บทที่ 1198 ทาสบุพกาล
เมื่อหมากตัวนั้นสั่นสะเทือน ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันสาดแสงเจิดจ้า เขามีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าเมื่อสภาพจิตใจของตนเปลี่ยนแปลงไป ตนจะสามารถเข้าควบคุม…หมากตัวนี้ได้!
“บางทีนี่อาจจะไม่ใช่แค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลั้นลมหายใจ หลังจากแผ่อำนาจจิตผ่านหมากเม็ดนั้นไปยังกระดานหมากรุกทั้งกระดาน กระดานหมากรุกก็พลันระเบิดแสงพร่างพราว เพียงแต่ว่าแสงนี้กะพริบวูบวาบอยู่แค่ไม่กี่ทีก็ค่อยๆ หม่นมัวลง และนาทีนี้อำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
“กระดานหมากรุกยังขาดอีกหน่อย…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย หลังจากเก็บอำนาจจิตกลับคืนมาก็นั่งลงขัดสมาธิ พอเข้าฌานแล้วฟื้นฟูพลังจนกลับมาสู่จุดสูงสุดก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ดวงตาฉายแสงคมกริบ ก่อนจะกวาดอำนาจจิตออกไป คราวนี้เขาไม่เปลี่ยนเป้าหมายอีก แต่เล็งนิ่งไปยังหมากที่อยู่ในมือของผู้เฒ่าบนเรือ วินาทีที่หมากเม็ดนี้สั่นสะเทือนและปล่อยแสงจ้าบาดตา มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำมุทราแล้วชี้ไปโดยพลัน!
ทันใดนั้นหมากตัวนั้นก็กลายมาเป็นแสงพร่าตาที่ระเบิดปะทุออกมาจากในหน้าพัด พลังอำนาจเหี้ยมหาญเกินกว่าเทียนจุน ราวกับการลงมือของผู้แข็งแกร่งบุพกาลที่ทำให้พัดทั้งเล่มอันเป็นสมบัติล้ำค่าสั่นคลอน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ผงะตกใจไปกับพลังอำนาจนี้ จำต้องรีบสะบัดมือชี้ไปยังแขนของผู้บงการ!
ทันใดนั้นแสงเจิดจ้าของหมากตัวนี้ก็ตรงดิ่งเข้าไปหาแขนผู้บงการ พริบตาเดียวก็ร่วงลงไปพลางระเบิดเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง แล้วจึงเห็นว่าแขนผู้บงการที่แข็งแกร่งถูกแสงของหมากเม็ดนี้กระเทือนจนกระเด็นออกไปหลายจั้ง บนแขนนั่นก็ยิ่งเว้าลงไปเป็นหลุมซึ่งมีขนาดเท่ากับหมากตัวนั้น!!
แม้ว่าหลุมนี้จะไม่ได้ทะลุแขนของผู้บงการ แต่ก็เว้าเข้าไปถึงสามชุ่น เป็นเหตุให้แขนผู้บงการแผ่ปราณของการเน่าเปื่อยออกมา แม้ว่าพลังของสมบัติวิเศษจะทำให้มันฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ทว่าการโจมตีที่แข็งแกร่งนี้กลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่ใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง สูดหายใจติดกันดังหลายเฮือก
“แข็ง…แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด แต่ก็เสียดายที่ทำให้แขนผู้บงการเสียหาย จึงไม่กล้าเอามาทดลองกับมันอีกต่อไป แต่กระนั้นหัวใจก็คันยิบๆ เกินจะทน เลยถือโอกาสควบคุมให้พัดวิเศษหยุดอยู่กลางห้วงอวกาศ ส่วนตัวเองขยับร่างบินออกไปนอกพัด เหยียบลงบนห้วงอวกาศมืดมิด!!
