเส้นตัดสลับกันราวกับกระดูกสันหลังของมังกรซึ่งทอดยาวไปราวกับไร้ที่สิ้นสุด ตรงตำแหน่งที่ตัดสลับกันได้กลายมาเป็นนครมากมายหลายแห่ง…และในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง
มีชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดยาวสีขาวเต็มไปด้วยรอยยับย่น บนเสื้อผ้าของเขายังมีคราบน้ำมันและคราบสกปรกเปรอะเปื้อนอยู่อีกไม่น้อย ชายหนุ่มกำลังเดินไปบนถนนด้วยอาการเมามาย ในมือเขาหิ้วเหล้ากาหนึ่งซึ่งบางครั้งก็ยกกรอกเข้าปากอึกใหญ่พลางพึมพำเบาๆ คล้ายเย้ยหยันตัวเอง
“ดินแดนเซียนงั้นหรือ…” ชายหนุ่มมีท่าทางห่อเหี่ยวคล้ายคนหมดสิ้นซึ่งชีวิตชีวา และด้วยความเมามาย แม้แต่เดินเขาจึงยังเดินเซไปเซมาไม่ตรงทาง
ตอนนี้น่าจะเป็นฤดูใบไม้ร่วง ลมศารทวิษุวัตพัดพาเอาความเยียบเย็นเสี้ยวหนึ่งมาจากเทือกเขากระดูกสันหลังมังกรที่อยู่ห่างออกไปไกล หอบเอาใบไม้เหลืองกรอบให้พัดปลิวผ่านอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ที่มีประชากรอยู่ไม่มาก ทั้งกันดารและทั้งคล้ายจะถูกปิดตายจากโลกภายนอก ความหนาวเย็นโจมตีผู้คน
ยามที่ลมพัดผ่านเรือนกายก็คล้ายจะลอดทะลวงเข้ามาในกระดูกแล้วแผ่ความเย็นเยียบจากภายในออกมาสู่ภายนอก คนส่วนใหญ่ที่อยู่บนถนนมักจะสวมอาภรณ์หนาชิ้น แต่ละคนต่างก็เร่งรีบเดินทาง
ราวกับว่าไม่มีใครยินดีเดินเตร็ดเตร่อยู่กลางสนธยาที่ลมฤดูใบไม้ร่วงเยือกเย็นพัดผ่านไปนี้ ทุกคนเพียงคิดจะกลับไปรับไออุ่นจากที่บ้าน ได้อยู่เคียงข้างญาติที่ตัวเองรัก ดื่มด่ำไปกับความอบอุ่นของครอบครัวโดยเร็วที่สุด
มีเพียงชายหนุ่มคนนี้เท่านั้นที่เหมือนจะหาทางกลับบ้านไม่เจอ เขาเหมือนคนเร่ร่อนที่หลงทางอยู่ภายนอก ได้แต่เดินซัดเซไปมาอยู่บนถนนอย่างเลื่อนลอย ปล่อยให้ลมฤดูใบไม้ร่วงระผ่านใบหน้าไปอย่างไม่ใยดี ราวกับว่าความหนาวเหน็บทรมานที่มาพร้อมกับสายลมก็ยังอยู่ห่างไกลจากความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างในใจของเขาจนเทียบกันไม่ติด เงาแผ่นหลังของเขาที่อยู่กลางแสงอาทิตย์อัสดงหลงเหลือเพียงความเดียวดาย…
ใบไม้เหลืองแห้งกรอบบางส่วนปลิวผ่านไปท่ามกลางสายลม และมีอยู่หลายใบที่เหมือนจะสัมผัสได้ถึงชะตาชีวิตดุจเดียวกันจากร่างของชายหนุ่มจึงไม่ยินดีจากไป ยังคงล้อมวนอยู่รอบกายเขา ปลิวห่างไปไกลพร้อมกับเขาไม่ยอมจากไปไหน
“ดินแดนเซียน…บ้าบออะไร…” ทั่วร่างของชายหนุ่มมีแต่กลิ่นเหล้าเหม็นคละคลุ้ง ขณะที่พึมพำเดินส่ายไปส่ายมา เขาก็ยกกาเหล้าขึ้นกรอกปากอีกครั้ง แต่พอเห็นว่าในกาเหล้าคล้ายจะว่างเปล่า ชายหนุ่มก็สบถด่า ก่อนจะแหงนหน้าอ้าปากกว้าง เขย่ากาเหล้าอยู่สองสามที จนกระทั่งมีเหล้าอีกสองสามหยดร่วงลงมาในปากถึงได้กลืนลงคอเสียงดังแจ๊บๆ
ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้น แสงของยามสนธยาที่เหลืออยู่สาดลงบนดวงตาที่ไร้ประกายของเขา สะท้อนให้เห็นถึงความเคว้งคว้างและขมขื่นในส่วนลึกของดวงตาที่ไม่อาจพัดพาให้จางหาย
“เหล้าหมดอีกแล้ว…เหล้าของโลกใบนี้ เป็นของดีจริงๆ” ชายหนุ่มก้มหน้าพึมพำพลางเดินเซซังมุ่งตรงไปยังทิศทางของร้านเหล้าที่คุ้นเคยพร้อมลมฤดูใบไม้ร่วงที่เคียงข้างเป็นเพื่อน
