Skip to content

A Will Eternal 1284

บทที่ 1284 ประกายไฟ

ท่ามกลางห้วงจักรวาล ในเวลาสิบปีที่ผ่านมานี้ เมล็ดดอกผู่กงอิงจำนวนนับไม่ถ้วนที่แฝงเร้นไว้ด้วยชีวิตและอำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ปลิวปรายไปไกลมากแล้ว ความเร็วของพวกมันไม่อาจใช้ความเร็วของนักพรตมาประเมิน การล่องลอยที่แหวกทะลวงความว่างเปล่าเช่นนั้น หากว่ากันในบางระดับแล้ว ก็เหมือนจะเร็วกว่าตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนเองมากมายหลายเท่านัก

ผู่กงอิงบางส่วนได้ตกลงบนซากปรักหักพัง บ้างก็ยังล่องลอยต่อไป และบนซากปรักหักพังแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากดินแดนเซียนนิรันดร์กาลไปไม่ไกลมากนัก เมื่อผู่กงอิงเมล็ดหนึ่งร่วงลงไป ซากปรักหักพังแห่งนี้ก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง

เดิมทีสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นดินที่รกร้างแห่งหนึ่ง ไม่มีชีวิตใดๆ มีเพียงเศษซากที่ผุพัง มีเพียงความแห้งเหี่ยวโรยรา มีเพียงความตายที่แผ่อบอวลไปทั่ว

เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่า บนซากปรักหักพังแห่งนี้ เหมือนจะมีฝุ่นพิษปกคลุม จนเหมือนแช่แข็งทุกอย่างที่อยู่รอบด้าน

และปีนั้นผู่กงอิงก็ได้จมหายไปท่ามกลางฝุ่นพิษเหล่านี้ จนกระทั่งวันนี้หลังจากที่เวลาผ่านไปได้หลายปี หมอกควันที่แผ่ปกคลุมทั่วซากปรักหักพังได้ค่อยๆ เบาบางลง ปราณแห่งความตายที่เดิมทีแผ่อวลอลก็เริ่มสลายหายไปด้วย

และเมื่อผ่านไปได้อีกสามปี หมอกควันและกลิ่นอายแห่งความตายของที่แห่งนี้ก็ล้วนมลายหายสิ้น ขณะเดียวกันบนพื้นดินกว้างใหญ่ของซากปรักหักพังนี้ก็มีต้นกล้าสีเขียวอ่อนแตกหน่อออกมาจากในดินโคลน!!

ต่อให้เป็นเพียงแค่หน่ออ่อน กระนั้นก็ยังเป็นตัวแทนของพลังชีวิต!

เหมือนตราผนึกบางอย่างถูกทำลาย เหมือนคำสาปบางอย่างถูกไข พลังชีวิตที่แผ่อบอวลเหมือนจะทำให้ซากปรักหักพังแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในชั่วพริบตา!

และเมื่อผ่านไปได้อีกสามปีหลังจากที่ต้นกล้าแตกหน่อ ต้นกล้านี้ค่อยๆ ผลิดอกเบ่งบาน ลักษณะของดอกไม้ดอกนี้เหมือนกับดวงจันทร์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

นี่ก็คือ… “บุปผาจันทรา!”

และเมื่อบุปผาจันทราเบ่งบานก็มีแสงสว่างแผ่ออกมาจากตัวของมัน ต่อให้แสงนี้จะอ่อนจางหรือเบาบางมากแค่ไหน ทว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังที่มืดมิด อยู่ท่ามกลางห้วงจักรวาลอันธการไร้แสงสว่างแห่งนี้ จุดแสงเล็กๆ ที่อ่อนจางกลับยังคงพร่างพราว ยังคงสะดุดตา และยิ่งสร้างความสะท้านสะเทือนได้อยู่ดี!

แสงนี้ขับส่องให้เศษซากผุพังแถบนี้สว่างไสว ยิ่งนานก็ยิ่งแจ่มจรัส ขับไล่ทุกความมืดมน ยิ่งนานก็ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งนานก็ยิ่งทรหดทระนง จนกระทั่งปกคลุมเจิดจ้าไปทั่วทั้งซากปรักหักพัง มองมาไกลๆ ก็ราวกับว่าโคมไฟดวงหนึ่งในห้วงจักรวาลมืดดำแห่งนี้ ได้ถูก… จุดไฟให้สว่างไสว!

