บทที่ 11 โหวเสี่ยวเม่ย
ความหวังที่ปลายอุโมงค์ นี่คือความคิดอย่างแรกที่วาบขึ้นมาในสมอง หลังจากที่ชายนักการหน้ายาวได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่พอสายตาของเขาไปตกอยู่ที่ภูเขาเนื้อทั้งสองซึ่งมีรอยยิ้มชั่วร้ายด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุน ก็ลังเลเล็กน้อย
“เจ้า…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มเต็มหน้า ท่าทางน่าเอ็นดู เดินขึ้นไปข้างหน้าสี่ห้าก้าวด้วยท่าทีไร้พิษภัย ตบไหล่ของชายนักการหน้ายาว เอ่ยปากด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย
“ยินดีด้วยที่ศิษย์พี่จะได้กลายเป็นศิษย์นอกฝ่าย นับแต่นี้ก็เหมือนปลาที่กระโดดข้ามประตูมังกร ตำแหน่งเลื่อนขึ้นพรวดพราด อนาคตก้าวไกลไร้ขีดจำกัด แต่ศิษย์น้องอย่างข้าวิ่งมาถึงนี่ได้ด้วยความยากลำบาก ศิษย์พี่ว่าควรจะให้อะไรตอบแทนหน่อยหรือเปล่า”
ชายนักการหน้ายาวสีหน้าเหยเกขึ้นมา ในเวลานี้หากเขายังไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย ก็นับว่าเสียแรงที่มีชีวิตอยู่มานานหลายปีขนาดนี้ มองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที แล้วก็มองไปยังจางต้าพั่งและเฮยซานพั่งอีกหนึ่งที สีหน้าของเขาเดี๋ยวดีเดี๋ยวเสีย ความคิดหมุนเร็วจี๋ ประเมินผลได้ผลเสีย
ไม่นานชายหนุ่มหน้ายาวก็กัดฟันกรอด จะให้เขาละทิ้งโอกาสนี้เขาก็ยอมไม่ได้จริงๆ รอไปอีกหนึ่งเดือนถือเป็นเรื่องเล็ก แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อถึงเดือนหน้า เขายังจะต้องเจอคนที่แข็งแกร่งคนอื่นอีกหรือไม่ อีกทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้านี้…ไม่แน่ว่าเดือนหน้าก็อาจจะยังคงอยู่
ที่สำคัญที่สุดคือ เขาร้อนใจอยากจะเป็นศิษย์นอกฝ่ายมากเหลือเกินแล้ว ในเวลานี้ความหวังมารออยู่ตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงกระทืบเท้าอย่างแรงหนึ่งครั้งด้วยความร้อนรน
“เจ้าต้องการค่าตอบแทนเท่าไหร่?” เขากัดฟันพูด
“ไม่มากๆ ข้าเตรียมตัวอยู่หลายเดือนเพื่อการทดสอบครั้งนี้ เอาอย่างนี้ ท่านให้ข้าแค่ยี่สิบหินวิเศษก็พอแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าบานเป็นกระด้ง รีบโก่งราคาสูงทันที ชายหนุ่มหน้ายาวได้ยินก็ใจกระตุก ขณะที่สะบัดชายเสื้อเตรียมปฏิเสธ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เอ่ยปากอีกครั้ง
“นี่ไม่ใช่ว่าศิษย์น้องอยากได้อยากมีนะ ท่านก็เห็นว่าพวกเรามีกันสามคน ท่านจะให้ข้าแค่คนเดียวก็ไม่ได้ เพื่อการทดสอบครั้งนี้ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่สามของข้า ต้องอดอาหารกันจนผอมเลย”
ข้อนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้โกหก ตลอดทางที่วิ่งขึ้นมานี่ เพื่อทำความเร็วให้ได้ จางต้าพั่งและเฮยซานพั่งต่างก็ผอมลงไปนิดๆ จริงๆ