ร้านเหล้าอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ทว่าชายหนุ่มที่เดินไม่ตรงทาง เดี๋ยวเซไปซ้ายเดี๋ยวส่ายไปขวาจึงใช้เวลาถึงหนึ่งก้านธูปกว่าจะไปถึงร้านเหล้าพร้อมๆ กับแสงสุดท้ายของยามเย็นที่จางหายไป ตอนที่ผลักประตูของร้านเหล้าให้เปิดออก ไอร้อนที่แตกต่างจากลมเย็นของด้านนอกก็พลันพัดวูบเข้ามาพร้อมกับเสียงจอแจ
ในร้านเหล้าที่แม้จะมีโต๊ะอยู่แค่เจ็ดแปดตัว ทว่าตอนนี้กลับมีคนจับจองที่นั่งกันจนเต็ม แม้แต่ม้านั่งตัวยาวที่วางไว้รอบด้านก็ยังไม่มีที่ว่าง ทั้งยังมีเด็กหลายคนที่ติดตามมากับผู้ใหญ่ในครอบครัววิ่งเล่นไปมาอยู่ในร้าน ยามปกติคนในอำเภอนี้ไม่มีความบันเทิงอะไรให้คลายทุกข์มากนัก ดังนั้นร้านเหล้าที่ขายสุราเซียนแห่งนี้จึงกลายมาเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ครึกครื้นจำนวนไม่มากของอำเภอ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตลกของคนบ้านใกล้เรือนเคียง หรือจะเป็นข่าวซุบซิบเกี่ยวกับคนตระกูลใหญ่โตในเมือง ต่อให้เป็นตำนานเล่าลือเกี่ยวกับเทพเซียนก็มักจะถูกคนในร้านที่ดื่มเหล้าได้พอกรึ่มๆ หยิบยกขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงลึกลับเป็นประจำ สร้างเสียงหัวเราะเฮฮาให้กับคนนับไม่ถ้วน
สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ชีวิตเรียบง่ายที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะก็คือความเบิกบานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต
“นั่นมันป๋ายซิ่วไฉไม่ใช่หรือ (ซิ่วไฉคือตำแหน่งบัณฑิตซิ่วไฉในชนบทหรือไม่ก็เป็นคำเรียกปัญญาชนผู้ที่ได้ร่ำเรียนหนังสือ) เถ้าแก่ ดูท่าเซียนเหรินจุ้ย (เซียนเหรินจุ้ย เซียนเมามาย) ของร้านเจ้าจะมีแขกประจำมาเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว”
หลังจากที่ชายหนุ่มเข้ามาในร้าน ชายฉกรรจ์หลายคนที่ดื่มจนเมาได้ที่ก็พลันชี้มาที่ชายหนุ่มแล้วหัวเราะร่า
คำพูดที่ออกมาจากปากของคนเมาเช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้นี้แยกไม่ออกว่าเจตนาดีหรือเจตนาร้าย
สำหรับชายหนุ่มผู้นี้ คนในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้อาจไม่คุ้นหน้านัก ทว่าเหล่าแขกประจำของร้านเหล้ากลับคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ต่อให้ชายหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้เมื่อหลายเดือนก่อนจะไม่เคยพูดคุยทักทายกับใคร แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาชื่ออะไร ทว่าสง่าราศีที่เห็นได้ชัดว่าแตกต่างไปจากชายฉกรรจ์ส่วนใหญ่รวมไปถึงชุดอาภรณ์สีขาวตัวนั้น บวกกับท่าทางซังกะตายและความอ้างว้างขมขื่นที่ฉายชัดออกมาจากดวงตาของอีกฝ่ายก็ล้วนไม่ส่งผลกระทบต่อการคาดเดาที่ทุกคนมีต่อเขา
นี่คือปัญญาชนคนหนึ่ง แล้วก็เป็นซิ่วไฉคนหนึ่ง
เพราะเขาสวมชุดสีขาว ดังนั้นทุกคนจึงเรียกเขาว่า…ป๋ายซิ่วไฉ
“ป๋ายซิ่วไฉคนนี้น่าจะสอบไม่ติด ไม่มีหน้ากลับบ้าน ถึงได้เอาแต่เมามายตลอดทั้งวันแบบนี้…”
