บทที่ 1105 เจ้าจะยอมหรือไม่ยอม
“เสี่ยวฉุนเจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม ต่อให้ไม่มีเขตการปกครองเสินหลัวแล้ว พวกเราก็ยังหาวิธีอื่นกันได้ ตำแหน่งของข้าจักรพรรดิเซิ่งเป็นผู้แต่งตั้งให้ คิดๆ ดูแล้วเทียนจุนวิเศษกาลนานนั่นก็คงไม่กล้าข่มข้ามากเกินไปนัก! จะอย่างไรก็ต้องมีคำอธิบายให้แก่ข้า…”
ราชาผียักษ์มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ตรงหน้า เขาก็พลันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ แล้วก็เพราะเรื่องราวที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยทำลงไปที่ไม่ว่าเรื่องไหนก็ล้วนทำให้เขาอกสั่นขวัญผวา เวลานี้เขาจึงยิ่งเสียใจที่ตัวเองไม่ควรเล่าให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟัง
ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหน้าแรงๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“เสี่ยวฉุน ต่อให้เจ้าคิดจะลงมือทำเรื่องนี้จริงๆ พวกเราก็ต้องวางแผนระยะยาวนะ จู่ๆ เจ้าจะบุกไปฆ่าเทียนจุนวิเศษกาลนานโต้งๆ แบบนี้ก็แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้หรอก” ราชาผียักษ์รีบห้ามปรามด้วยความร้อนใจ
พอได้ยินคำพูดของราชาผียักษ์ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะไปหาเทียนจุนวิเศษกาลนาน ไอ้หมอนี่มันทำอะไรไม่มีคุณธรรม ข้าก็แค่อยากจะทำให้พวกเขาเจ็บใจบ้างเท่านั้น ท่านพี่เรื่องนี้ท่านไม่ต้องห่วง ท่านไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดแล้วก็เดินออกไปข้างนอก ราชาผียักษ์เดาทางความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ออก ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็คิดว่าควรจะไปห้ามปรามอีกสักครั้ง ทว่าร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับหายไปไม่เหลือเงาเสียแล้ว
ราชาผียักษ์ที่ยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ถอนหายใจยาวเหยียด กระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งที รู้ดีว่าด้วยตบะของตนมิอาจไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุนได้ทัน ได้แต่นั่งถอนหายใจอยู่ตรงนั้น ครั้นจึงหยิบกาเหล้าขึ้นมาดื่มต่อ
หลังจากที่ตนมาอยู่เขตการปกครองเสินหลัว ทีแรกก็เต็มไปด้วยความพึงพอใจ แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับกลายมาเป็นเพียงความว่างเปล่า และการที่ปณิธานของเขาถูกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าก็ทำให้เขาเริ่มหมดอาลัยตายอยาก เป็นเหตุให้สีหน้าดูซีดเซียวเหนื่อยล้าจนป๋ายเสี่ยวฉุนจับได้
นอกนครในเวลานี้ เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาหนึ่งก้าวจากความว่างเปล่า เขาไม่ได้หันไปมองนครหลักแห่งนั้น แต่ร่ายความเร็วเต็มกำลังตรงดิ่งไปยังทิศเหนือ!