ที่นี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในเศษซากปรักหักพังจำนวนมากเท่านั้น และเมื่อโคมไฟถูกจุดสว่าง ไม่นานในซากปรักหักพังอีกแห่งหนึ่งก็มีโคมไฟดวงที่สองถูกจุดขึ้นตามๆ กัน แสงไฟจ้าจรัส เป็นเหตุให้พื้นที่รกร้างที่มืดมิดแห่งนี้เริ่มมีประกายไฟปรากฏขึ้น…

แม้ว่าจะเป็นแค่ประกายไฟ แต่ใครเล่าจะกล้าพูดว่าพวกมันจะไม่กลายมาเป็น… ไฟลามทุ่ง!!

ในสภาวะที่ซากปรักหักพังจำนวนมากเริ่มถูกจุดไฟ ซากปรักหักพังจำนวนที่มากกว่านั้นกลับยังอยู่ท่ามกลางการค้นหาของดอกผู่กงอิง และเมื่อกาลเวลาล่วงเลยผ่านพ้น โคมไฟสว่างไสวเหล่านี้ก็เริ่มปรากฏเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และนับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่านมาจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว

เวลายี่สิบปี เสี่ยวเป่าได้กลายมาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ความทรงจำที่เขามีต่อบิดาตัวเองมีเพียงประตูใหญ่บานนั้นที่เหมือนจะปิดสนิทไปตลอดกาล ทว่าในใจของเขากลับรับรู้ความยิ่งใหญ่ของบิดาจากผู้อาวุโสทุกท่านที่อยู่รอบกายและจากพี่ชาย พี่สาวของตัวเองมาตั้งนานแล้ว!

ทางฝ่ายของต้าเป่า เขาได้เริ่มเข้าควบคุมจัดการเรื่องบ้านเมืองของราชวงศ์จักรพรรดิขุย เขาก็คือว่าที่จักรพรรดิองค์ต่อไป และเมื่ออยู่ภายใต้ความช่วยเหลือจากต้าเทียนซือ ราชวงศ์จักรพรรดิขุยบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็ได้ควบรวมราชวงศ์จักรพรรดิแสมาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

ส่วนเสี่ยวเสี่ยวนั้น หลังจากที่ได้เลื่อนขั้นเป็นเทียนจุนในปีนั้น แม้ว่าจะไม่ได้รับการยอมรับจากมารดาแห่งนิรันดร์กาล ทว่าเมื่อได้รับการยอมรับจากป๋ายเสี่ยวฉุน และหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลายร่างเป็นเมล็ดพันธ์ดอกผู่กงอิงที่ปลิวปรายไปทั่วห้วงจักรวาล ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนจึงมีความสัมพันธ์ด้านเหตุและผลของเต๋าบางอย่าง จึงส่งผลให้ตบะของเสี่ยวเสี่ยวก้าวทะยานพรวดพราด เวลาสั้นๆ เพียงแค่ยี่สิบปี นางก็อยู่ในขอบเขตของเทียนจุนช่วงกลางแล้ว!

และเวลานี้เองที่ การเปลี่ยนแปลงไม่คาดฝัน…ได้เกิดขึ้น!

ร่างของผู้บงการนี่ฝานบนท้องฟ้าที่นิ่งงันไม่ขยับมาตลอดเวลายี่สิบปี จู่ๆ กลับเกิดสั่นสะเทือนขึ้นมา ภาพเหตุการณ์นี้สร้างความตึงเครียดและหวาดระแวงให้แก่ทุกคนบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลได้ทันที

เพียงแต่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังปิดด่าน จักรพรรดิเซิ่งเองก็ปิดด่านเช่นกัน บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลในเวลานี้ไม่มีผู้แข็งแกร่งขอบเขตบุพกาลอยู่เลย แต่ยังดีที่ครั้งนี้ไม่มีหินอุกกาบาตอะไรร่วงลงมา แต่เมื่อร่างของผู้บงการนี่ฝานสั่นสะเทือน ตรงหว่างคิ้วของเขากลับมีน้ำวนปรากฎขึ้นอีกครั้ง

เมื่อน้ำวนหมุนครืนครั่น นักพรตทงเทียนที่ปีนั้นถูกป๋ายเสี่ยวฉุนขู่ขวัญจนต้องเผ่นหนีกลับไป เวลานี้ได้เดินออกมาจากน้ำวนอีกครั้ง สีหน้าของเขาไม่น่ามองแม้แต่น้อย พอเดินออกมาแล้วมองค่ายกลที่อยู่รอบด้าน มองดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเบื้องล่าง เขาก็ถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ

หากเป็นไปได้ เขาเองก็ไม่อยากเห็นดินแดนเซียนนิรันดร์กาลต้องดับสูญคาตาตัวเอง เพียงแต่เขาสามารถสัมผัสได้ว่า ผู้บงการนี่ฝานที่หลับสนิทคล้ายจะรับรู้ถึงวิกฤตบางอย่างที่เกิดขึ้น จึงออกคำสั่งให้ตนมาทำภารกิจอย่างหนึ่งให้สำเร็จ

“ทำลายค่ายกล ขัดขวางการปิดด่านของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างนั้นหรือ…”

นักพรตทงเทียนเงียบงัน สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ความรู้สึกของเขาซับซ้อนมากมาโดยตลอด ต่อให้เป็นทุกวันนี้ ความรู้สึกนั้นก็ยังคงอยู่ดังเดิม หลังจากเงียบคิดไปชั่วครู่ นักพรตทงเทียนก็รู้ดีว่าตนไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขาเข้าใจดีว่าแม้ตนจะเป็นลูกศิษย์ของอีกฝ่าย แต่ที่มากกว่านั้นเขากลับถูกเต๋าของตัวเองควบคุมเอาไว้ เพราะอย่างไรซะตัวเขาเองก็ไม่ใช่ต้นกำเนิดเต๋าที่แท้จริง

เต๋าแห่งการดับสูญนี้ ไม่ว่านักพรตทงเทียนจะมองอย่างไร ต้นกำเนิดแห่งเต๋าก็ย่อมต้องเป็นผู้บงการนี่ฝาน

ต่อให้ภายใต้ความช่วยเหลือจากผู้บงการนี่ฝาน ตบะของเขาเวลานี้จึงเหนือกว่าบุพกาลจนเทียบเคียงได้กับครึ่งก้าวผู้บงการแล้ว แต่สุดท้ายแล้วเต๋าของเขาในทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ของเขาทั้งหมดอยู่ดี ท่ามกลางการถอนหายใจเบาๆ บางครั้งนักพรตทงเทียนก็เคยถามตัวเองว่า ทั้งหมดนี้มันคุ้มค่าจริงหรือ หากสามารถย้อนอดีตกลับไปได้ เขาจะยังเลือกทำแบบนี้หรือไม่ แต่เขากลับไม่มีคำตอบให้ตัวเอง เวลานี้จึงได้แต่เก็บความทุกข์ระทมลงไป ดวงตาฉายประกายแสงแห่งความเหี้ยมอำมหิต มือขวาพลันยกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นหว่างคิ้วของผู้บงการด้านหลังเขาก็มีเสียงคำรามเป็นระลอกดังลอยมา ตามมาติดๆ ด้วยเงาปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งพรวดออกมาจากในน้ำวนลูกนั้น!

เงาปีศาจเหล่านี้มีมากมหาศาลจนไม่อาจนับคำนวณได้ไหว

และหลังจากที่พวกมันกระโจนออกมา ก็ก่อตัวขึ้นเป็นกองทัพเงาปีศาจ ที่พอได้รับคำบงการจากนักพรตทงเทียน ก็ตรงเข้าจู่โจมค่ายกลต้นกำเนิดแห่งเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจัดวางไว้ทันที

ท้องฟ้าสั่นสะเทือน เสียงกัมปนาทดังก้องกังวานไปทั่วทั้งห้วงจักรวาล

การทำลายค่ายกลของเขาในเวลานี้ ดึงดูดความสนใจของพวกนักพรตบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลได้ทันที จิตใจของทุกคนสั่นสะท้าน ขณะเดียวกันเมื่อค่ายกลถูกจู่โจม ตบะทั้งหมดของนักพรตทุกคนบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็เคลื่อนโคจรเองโดยอัตโนมัติ จนกลายมาเป็นพลังแห่งการต้านทานที่พวยพุ่งขึ้นสูง!

นี่ก็คือความมหัศจรรย์ของค่ายกลป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ว่านักพรตคนใดก็ล้วนกลายมาเป็นตาของค่ายกล ดังนั้นหากว่ากันในบางระดับแล้ว ค่ายกลนี้จึงแทบจะเทียบเคียงกับค่ายกลที่มิอาจดับสูญ!

แต่ก็เป็นเพียงแค่ในบางระดับเท่านั้น เพราะหากพลังแห่งการทำลายฝ่าทะลุขอบเขตค่ายกลเข้ามาเมื่อไหร่ ถ้าเช่นนั้นค่ายกลนี้ก็จะไม่ใช่ค่ายกลที่ไม่ดับสลายอีกต่อไป เพียงแค่ว่าปัญหาอยู่ที่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น

และการทำลายครั้งนี้ก็ต่อเนื่องกินเวลานานถึงสามปี!