ยืนอยู่กลางห้วงอวกาศ ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบทำมุทรา อำนาจจิตของเขาพลันเกิดความเชื่อมโยงกับพัดวิเศษ ทันใดนั้นแสงที่เจิดจ้าเส้นหนึ่งก็บินพรวดออกมาจากพัดวิเศษ ความเร็วนั้นราวกับว่าเพิ่งจะบินออกมาก็ทะลุทะลวงความว่างเปล่ามาโผล่อยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนโดยตรง แล้วจึงกระแทกโจมตีลงบนมุมหนึ่งของความว่างเปล่าที่ปณิธานของเขาเล็งไปอย่างแม่นยำ
ท่ามกลางเสียงตูมตามที่ดังกึกก้อง ความว่างเปล่าของห้วงอวกาศก็พลันเกิดริ้วคลื่น แม้ว่าอานุภาพนี้จะไม่ร้ายกาจรุนแรงเท่าใดนัก ทว่าอาศัยความรู้สึกของเทียนจุนช่วงท้าย และอาศัยสัมผัสโดยตรงที่มีต่อการสู้รบกับบุพกาลของตัวเอง อารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยิ่งกระเพื่อมไหวรุนแรงมากขึ้น
“นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ทัดเทียมได้กับบุพกาล แต่เป็นการโจมตีของบุพกาลเต็มรูปแบบ ซ้ำยังดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าการลงมือของจักรพรรดิแสเล็กน้อยด้วย!!”
“เพียงแต่ไม่รู้ว่า หากข้ากลับไปยังดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแล้วเรียกใช้มันอีกครั้ง ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่หมากตัวนี้จะไปถึง…”
“อีกอย่างหนึ่งก็คือ ข้าจะสามารถร่ายใช้ได้กี่ครั้ง!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ลงมือทดลองทันที เขาขยับร่างตรงดิ่งไปยังห้วงจักรวาลที่ห่างออกไปไกลโดยร่ายใช้ความเร็วสูงสุด หลังจากทิ้งระยะห่างไปได้ช่วงหนึ่ง ก็ลองเรียกพัดวิเศษและแสงหมากรุกอยู่ในใจอีกครั้ง
แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่เขาเอ่ยเรียกขาน แสงที่เจิดจ้าเส้นหนึ่งก็พลันเยื้องกรายมาปรากฎตัวโดยตรงในแบบที่เมินข้ามระยะห่างอย่างสิ้นเชิง!!
นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างทันใด หลังจากทดลองอีกสองครั้งติดต่อกัน เขาก็พอจะมั่นใจได้แล้วว่าแสงของหมากรุกเส้นนี้มองเมินระยะห่างอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน มันก็สามารถมาโผล่ได้ในชั่วพริบตา!
“นี่ต่างหากอาวุธที่ร้ายกาจของจริง!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแหงนหน้าหัวเราะร่า แล้วจึงทดลองอีกหลายครั้ง สุดท้ายเมื่อลองเรียกได้ถึงครั้งที่สิบห้า ไม่ว่าเขาจะพยายามเรียกต่ออย่างไรก็ไม่มีแสงหมากรุกเส้นนั้นปรากฏตัวอีก
ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเข้าใจทันทีว่า สิบห้าครั้งคือขีดจำกัดสูงสุด
“ไม่รู้ว่าจะได้สิบห้าครั้งทุกวันหรือไม่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ท้อถอย เขาคิดว่าหากได้วันละสิบห้าครั้งทุกวัน แค่นั้นก็พอแล้ว ตอนนี้เขาจึงย้อนกลับมาบนพัดอย่างเบิกบานในอารมณ์ แล้วเปิดการทำงานของพัดวิเศษเพื่อให้มันทะยานไปข้างหน้าอีกครั้ง ส่วนตัวเองนั่งขัดสมาธิลงตรงนั้น รอคอยให้วันใหม่มาถึงเงียบๆ
ไม่นานวันที่สองก็มาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบทดลองด้วยความฮึกเหิมทันที แต่ไม่นานเขาก็ต้องยืนงง เพราะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ตอบกลับมาจากหมากรุกตัวนั้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่จริงกระมัง หรือว่าทั้งหมดจะได้แค่สิบห้าครั้งเท่านั้น…” พอคิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มเกิดความวู่วามอยากจะร้องคร่ำครวญ หากทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง เขาต้องเสียใจอย่างสุดซึ้งแน่
และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังพะวงถึงผลได้ผลเสียอยู่นั้น เวลาก็ล่วงผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนทดลองอีกครั้งแต่ก็ยังล้มเหลว…เขาก็เจ็บแค้นอยู่ในใจจนเกินกว่าที่จะใช้คำพูดมาบรรยายได้
พอนึกถึงว่าวิชาอภินิหารของบุพกาลที่เดิมทีใช้ได้สิบห้าครั้งกลับถูกตนใช้หมดไปอย่างเสียเปล่า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แทบจะตีอกชกหัวตัวเอง
“ทำไมต้องใช้สิ้นเปลืองแบบนั้นด้วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด ถอนหายใจเฮือกๆ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ดังนั้นจึงเฝ้ารออย่างทุกข์ทรมานต่อไป จนกระทั่งผ่านไปได้หนึ่งปีเต็ม เขาคำนวณเวลาดูแล้วจึงฝืนระงับใจที่ใคร่ครวญถึงผลได้ผลเสียทดลองดูอีกครั้ง เมื่อเม็ดหมากที่อยู่ในมือของผู้เฒ่าบนเรือเปล่งแสงออกมาอีกคำรบ
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถลันลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น รู้สึกเพียงว่าท้องฟ้าปลอดโปร่งสดใส ความฮึกเหิมและความรู้สึกโชคดีที่หวนกลับคืนมาอีกครั้งทำให้เขาเบิกบานจนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น
“แสงของหมากรุกตัวนี้ นับแต่นี้ไปให้ชื่อว่าแสงแห่งบุพกาล!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เขารู้สึกว่าในที่สุดตนก็มีท่าไม้ตายอย่างใหม่แล้ว
“รอให้หว่านเอ๋อร์และจื่อโม่ตื่นเมื่อไหร่ นั่นก็คือช่วงเวลาที่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะหวนกลับไปยังดินแดนเซียนนิรันดร์กาล!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ห้าวเหิม แล้วจึงหันไปตรวจสอบเจดีย์สูงอีกครั้ง จากการอนุมานเวลาของเขา เกรงว่าอีกมากสุดแค่หนึ่งปี ซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่ก็จะฟื้นตื่น!
ส่วนเถี่ยตั้นก็จะตื่นขึ้นมาประมาณช่วงนั้นเหมือนกัน มีเพียงซ่งเชวียที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจอยู่ในใจ ได้แต่รอคอยเงียบๆ ต่อไป
และเวลานี้เอง วิญญาณวัตถุน้อยก็ฟื้นตื่นขึ้นมา
การฟื้นตื่นครั้งนี้ อำนาจจิตของวิญญาณวัตถุน้อยแข็งแกร่งกว่าเก่าไม่น้อย หลังจากที่มันกวาดอำนาจจิตไปทั่วพัดวิเศษหนึ่งรอบ มันก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยท่าทางลำพองใจ
“เจ้าเด็กเสี่ยวฉุน สำหรับเรื่องที่เจ้ากลายเป็นเจ้านายของพัดวิเศษเล่มนี้ วิญญาณวัตถุอย่างข้ารู้สึกว่ายังมีปัญหาบางอย่าง…” แต่ยังไม่ทันรอให้มันกล่าวถ้อยคำเอาคืนจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เหล่ตามองมาก็พลันโบกมือหนึ่งครั้ง แสงแห่งบุพกาลพุ่งออกมาทันที
การปรากฏตัวของแสงนี้ทำให้วิญญาณวัตถุน้อยที่หลงระเริงอยู่ในใจและกำลังโอ้อวดแสนยานุภาพพลันตัวสั่น กรีดร้องเสียงแหลมพลางรีบเบี่ยงตัวหลบ เมื่อมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง บนหน้าของมันก็ไม่เหลือความโอหังอย่างเก่าอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นสีหน้าประจบเอาใจราวกับเปลี่ยนหน้าได้ใหม่อย่างไรอย่างนั้น
“เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนเอามือไพล่หลัง วางท่าให้ดูลึกล้ำเกินจะหยั่ง ก่อนจะกระแอมในลำคอหนักๆ แล้วเอ่ยถามเสียงเฉยชา
“เมื่อครู่นี้ข้าบอกว่า…ข้า…ข้ารู้สึกว่านายท่านเป็นคนที่เหมาะสมกับการสืบทอดเป็นนายของพัดวิเศษเล่มนี้มากที่สุดในโลก!!” วิญญาณวัตถุน้อยหน้าม่อยคอตก นอกจากความหวาดผวาที่ยังเหลือหลงอยู่แล้ว ในใจลึกๆ ก็ให้อึดอัดคับแค้น มันนึกไม่ถึงว่าตนแค่หลับไปงีบเดียว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากตนจะยังสามารถเขย่าคลอนตัวหมากรุกบนเรือน้อยได้!