ความเร็วของเทียนจุน เมื่อถูกป๋ายเสี่ยวฉุนร่ายใช้เต็มกำลัง ความเร็วนั้นจึงเหนือเกินกว่าทุกสิ่ง และถึงแม้ว่านครหลักจะไม่ได้อยู่ใกล้กับทิศเหนือ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นไกลโพ้น ท่ามกลางการห้อทะยานนี้ ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองเห็นแผ่นดินของทิศเหนือแห่งดินแดนเซียนได้แต่ไกล
ที่นี่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน อากาศหนาวเหน็บ เกล็ดหิมะปลิวปราย ลมเย็นเยียบพัดหวีดหวิดผ่านแผ่นดินที่มืดสลัว…ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงแล้วกวาดอำนาจจิตมองไป เขาก็เพ่งเล็งไปยังพื้นที่หนึ่งทันที ครั้นจึงดิ่งไปที่นั่นในชั่วพริบตา
ในนครแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางทิศเหนือของดินแดนเซียน ในจวนแห่งหนึ่งที่มองดูเหมือนจะธรรมดามีกงซุนหว่านเอ๋อร์นั่งเข้าฌานอยู่ตรงนั้น ในฐานะที่เป็นเทียนจุนผู้เฝ้าพิทักษ์ทิศเหนือของดินแดนเซียน เดิมทีนางไม่จำเป็นต้องมาเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดเวลา แต่เป็นเพราะหลังจากที่กลับไปถึงราชวงศ์จักรพรรดิแส เนื่องจากนางแตกต่างจากมารดาผี จักรพรรดิแสจึงคลางแคลงใจในตัวนาง
เพื่อพิสูจน์ตัวเอง แล้วก็เพื่อหยัดยืนในราชวงศ์จักรพรรดิแสได้อย่างมั่นคง นางถึงได้มาที่นี่ ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ก็ได้ยึดครองที่ดินของเขตการปกครองแห่งนี้มา ทั้งยังเตรียมจะเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นี่เพื่อพิสูจน์ความภักดีของตนทางอ้อม
นางที่กำลังนั่งเข้าฌานพลันใจกระตุก ดวงตานนางหงส์ลืมขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นประกายแสงคมกริบ เดิมทีนางก็สวยมากอยู่แล้ว พอกระแสแสงไหลวนในดวงตาก็ยิ่งแสดงถึงความงามน่าหลงใหล เพียงแต่ว่าภายนอกความงดงามนี้กลับถูกกลบทับไว้ด้วยหิมะเยียบเย็นชั้นหนึ่ง และเวลานี้ดวงตาของนางก็จ้องไปที่ประตูใหญ่ของจวนอย่างเย็นชา
ไม่นานนัก นอกจวนก็มีเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมา
“หว่านเอ๋อร์ เจ้ารู้แล้วว่าข้ามา เหตุใดถึงยังปิดประตู”
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่นอกถ้ำ ข้างกายมีเกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวปรายอยู่เป็นเพื่อน เขามองประตูใหญ่ของถ้ำที่ปิดสนิทแล้วกระแอมหนึ่งที แล้วก็ไม่รู้สึกว่าคำพูดของตัวเองมีอะไรไม่เหมาะสม ครั้งนี้เขามาขอให้อีกฝ่ายช่วยเหลือ จึงคิดว่าอันดับแรกตนควรจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม รองลงมาคือต้องพูดด้วยถ้อยคำที่ทำให้กงซุนหว่านเอ๋อร์รู้สึกสนิทใจกับตัวเองถึงจะถูก
หลังจากคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนดังเข้าหูกงซุนหว่านเอ๋อร์ ใบหน้างามล้ำของนางก็กระตุกยิกๆ คิดจะเมินป๋ายเสี่ยวฉุน แต่พอใคร่ครวญดีแล้ว สุดท้ายก็ยังยกมือขวาขึ้นโบกเปิดประตูใหญ่ของถ้ำออก
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเดินเข้าไป ตอนที่มองไปยังกงซุนหว่านเอ๋อร์ เขาไม่ได้เห็นใบหน้าที่เย็นเยียบอย่างก่อนหน้านี้ แต่เป็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับ ดวงตาฉายประกายดำมืด เป็นลักษณะในความทรงจำที่เขาคุ้นเคยดี
“พี่ชายน้อยมาหาเค้าดึกดื่นขนาดนี้ หรือคิดอยากจะมาค้างที่นี่”
กงซุนหว่านเอ๋อร์ยิ้มหวาน ประกายรุบรู่ในดวงตายิ่งเข้มขึ้น อีกทั้งยังแลบลิ้นเล็กๆ ออกมาเลียริมฝีปากด้วย
“นอนค้างได้ด้วยหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นรัว รีบสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วก็แอบถอนหายใจอยู่กับตัวเองหนึ่งที หากไม่เป็นเพราะจำเป็นต้องให้อีกฝ่ายช่วย เขาจะไม่มีทางมาหาผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด
เขายังไม่ทันเอ่ยจบ หน้าก็พลันเปลี่ยนสี ถอยกรูดไปข้างหลัง และแทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่เขาถอยหนี กงซุนหว่านเอ๋อร์ก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา
“พี่ชายน้อยเลื่อนขั้นเป็นเทียนจุน หว่านเอ๋อร์อยากจะทดลองดูว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติที่จะค้างคืนที่นี่หรือไม่” เรือนกายที่เป็นภาพมายามาปรากฏตัวอยู่ตรงจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ก่อนหน้านี้ มือขวาทำมุทราแล้วชี้นิ้วหนึ่งออกมา ก่อนที่เสียงสวบจะดังขึ้นพร้อมๆ กับที่ความว่างเปล่าตรงจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่เมื่อครู่นี้ถูกทะลวงเป็นรูโบ๋รูหนึ่ง
เส้นแสงบิดเบือนอยู่โดยรอบรูนั้น ทั้งยังมีน้ำวนที่กำลังก่อตัวขึ้นมาเสียงดังครืนครั่น
“เจ้าจะทำอะไร! ข้าไม่ค้างแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบถอยกรูดไปข้างหลังพลางเอ่ยเสียงเร่งร้อน ทว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์กลับไม่พูดไม่จา เพียงแต่รอยยิ้มยิ่งเจิดจ้า นางเดินออกมาหนึ่งก้าว ขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง
“กงซุนหว่านเอ๋อร์ เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไร! ข้าคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเจ้านะ!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนใจกระตุก หลังจากหลบพ้นได้อีกครั้ง กงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ขยับเข้ามาใกล้อีกรอบ ทำเอาเขาเริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว
“เจ้ามันคนบ้าชัดๆ จะอย่างไรพวกเราก็รู้จักกันมาตั้งนานหลายปี ทั้งข้ายังไม่มีเจตนาร้าย ซ้ำยังเป็นผู้มีพระคุณของเจ้า ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะอยากจะขอความช่วยเหลือจากเจ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะพูดจบ ดวงตาของกงซุนหว่านเอ๋อร์พลันฉายแสงคมกริบ เห็นได้ชัดว่าเมื่อพบว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหลบเลี่ยงได้หลายครั้ง ความเร็วของนางจึงยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ร่างทั้งร่างคล้ายกลายมาเป็นลำแสงเส้นหนึ่ง มือขวาที่พกพาเอาความคมกริบมุ่งตรงมาที่หว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุน!
ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธเข้าแล้วจริงๆ ครั้งนี้เขาไม่ได้หลบเลี่ยง แต่ยกมือขวาขึ้นทำมุทรา วิชาคัมภีร์วัฏจักรแห่งอดีตแฝงเร้นอยู่ในมือ
ครั้นจึงพุ่งเข้าชนอย่างจัง เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว เมื่อร่างของเขาปะทะเข้ากับกงซุนหว่านเอ๋อร์ กงซุนหว่านเอ๋อร์ถึงกับร้องอุทานด้วยความตกใจ ร่างของนางสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง รอบกายนางมีอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏ อักขระพวกนี้ล้วนเป็นความทรงจำของนาง ยามนี้เมื่อพวกมันหมุนโคจรก็ทำให้กงซุนหว่านเอ๋อร์รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า สั่นสะเทือนไปหมดทั้งร่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ดีไปกว่ากัน นั่นเป็นเพราะการโจมตีจากลำแสงของกงซุนหว่านเอ๋อร์คล้ายจะสามารถลอดทะลวงร่างของเขาแล้วกลายมาเป็นหลุมดำที่มองไม่เห็น ทั้งยังมีปราณแห่งความตายเยื้องกรายลงมาจากรอบด้าน อีกทั้งในอำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เห็นว่าจวนแห่งนี้เกิดบิดเบือน ก่อนจะกลายมาเป็นผีร้ายดุดันจำนวนนับไม่ถ้วนที่เตรียมจะกระโจนเข้ามาหาตน