ชายนักการหน้ายาวมองไปยังจางต้าพั่งและเฮยซานพั่ง ในใจไม่รู้ว่าแอบด่าไปแล้วกี่ประโยค แล้วจึงต่อรองราคากับป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ครู่หนึ่ง ต่อมาก็ตกลงกันได้ที่สิบหกหินวิเศษ ท้ายที่สุดจึงข่มกลั้นความเจ็บใจ โยนถุงห่อหนึ่งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน
“ได้แล้วใช่ไหม!” แม้แต่เสียงของเขาก็ยังแหบแห้ง
“ไม่มีปัญหาแล้ว ศิษย์พี่รออยู่ข้างๆ นี้สักครู่ เดี๋ยวพอมีมาอีกสองคน พวกเราค่อยเปิดประตูพร้อมกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนโยนหินวิเศษไปให้จางต้าพั่ง เอ่ยปากอย่างเบิกบานใจ
ได้ยินว่าต้องรออีกสองคน ไม่รู้ว่าทำไมในใจของชายหน้ายาวถึงรู้สึกรอคอยเล็กน้อย มันคือความรู้สึกซับซ้อนประมาณว่าหากข้าไม่ได้ดี เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ดี
ขณะเดียวกันนั้น ศิษย์นอกฝ่ายสองคนที่ยืนอยู่ข้างทางออกเห็นภาพการแลกเปลี่ยนซื้อขายนี่จะๆ ตา ก็เบิกตากว้าง เผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา
“พวกเจ้า…พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน ถึงขนาดขายตำแหน่งศิษย์นอกฝ่ายกันอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ ช่างบังอาจยิ่งนัก!” น้ำเสียงของศิษย์นอกฝ่ายสองคนนี้ดุดันขึ้นมาอย่างฉับพลัน ตะโกนเสียงต่ำขึ้นมา
“ตะโกนทำไม พวกเราปีนมาถึงตรงนี้เหนื่อยแล้ว ไม่อยากปีนต่อ ยกให้พวกเดียวกันก็ไม่ได้งั้นเหรอ ศิษย์น้องร่วมสำนักเห็นว่าพวกเราเหนื่อยยากขนาดนี้ เป็นฝ่ายเสนอค่าตอบแทนให้พวกเราเองไม่ได้หรือไง” จางต้าพั่งกำลังนับหินวิเศษด้วยความปรีดา ได้ยินคำพูดไม่เข้าหูก็หันกลับไปจ้องศิษย์นอกฝ่ายสองคนนั้นอย่างดุดัน
คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้ศิษย์นอกฝ่ายสองคนนั้นไร้คำพูดโต้ตอบไปชั่วคราว ไม่รู้ว่าควรจะโต้กลับอย่างไร
และในเวลานี้ บนบันไดของเส้นทางทดสอบมีคนเจ็ดแปดคนกำลังดิ้นรนเดินขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าเห่อแดง เสียงหอบหายใจดังเหมือนเสียงฟ้าผ่า คนที่อยู่หน้าสุดคือชายร่างใหญ่อายุประมาณสามสิบปีคนหนึ่ง ชายร่างใหญ่คนนี้เปลือยท่อนบน รูปร่างกำยำล่ำสัน หลังจากที่เดินทีละก้าวๆ จนมาถึงด้านบน สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นประกาย รีบเดินเข้าไปรับหน้า
“ศิษย์พี่ท่านนี้ ท่านมาช้าไปก้าวเดียวเอง แต่ว่าอยู่ๆ ศิษย์พี่ของข้าก็ไม่อยากเป็นศิษย์นอกฝ่ายแล้ว ตำแหน่งนี้ท่านต้องการหรือไม่?”
ชายร่างใหญ่คนนั้นอึ้งไปเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน และก็เห็นว่าบนยอดเขามีคนอยู่มากมาย ก็เข้าใจได้ในทันที ทำเสียงหึเย็นชาหนึ่งครั้ง
“ลูกหมาอย่างเจ้าก็กล้ารีดไถข้าอย่างนั้นรึ ไสหัวไป!” เขาคำรามเสียงต่ำหนึ่งที มือขวายกขึ้นสะบัดแรงๆ แรงดันวิญญาณช่วงท้ายของการรวมลมปราณขั้นที่สามกระจายออกมาในทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยหลังหนึ่งก้าว ตะโกนเสียงดังหนึ่งคำ
“ศิษย์พี่ใหญ่!”