ตลอดช่วงเวลาสามปี

เสียงกัมปนาทดังอื้ออึงจากบนท้องฟ้าของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลทั้งวันทั้งคืนไม่มีหยุดพัก สำหรับนักพรตทงเทียนแล้ว ในร่างของผู้บงการนี่ฝานมีกองทัพของเงาปีศาจอยู่มากมายเหลือคณนา ต่อให้กองทัพเงาปีศาจพวกนี้จะตายกันหมด เขาก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว

และต่อให้เวลาสามปีที่ผ่านมานี้ ค่ายกลที่ถูกกองทัพเงาปีศาจจู่โจมอย่างต่อเนื่อง จะเสียหายจนถึงระดับที่ร้ายแรงอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่มีท่าทีที่จะหยุดมือ

ตอนนี้กองทัพเงาปีศาจยังคงจู่โจมทำลายค่ายกลอย่างไม่หยุดพัก ซึ่งพอเงาปีศาจขยับเข้าไปใกล้ค่ายกล ก็จะระเบิดตัวเองให้กลายเป็นจุดสีดำ คล้ายรอยหมึกเปื้อนที่ติดกรังอยู่บนค่ายกลต้นกำเนิดแห่งเวลา เป็นเหตุให้การเคลื่อนโคจรของค่ายกลเริ่มช้าลงเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา

“ใกล้แล้ว…” นักพรตทงเทียนเอ่ยขึ้นเบาๆ ครั้นแล้วจึงโบกมือหนึ่งที ทันใดนั้นกองทัพเงาปีศาจจำนวนมากกว่าเดิมก็พุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง…

ส่วนในดินแดนเซียนนิรันดร์กาล สำหรับนักพรตทุกคนแล้ว เวลาสามปีมานี้เต็มไปด้วยความยากลำบากทุกข์ทรมาน ตอนนี้นักพรตแทบทั้งหมดล้วนไม่อาจฝึกตนได้อีก พวกเขาจำเป็นต้องนั่งเข้าฌานใช้ตบะของตัวเองไปสยบแรงกดดันที่แผ่จากค่ายกลให้มั่นคง คอยต้านทานการโจมตีของกองทัพเงาปีศาจอยู่ตลอดเวลา

ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถูกกั้นขวางไว้ด้วยค่ายกล และพวกเขาก็ใช้พลังของค่ายกลนี้มาต่อสู้กัน ซึ่งการต่อสู้ครั้งนี้แตกต่างไปจากการประลองเวทที่เคยผ่านมาในอดีตอย่างสิ้นเชิง!

ท่ามกลางห้วงจักรวาลในเวลานี้ ผู่กงอิงที่ก่อตัวขึ้นจากชีวิตและอำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้แพร่ขยายลุกลามไปอย่างเต็มที่

ผู่กงอิงแต่ละเมล็ดร่วงหล่นลงบนซากปรักหักพัง ต่อให้เป็นโลงศพมากมายที่ล่องลอยอยู่กลางห้วงจักรวาล ก็ยังมีดอกผู่กงอิงฝังรากอยู่ด้านใน

ขณะเดียวกันเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ ไฟของซากปรักหักพังที่ถูกจุดสว่างก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ …ถึงขั้นที่ว่าหากเงยหน้ามองท้องฟ้า ห้วงจักรวาลยามค่ำคืนที่เดิมทีมืดมน มาบัดนี้ก็ยังเริ่มมีแสงดาวจำนวนไม่น้อยทอแสงระยิบระยับบ้างแล้ว!

ทั้งหมดนี้เหมือนจะทำให้ผู้บงการนี่ฝานที่หลับสนิทยิ่งร้อนใจขึ้นไปอีก และเมื่อความร้อนใจนี้ของเขาแสดงออกผ่านทางนักพรตทงเทียน ลมหายใจของนักพรตทงเทียนจึงเริ่มหอบรัว หลังจากสัมผัสได้ถึงการเร่งเร้าและความเดือดดาลของผู้บงการนี่ฝาน ในดวงตาของนักพรตทงเทียนที่ก้มหน้าลงมองค่ายกลซึ่งเป็นรูเหวอะนับพันนับหมื่นรูก็พลันแดงฉาน

“พอสมควรแล้ว…ถึงเวลายุติได้แล้ว!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่าน ส่วนข้าเอง หลายปีที่ผ่านมานี้ก็ได้รับความช่วยเหลือจากผู้บงการนี่ฝาน จนตบะกลายมาเป็นครึ่งก้าวผู้บงการ วันนี้…จึงไม่มีใครขัดขวางข้าได้อีกแล้ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!