“ไม่ถูกสิ หากจะให้ข้าเดา คนในครอบครัวของป๋ายซิ่วไฉต้องมีใครตายแน่นอน น่าจะถูกปล้นระหว่างเดินทาง เขาทนรับความสะเทือนใจไม่ไหวถึงได้หมดอาลัยตายอยากแบบนี้” ทุกคนที่อยู่ในร้านเหล้าจำไม่ได้แล้วว่าป๋ายซิ่วไฉผู้นี้มาซื้อเหล้าไปแล้วกี่ครั้ง ยามนี้พอเห็นท่าทางหงอยเหงาเศร้าซึมของอีกฝ่ายก็อดที่จะคาดเดาและสะท้อนใจไม่ได้
ชายหนุ่มทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ที่ดังเข้าหู เขาเดินโซเซไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะคิดเงินของร้านเหล้า เอากาเหล้าในมือวางลงบนโต๊ะแล้วพึมพำเสียงอ้อแอ้
“เถ้าแก่ เอาเหล้า…เซียนเหรินจุ้ยมาอีกไห เซียนเหรินจุ้ยของพวกเจ้า…เป็นของดีจริงๆ”
เถ้าแก่ร้านเหล้าเป็นชายชราสวมชุดสีเขียวผู้หนึ่ง พอเห็นชายหนุ่มที่ท่าทางห่อเหี่ยวตรงหน้าเขาก็ถอนหายใจหนึ่งที ครั้นจึงเอ่ยเสียงหนัก
“ป๋ายซิ่วไฉ ใกล้จะถึงช่วงชำระเงินปลายปีแล้ว เก็บเงินของเจ้าไว้แล้วรีบกลับบ้านไปเถอะ”
“บ้าน…” ชายหนุ่มอึ้งไปครู่แล้วก็ยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยความเลื่อนลอย มากด้วยความเจ็บปวด เขาพลันควักเอาเงินปึกใหญ่ออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอกแล้วตบลงไปบนโต๊ะ
“เถ้าแถ่ เจ้าคิดว่าข้าไม่มีเงินหรือไง!”
เถ้าแก่ร้านเหล้าขมวดคิ้ว พอเห็นว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่รู้จักเห็นแก่ความหวังดีของคนอื่นก็ให้รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย พอหยิบเอาเงินมาได้ก็กรอกเหล้าใส่กาจนเต็มแล้วโยนไปให้ จากนั้นก็ไม่สนใจเขาอีก
ชายหนุ่มรับกาเหล้ามา นัยน์ตาฉายความหิวกระหาย รีบกรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่จนใบหน้าเริ่มเป็นสีแดงปลั่ง ดวงตายิ่งขุ่นมัวพร่าเลือน ทว่าใบหน้ากลับยังมีรอยยิ้มประดับ ครั้นจึงเดินส่ายโงนเงนออกไปนอกร้าน
เด็กหลายคนที่อยู่ในร้านวิ่งไล่กันจนมาถึงข้างกายของชายหนุ่ม พอเห็นสภาพเช่นนี้ของชายหนุ่มก็พากันวิ่งอ้อมตัวเขาอย่างสนุกสนาน บางครั้งก็เปล่งเสียงร้องเรียกเขาว่าผีขี้เมา
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจ พอเดินออกมาจากร้านเหล้า ท้องฟ้าด้านนอกก็เป็นสีดำสนิทแล้ว ลมฤดูใบไม้ร่วงยิ่งหนาวเหน็บ ทอดสายตามองไป บ้านเรือนที่อยู่รอบๆ ล้วนมีแสงไฟจุดสว่าง มีเพียงหัวใจเขาเท่านั้นที่มืดมิด
ท่ามกลางความซึมกะทือไร้ชีวิตชีวา ความมืดมิดในใจแผ่ลามมายังดวงตาทั้งสองข้างของเขา เบื้องหน้าจึงมีแต่ความพร่าเลือน และไม่นานร่างของเขาที่เดินปัดซ้ายปัดขวาก็ค่อยๆ จากไปไกล จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าวัดเก่าโทรมแห่งหนึ่งถึงได้ทรุดตัวลงนั่งพิงผนังวัด ยกกาเหล้าขึ้นกรอกปากคำแล้วคำเล่า…
ลมฤดูใบไม้ร่วงยิ่งหนาวสะท้าน เสียงลมพัดยิ่งนานก็ยิ่งดังคล้ายเสียงสะอื้นไห้ที่ดังอยู่ข้างหู สายลมพัดให้ใบไม้แห้งที่กองอยู่เต็มพื้นปลิวคว้างพร้อมเสียงดังกรอบแกรบ และมีบางส่วนที่ถูกลมพัดมาให้ร่วงลงบนร่างของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มมองใบไม้แห้งที่หล่นลงบนหลังมือของตัวเองด้วยสายตาเหม่อลอย ใบไม้ใบนี้…หล่นลงปิดรอยแผลเป็นเส้นเล็กๆ ที่ถูกไฟไหม้ของเขาพอดี