แทบจะเวลาเดียวกันกับที่คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งออกมา ภูเขาเนื้อลูกหนึ่งก็ลงมาจากด้านบนพร้อมเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น
ชายร่างใหญ่หน้าเปลี่ยนสี ขณะที่มองไปยังด้านบน เสียงสะท้านสะเทือนดังมา ภูเขาเนื้อก็กระแทกทับเข้าที่ร่างของเขาแนบสนิท
ชายร่างใหญ่ร้องโหยหวน ถูกจางต้าพั่งนั่งทับทั้งตัว ดิ้นรนอยู่นานก็ยังไม่สามารถหนีออกมาจากใต้ภูเขาเนื้อลูกนั้น หากไม่เพราะร่างกายของเขาแข็งแรงกำยำ คงขาดลมหายใจไปนานแล้ว
นักการเจ็ดแปดคนที่ตามหลังชายร่างใหญ่มาติดๆ เห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้า แต่ละคนล้วนตาโตอ้าปากค้าง หวาดหวั่นไปตามๆ กัน
รวมถึงศิษย์นอกฝ่ายสองคนนั้น ในเวลานี้ก็ยังอ้าปากพะงาบๆ เห็นชายร่างใหญ่ถูกทับอยู่ใต้ร่างจางต้าพั่งที่ใกล้จะบี้แบนเข้าไปทุกที ก็อดเห็นใจไม่ได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ มีคนมองอยู่นะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลอกตา พูดเสียงเบาอยู่ข้างๆ จางต้าพั่ง
จางต้าพั่งที่คลุกคลีกับป๋ายเสี่ยวฉุนมาปีกว่าพอได้ยินประโยคนี้ก็เข้าใจในทันที เบิกตากว้าง ยกกำปั้นที่ขนาดพอๆ กับค้อนขึ้น แล้วทุบลงไปที่ชายตัวใหญ่ใต้ร่างด้วยเสียงอันดังสนั่น
“คิดจะมาชักดาบเหมือนกินข้าวไม่จ่ายเงินต่อหน้าข้า ใจกล้านักนะ!” กำปั้นของจางต้าพั่งทุบลงไป
“พวกเราพี่น้องขึ้นมาถึงบนนี้ด้วยความยากลำบาก เดิมต้องได้เป็นศิษย์นอกฝ่ายแล้ว แต่เปลี่ยนใจกะทันหัน ให้เจ้าตอบแทนนิดๆ หน่อยๆ มันมากเกินไปนักหรือไง!”
“แม่งเอ้ย เจ้ากล้าปฏิเสธเชียวเรอะ!” ขณะที่พูด จางต้าพั่งไม่เพียงแต่ใช้กำปั้น เขายังยกตัวขึ้นและนั่งลงไปอีกครั้ง กดทับจนชายร่างใหญ่ร้องโหยหวนติดต่อกัน แทบจะขาดลมหายใจ เห็นตัวของจางต้าพั่งยกขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของชายร่างใหญ่ก็มีแต่ความหวาดกลัว ดิ้นรนยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง ยกถุงขึ้นสูง รีบเอ่ยปาก
“ข้าจ่ายค่าตอบแทนให้!”
จางต้าพั่งชะงัก รีบลุกยืนประคองชายร่างใหญ่ขึ้นมาด้วยใบหน้าเบิกบาน ก่อนจะแย่งเอาถุงผ้ามาดูหนึ่งที สีหน้าดีใจจนกลั้นไม่อยู่ ถึงขนาดเดินหน้าไปช่วยปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าของชายร่างใหญ่คนนั้นด้วยตัวเอง
“ฮ่าๆ เพื่อนรัก ก็พูดแต่แรกสิ มาๆๆ ไปเข้าแถวรอตรงนั้นก่อน มาเพิ่มอีกคน พวกเราก็จะเปิดประตูแล้ว”
ชายร่างใหญ่อึดอัดคับข้องใจ โมโหแต่ไม่กล้าพูด ข่มอารมณ์มายืนอยู่ข้างชายนักการหน้ายาว ระทมทุกข์อย่างมาก ชายนักการหน้ายาวกลับสบายใจขึ้นมาเยอะ รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองฉลาดมาก
“ศิษย์พี่ใหญ่ช่างน่าเกรงขาม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มหน้าบานจนปากแทบจะฉีกถึงหู โดยเฉพาะเมื่อเห็นคนพวกนั้นที่ตามหลังชายร่างใหญ่มา ในเวลานี้ล้วนหยุดชะงักฝีเท้า แต่ละคนมีสีหน้าอกสั่นขวัญบินก็ยิ่งอารมณ์ดี
จางต้าพั่งใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เดินตัวโยกมาหยุดอยู่ข้างทางออก ขวางประตูเอาไว้ แล้วก็นั่งลงไปใหม่
ศิษย์นอกฝ่ายสองคนที่อยู่นอกทางออกมองหน้าสบตากันในเวลานี้ พวกเขารู้สึกว่าก่อนหน้านี้เจ้าสามคนนี่ทำเกินไป ถึงขั้นรีดไถกัน แต่ตอนนี้เห็นอย่างนี้แล้ว ก็ราวกับว่าก่อนหน้านี้ดูจะนุ่มนวลไปเลย
“พวกเขา…พวกเขาถึงขั้นกล้าบังคับแย่งชิง!!”