“สมควรตายนัก เจ้ารู้ว่าข้ากลัวผี เลยถึงขนาดเอามันมาขู่ข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา ก่อนหน้าที่ผีร้ายเหล่านั้นจะขยับมาถึง เนื่องจากเขาและกงซุนหว่านเอ๋อร์อยู่ใกล้กันมาก มือขวาของเขาจึงวางทาบลงไปบนสะโพกกลมกลึงของอีกฝ่ายแล้วฟาดมือลงไป…
เสียงป้าบดังลั่น เสียงนี้ดังจนสะเทือนสี่ทิศ พวกผีร้ายที่เตรียมจะกระโจนเข้ามาบิดเบือนเปลี่ยนแปลง ก่อนจะหยุดชะงักไปเพราะห้วงอารมณ์ของกงซุนหว่านเอ๋อร์ ยามนี้ร่างอรชรของนางสะดุ้งโหยง หน้าเปลี่ยนสีทันควัน ดวงตาปรากฏปราณสังหารขึ้นเป็นครั้งแรก ทว่าปราณสังหารนี้เพิ่งจะเกิดขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เห็นว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลจึงฟาดลงไปอีกที
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ารนหาที่ตาย!” กงซุนหว่านเอ๋อร์เกรี้ยวกราดเต็มที หมายจะสลัดให้พ้นจากพันธนาการอักขระที่เกิดจากคัมภีร์วัฏจักรแห่งอดีต ทว่ามีหรือที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะยอม เขาพลันปรี่ขึ้นไปฟาดก้นอีกฝ่ายอีกที แล้วก็เป็นแบบนี้
…หลังจากฟาดติดต่อกันสิบกว่าครั้ง ความโกรธแค้นของกงซุนหว่านเอ๋อร์กลับสลายหายไปแล้วแทนที่มาด้วยความเลื่อนลอยในดวงตา
ความเลื่อนลอยนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่เห็นอกสั่นขวัญผวา เพิ่งจะยั้งมือ ปราณสังหารก็ปรากฏในดวงตาของกงซุนหว่านเอ๋อร์อีกครั้งจนป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจรีบร้อนฟาดลงไปอีกที
แล้วก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่กลับทำให้กงซุนหว่านเอ๋อร์สงบลงได้ เพียงแต่ว่าดวงตาที่เลื่อนลอยกลับกลายมาเป็นดวงตาที่ปรือปรอย นางหอบหายใจถี่รัวจนป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น รีบพูดรัวเร็ว
“หว่านเอ๋อร์ ช่วยอะไรหน่อยสิ พรุ่งนี้เจ้าหาโอกาสไปป่าวประกาศว่าที่เจ้ายึดเขตการปกครองแห่งนี้ไว้ได้ก็เพราะพระยาจื่อหลินต้าจุนครึ่งเทพได้เข้ามาสวามิภักดิ์กับราชวงศ์ไข่ปูของเจ้าแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้!” พอกงซุนหว่านเอ๋อร์ได้ยินแบบนี้ ดวงตาที่หรี่ปรือก็พลันเปลี่ยนมาเป็นแจ่มใส เมื่อนางกล่าวจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร้อนใจครามครัน ตัดสินใจเหี้ยมเกรียมจึงยกมือขวาขึ้นอีกครั้งแล้วตบลงไปติดๆ กันอีกสิบกว่าที ร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์สั่นเทิ้ม ก่อนจะตัวอ่อนยวบ หากไม่ได้ป๋ายเสี่ยวฉุนประคองเอาไว้นางก็คงลงไปนอนกองอยู่กับพื้นแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ข่มกลั้นอาการใจเต้น เอ่ยอย่างดุดัน
“เจ้าจะยอมหรือไม่ยอม!”
กงซุนหว่านเอ๋อร์หอบหายใจดังฮักๆ ฟันขาวสะอาดขบกันแน่น ไม่เอ่ยคำใด ทว่าพอป๋ายเสี่ยวฉุนตบลงมาอีกครั้ง ดวงตาของนางกลับปรือปรอยเต็มที่ สุดท้ายก็ตอบด้วยเสียงหงุงหงิงราวยุงบิน
“ข้ายอมแล้ว …เจ้าจงไสหัวไปซะ!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าการพูดคุยกับกงซุนหว่านเอ๋อร์ครั้งนี้เต็มไปด้วยแปลกประหลาด พอได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายจึงรีบถอยหนีออกห่างจากถ้ำไปอย่างว่องไว ย้อนกลับไปทางเดิมด้วยความร้อนตัวคล้ายวัวสันหลังหวะจนแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง
“ไม่นึกเลยว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์ผู้นี้จะทนมือทนเท้าได้ขนาดนี้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ พึมพำอยู่ในใจตัวเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรไฟร้ายเร่าร้อนที่คุโชนอยู่ในใจก็ไม่มอดดับลงเสียที
“นางมารร้าย นางต้องจงใจล่อลวงข้าแน่นอน!” สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจ รู้สึกว่าความยอดเยี่ยมของตนนี้ แม้แต่ตนก็ยังหวาดกลัว