“ฮ่าวเอ๋อร์…” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่ว ความเศร้าอาลัยในใจผุดขึ้นมาอีกครั้ง เขาได้แต่ดื่มเหล้า ใช้เหล้าเซียนเหรินจุ้ยมาทำให้ตัวเองจมจ่อมอยู่กับความเลอะเลือน จมจ่อมอยู่กับความมึนเมา ราวกับว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้น…ถึงจะทำให้เขาลืมความเจ็บปวดในอดีตและลืมความเลื่อนลอยต่ออนาคตไปได้
เขา ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน
ความสนุกสนานในอดีต เสียงหัวเราะในวันวานเป็นดั่งฤดูกาล เมื่อฤดูร้อนผ่านพ้นไป ฤดูใบไม้ร่วง…ก็ได้กลายมาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ทันรู้ตัว
อีกสิ่งหนึ่งที่หายไปพร้อมกันยังมีบ้านของเขา เมื่อโลกทงเทียนพังทลาย เสียงกัมปนาทของฟ้าถล่มดินทลายนั้นเป็นเสียงกังวานเสียงสุดท้ายก่อนหน้าที่สติของเขาจะขาดหาย
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาในโลกแปลกหน้าใบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนหายไปหมดแล้ว…
บ้าน ไม่มีแล้ว
สำนักสยบธาร หลี่ชิงโหว…สตรีธุลีแดง ซ่งจวินหว่าน ทุกอย่าง…ไม่มีอีกแล้ว
ยังดีที่เหมือนว่าเทียนจุนก็จะตายไปแล้วเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่มีความยินดีที่ได้แก้แค้น ในใจเขามีแต่ความโศกเศร้าซึ่งกลายมาเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่กลบทับเขาไว้จนมิด
เขาเองก็อยากมีชีวิตชีวา ถึงขั้นที่ว่าตอนที่ถูกส่งมายังดินแดนเซียนแห่งนี้ เขาเคยใช้เวลาหลายเดือน ใช้ทุกความสามารถที่มี ใช้ตบะของตน ใช้อำนาจจิตของตน ใช้ทุกวิถีทางที่ตัวเองทำได้เพื่อตามหา
ทว่าสิ่งที่เขาค้นพบ…มีเพียงซากศพ ครั้งแล้วครั้งเล่า ซากศพมากมายของคนจากแผ่นดินทงเทียนที่ตายไปเพราะแบกรับแรงนำส่งไม่ไหวได้กลายมาเป็นฝันร้ายของป๋ายเสี่ยวฉุน กลายมาเป็นน้ำตาแห่งความอาลัยของเขา กลายมาเป็นการโจมตีที่ทำให้เขาสูญสิ้นความกระตือรือร้นทั้งหมดไป!
ตามหามานานหลายเดือน ในบรรดาศพมากมายที่นับไม่ถ้วนเหล่านั้นมีทั้งก่อกำเนิด แล้วก็มีทั้งคนฟ้า นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนแหลกสลาย
เขาไม่กล้าตามหาอีกแล้ว ไม่กล้าจินตนาการว่าวันใดวันหนึ่งระหว่างที่ตัวเองตามหาจะได้เห็นหลี่ชิงโหว เห็นสตรีธุลีแดง เห็นซ่งจวินหว่าน เห็นทุกคนที่เขาคุ้นเคยกลายมาเป็นเพียงซากศพ
ความตายของป๋ายฮ่าว แผนการของคนเฝ้าสุสาน น้ำตาของตู้หลิงเฟย การพังทลายของโลกทั้งใบ และคนมากมายที่สุดท้ายกลายมาเป็นศพ…ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนแบกรับไม่ไหวอีกต่อไป
สุดท้ายเขาที่หัวใจเหนื่อยล้าจนหมดสิ้นเรี่ยวแรงจึงได้แต่ใช้ชีวิตไร้ค่าอย่างคนเมาที่อยู่ในโลกแห่งความฝันในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้…
เดิมทีเขาก็ไม่ใช่บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่มีใจทะเยอทะยานอย่างเทียนจุนอยู่แล้ว เขาเป็นเพียงป๋ายเสี่ยวฉุน…บุคคลตัวเล็กๆ ที่แสวงหาความเป็นอมตะเพื่อได้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขเท่านั้น
“หากยังมีชีวิตอยู่ พวกเจ้า ไปอยู่ที่ไหนกันนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ ก่อนหลับตาลงด้วยความขมขื่นแล้วจึงผล็อยหลับไปพร้อมกับความเมามาย