“นี่มันปล้นกันชัดๆ !” สองคนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ลึกๆ ในใจแล้วกลับอิจฉาเสียมากกว่า แอบคิดว่าทำไมปีนั้นตนเองไม่คิดถึงวิธีนี้บ้าง
เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว ผู้ที่มีความคิดสับสนมากยิ่งกว่าก็คือนักการเจ็ดแปดคนที่ตามหลังชายร่างใหญ่คนนั้นขึ้นมา พวกเขาเห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่ชายร่างใหญ่ถูกจางต้าพั่งนั่งทับตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตาของตัวเอง ในเวลานี้แต่ละคนยืนอยู่ตรงนั้น นัยน์ตากลับค่อยๆ ปรากฏแววประหลาดใจ
เดิมทีเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะได้กลายเป็นศิษย์นอกฝ่าย แต่ตอนนี้พอมีเรื่องนี้เตะถ่วงอยู่ ก็เหมือนว่า…จะมีโอกาสแล้ว
“ศิษย์พี่ทุกท่าน ยังเหลือตำแหน่งสุดท้ายอีกหนึ่งคน เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกท่านใครให้ราคาสูงสุดคนนั้นก็ได้ไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนช่างเป็นคนเฉลียวฉลาดนัก เห็นภาพนี้ก็เอ่ยปากทันที เสียงแหลมเล็กของเขาดังไปทั่วทิศ เหมือนได้ชักจูงความคิดของทุกคนให้ระเบิดออก ทำให้เสียงลมหายใจหอบฮักกลายเป็นเสียงหายใจอย่างรุนแรงขึ้นมาในทันที
ความแปลกใจในแววตานักการเจ็ดแปดคนนั้นขยายวงกว้างอย่างไร้ขีดจำกัดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ในใจอดมีความคิดที่ทำให้หัวใจเต้นกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้
“ข้าให้สิบหินวิเศษ!”
“สิบเอ็ด!”
“ตำแหน่งนี้ต้องเป็นของข้า ข้าให้สิบห้าหินวิเศษ!”
ชั่วพริบตาเสียงให้ราคาก็ดังขึ้นๆ ลงๆ ประหนึ่งว่าสถานที่นี้ได้กลายเป็นสนามประมูลไปแล้ว พวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคนยิ่งได้ยินก็ยิ่งตื่นเต้น
ส่วนศิษย์นอกฝ่ายสองคนที่อยู่ตรงประตู เมื่อได้ยินก็ยิ่งเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟ ในสายตาของพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงการรีดไถ ต่อให้เป็นการปล้นกันก็ช่าง แต่ถึงขั้นที่ว่ามาเปิดสนามประมูลกันที่นี่ ในสมองของทั้งสองอื้ออึงทันที ความรู้สึกเหลวไหลในใจประหนึ่งคลื่นที่โหมซัดอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกว่าในสามคนนี้คนที่น่ารังเกียจที่สุดไม่ใช่จางต้าพั่ง แต่เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่ภายนอกดูน่าเอ็นดูคนนี้นี่แหละ!
“เกินไปแล้ว ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!” หนึ่งในนั้นกัดฟัน ดวงตาแดงก่ำ ในใจลึกๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอิจฉาหรือว่าโมโห รีบหมุนตัวเดินจากไปไกล จะไปรายงานให้ผู้ควบคุมของสำนักทราบเรื่อง
การให้ราคายังคงดำเนินต่อ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังรู้สึกว่าไม่ดุเดือดมากพอ ดวงตากลอกเป็นวงแล้วเอ่ยปากอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ทั้งหลายต้องเร็วหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นเวลาถูกเตะถ่วงนานไป นักการคนอื่นพากันปีนขึ้นมา สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ต่อให้ขายตัวก็ยังยอมทำเชียวนา”
เมื่อคำพูดนี้เปล่งออกไป ทันใดนั้นบนเส้นทางทดสอบด้านหลังของฝูงชน มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่มาพร้อมกับความตื่นเต้นลอยมาอย่างฉับพลัน
“ข้าโหวเสี่ยวเม่ยให้สามสิบหินวิเศษ! บ้านของข้าคือตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร ไม่ขัดสนหินวิเศษ ใครหน้าไหนกล้าแก่งแย่งกับข้า!” ผู้พูดคือหญิงสาวอายุน้อย ผิวพรรณขาวผ่อง รูปร่างเล็กกะทัดรัด ทั้งยังหน้าตาสะสวย ในเวลานี้กำลังปีนขึ้นมาด้วยอาการหอบฮักๆ
จางต้าพั่งพอได้เห็นหญิงสาวอายุน้อยผู้นี้สายตาก็แข็งทื่อ กำลังคิดอยากจะพูดอะไรบางอย่างทว่ากลับข่มกลั้นไว้ แต่ยังปรายตามองไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างอดไม่อยู่
จากการให้ราคาของโหวเสี่ยวเม่ย ฝูงชนที่กำลังเปิดราคากันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็วงแตกในทันที ราคาลอยละลิ่วขึ้นสูงในบัดดล จนถึงท้ายที่สุด โหวเสี่ยวเม่ยที่อ้างว่าตนเองคือลูกหลานของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้น ก็ให้ราคาที่ทำให้ชายหนุ่มหน้ายาวและชายร่างใหญ่ล้วนขวัญหนีดีฝ่อ ถึงขนาดมีความรู้สึกว่าตนเองได้ราคาถูกเสียอีก
ไม่นานนักโหวเสี่ยวเม่ยก็ยืดอก เดินออกมาจากฝูงชนด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ ปรายตามองฝูงชนที่อยู่ด้านหลังอย่างดูถูก จากนั้นจึงเดินขึ้นไปบนบันไดขั้นสุดท้ายพร้อมกับชายหน้ายาวที่หัวเราะขื่นๆ อยู่ในใจ และชายร่างใหญ่ที่เรียกตนเองว่านายท่านหมาป่า ก้าวขึ้นไปยังบันไดขึ้นสุดท้าย เดินออกไปจากเส้นทางประลองกันสามคน
เบื้องหลังพวกเขา พวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคนทำมือประสานโค้งคำนับ
“ยินดีกับสหายทั้งสามท่านด้วย นับแต่นี้ไปก็เป็นปลาที่กระโดดข้ามประตูมังกร เลื่อนตำแหน่งอย่างพรวดพราด!”
พวกชายนักการหน้ายาวยืนอยู่บนยอดเขา ใจลอยเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะได้เป็นศิษย์นอกฝ่ายแล้ว แต่กลับพบว่าตนเองไม่ได้ดีใจมากมายอย่างที่คิดไว้ คำพูดของพวกป๋ายเสี่ยวฉุนสะท้อนไปมาอยู่ตรงใบหู ชายนักการหน้ายาวและชายร่างใหญ่สบตากันหนึ่งครั้ง ทำได้เพียงยิ้มขื่นๆ อย่างปลงอนิจจัง
มีเพียงแค่โหวเสี่ยวเม่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ เท่านั้น ที่ยังคงตื่นเต้นไม่หยุด ใบหน้าขาวนวลเนียนในเวลานี้เป็นสีแดงเปล่งปลั่ง
“ไม่นึกเลยว่าข้าโหวเสี่ยวเม่ยจะได้มาเจอเรื่องดีๆ แบบนี้กับเขาด้วย” โหวเสี่ยวเม่ยคิดอย่างภาคภูมิใจ
———-