“อย่างนั้นเองหรือ แต่ว่าเรื่องที่ข้าจะเปลี่ยนชื่อของเจ้า ข้าคงต้องพิจารณาให้ดีก่อนซะแล้วล่ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้ามองวิญญาณวัตถุน้อย
ทว่าประโยคนี้กลับทำให้วิญญาณวัตถุน้อยร้องคร่ำครวญด้วยความหวาดกลัวอยู่ในใจโดยพลัน มันกลัวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะจดจำความแค้น จากนั้นก็จะไม่ยอมเปลี่ยนชื่อให้กับมัน จึงต้องรีบเอ่ยรัวเร็ว
“นายท่าน หลังจากที่ข้าน้อยผสานรวมร่างกับวิญญาณวัตถุใหญ่นั่นได้ ความสามารถก็ถูกปลุกขึ้นมามากขึ้น ตอนนี้แม้ว่าข้าจะไม่สามารถทำให้ทาสบุพกาลที่อยู่บนเรือเดินออกมาได้ แต่กลับสามารถทำให้ทาสบุพกาลที่อยู่ในนั้นมาปรากฏตัวอยู่ในโลกบนหน้าพัด เพื่อให้นายท่านได้ฝึกฝีมือ ให้นายท่านคุ้นชินกับการประลองเวทกับบุพกาลโดยเร็วที่สุด เมื่อถึงเวลาที่นายท่านกลับไปยังดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็ย่อมต้องบุกตะลุยไปได้แปดทิศแน่นอน!”
วิญญาณวัตถุน้อยกล่าวจบ ด้วยกลัวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่เชื่อ หรือไม่ก็ไม่ให้โอกาสตน ดังนั้นจึงพยายามทำมุทราสุดแรงเกิด ยอมเผาผลาญอำนาจจิตของตัวเองอย่างไม่เสียดาย ครั้นแล้วจึงชี้ไปที่หน้าพัด
ทันใดนั้นหนึ่งในทาสบุพกาลสองคนที่อยู่บนลำเรือก็ตัวสั่นสะท้าน ดวงตาทั้งคู่ที่ไร้แววพลันส่องประกายเจิดจ้า เงยหน้าขึ้นช้าๆ ซ้ำยังลุกขึ้นยืน ก่อนจะขยับร่างบินออกมาเผยกายอยู่กลางอากาศของโลกหน้าพัด
แล้วจึงหันมาโค้งตัวต่ำๆ คารวะป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนพัดวิเศษ
“ทาสผู้แก่ชราคารวะนายท่าน!”
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนลุกวาวทันใด แม้เขาจะปรารถนาที่จะพาทาสบุพกาลออกไปจากที่นี่ แต่หากทำไม่ได้ การที่จะให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวอยู่ในโลกหน้าพัดเพื่อช่วยขัดเกลาฝีมือของตัวเองก็ถือเป็นเรื่องที่เขาไขว่คว้าแม้แต่ในยามฝันไม่ต่างกัน
วิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่ข้างๆ มองเห็นประกายสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจโล่งอกอยู่ในใจ ก่อนจะหันมาประจบสอพลอด้วยท่าทางระมัดระวัง
“นายท่าน ทาสบุพกาลผู้นี้ถูกใต้เท้าผู้บงการจับตัวมาในปีนั้น ทั้งยังทิ้งตราผนึกกำราบสติปัญญาเอาไว้ ในโลกใบนี้นอกจากผู้ฝึกตนระดับสุดยอดอย่างผู้บงการแล้วก็ไม่มีใครสามารถคลายผนึกออกได้อีก”
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจวิญญาณวัตถุน้อย เขาในเวลานี้คันไม้คันมืออยากลองเต็มที่ จึงทะยานเข้าไปในโลกบนหน้าพัดแล้วส่งอำนาจจิตออกมา
“มา เจ้ามาต่อสู้กับข้า!” พอกล่าวจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลงมือทันที