Skip to content

A Will Eternal 1313

บทที่ 1313 แสงตะเกียงและวัดเก่าแก่เคียงข้างชั่วชีวิต

“ทุกอย่างล้วนกลับคืนสู่จุดเริ่มต้น ถือเป็นช่วงเวลาที่ไม่เลวเลยทีเดียว ก็เหมือนกับได้พกพาเอาความทรงจำกลับไปใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง เจ้าที่เป็นเช่นนี้ ทั้งไม่จำเป็นต้องกังวลว่าศิษย์ทรยศที่ถูกช่วงชิงร่างของข้าจะนำปัญหามาให้ ทั้งยังสามารถเติมเต็มความเสียดายหลายๆ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตได้อีกด้วย”

“ชีวิตมนุษย์มีเรื่องที่น่าเสียดายเกิดขึ้นมากมาย เพราะความเยาว์วัยในอดีต เพราะความไม่รู้ในอดีตจึงทำให้ทำร้ายใครบางคนไปโดยไม่รู้ตัว หรือไม่ก็ทำให้ต้องสูญเสียอะไรไปมากมาย หากคนเราสามารถย้อนเวลากลับไปได้ใหม่อีกครั้ง บางทีชีวิตอาจจะสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น”

“หากเจ้าเลือกดอกนี้ก็ดีมากนะ” ผู้เฒ่าถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง ดวงตาฉายแววทวนความทรงจำราวกับว่าต่อให้จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเวลาแล้ว แต่เขาก็ยังคงมีความทรงจำในอดีต เมื่อมาย้อนนึกดูก็ได้แต่ถอนหายใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เอ่ยคำใด เขาที่ยืนอยู่บนหัวเรือหลับตาลงคล้ายกำลังคิดพิจารณา ใคร่ครวญตามคำพูดของผู้เฒ่า และเหมือนจะทบทวนความทรงจำตลอดชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง

เนิ่นนาน เมื่อผู้เฒ่าดื่มเหล้าเหยือกหนึ่งหมดลง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลืมตาขึ้น ยังคงไม่เอ่ยอะไร ทว่าสายตากลับมองไปยังบุปผาแห่งนิรันดร์กาลทางฝั่งขวามือที่มีสีสันสดใสสะดุดตาไม่แพ้กันด้วยนัยน์ตาที่ฉายแววลึกเร้นอย่างที่คนนอกมองไม่ออก

วินาทีที่มองไปยังบุปผาแห่งนิรันดร์กาลดอกนี้ สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีภาพเหตุการณ์ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ภาพเหตุการณ์นี้ขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็กินพื้นที่ทั้งหมดในมหาสมุทรจิตสำนึกของเขา ทำให้เขามองเห็นโลกที่อยู่ในภาพเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน

คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เป็นเหมือนคนนอกเหตุการณ์อย่างตอนแรก แต่เมื่อเขาผสานรวมอำนาจจิตเข้าไปก็เหมือนได้กลับเข้าไปยังช่วงข้อต่อของกาลเวลานี้จริงๆ

ที่นี่ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวอีกต่อไป แม้ห้วงจักรวาลจะมืดมิด แต่กลับมีแสงดาวเป็นประกายพร่างพราว แสงดาวเหล่านั้นก็คือซากปรักหักพังที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนจุดแสงสว่างเมื่อคราที่รบกับนี่ฝานในปีนั้น

ข้อต่อของเวลาในยามนี้ก็คือชั่วขณะที่เมี่ยเซิ่งตายไป เพียงแต่ว่าเมี่ยเซิ่งในเวลานี้ไม่สามารถเปิดแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้สำเร็จ ท่ามกลางน้ำวนที่หมุนคว้างเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ชั่วขณะที่เขาจะเปิดแม่น้ำแห่งกาลเวลา ปราณลี้ลับที่จำแลงมาจากต้นกำเนิดแห่งนิรันดร์กาลกลางห้วงจักรวาลพลันเยื้องกรายมาถึงและลบเลือนเมี่ยเซิ่งที่เหลือเพียงศีรษะทิ้งไปโดยตรง!

มีเพียงเสียงของเขาที่แฝงไว้ด้วยความปลงตกและเสียดายสุดประมาณเท่านั้นที่ก้องสะท้อนอยู่ท่ามกลางห้วงอวกาศ

“สุดท้าย ก็ยังล้มเหลว…”

เมื่อถูกลบเลือนทิ้งไป น้ำวนจากสมบัติโลกแห่งเต๋าสามใบใหญ่ที่เมี่ยเซิ่งต้องเผาผลาญทุกสิ่งเพื่อสร้างขึ้นมาก็ค่อยๆ หยุดลง แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ทำท่าจะผุดขึ้นมาก็เริ่มพร่าเลือน และเมื่อน้ำวนไม่หมุนวนอีกแล้ว มันจึงค่อยๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอย

แม้ว่าบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลจะเต็มไปด้วยรอยปริแตกเหมือนจะแหลกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงรักษาเอาไว้ได้ ทุกชีวิตที่อยู่บนนั้นอย่างพวกซ่งจวินหว่าน โจวจื่อโม่ โหวเสี่ยวเม่ย ฯลฯ ต่างก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติกลับมาจากวิกฤตคววามเป็นความตาย

และไม่นานปราณของมารดาแห่งนิรันดร์กาลก็ได้แผ่กำจายออกไป

ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลจากที่เอียงกะเท่เร่จึงค่อยๆ กลับมาตั้งตรง ส่วนเรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในช่วงข้อต่อของกาลเวลานี้ก็ยังคงใช้พลังชีวิตแทบจะหมดสิ้นไม่ต่างจากที่เคยเป็นในอดีต ท่ามกลางความอ่อนแรงเหนื่อยล้า เขาพลันคลี่ยิ้ม เป็นยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ

แล้วจึงหลับตาลงปล่อยให้ร่างร่วงลงสู่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาล

แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่ร่างของเขาร่วงลงมานั้นเอง มารดาแห่งนิรันดร์กาลก็สร้างแสงนุ่มนวลขึ้นมารองรับร่างของเขาเอาไว้แล้วประคับประคองนำมาปล่อยไว้ในนครจักรพรรดิขุยอย่างนิ่มนวล

ก่อนหน้าที่จะหมดสติ เขาเหมือนจะได้ยินเสียงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงจากญาติ มิตร ภรรยาและบุตรที่อยู่ข้างกาย รวมไปถึงเสียงไชโยโห่ร้องที่ดังมาจากคนทั่วทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาล

ทั้งยังมีเสียงร้องโหยหวนที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองของเจ้าเต่าน้อยดังลอยมา

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าเกลียดเจ้า…”

เสียงทั้งหมดนี้ค่อยๆ แผ่วหายไป…เวลาล่วงเลยผันผ่าน

หลายปีต่อมา แม้ว่าดินแดนเซียนนิรันดร์กาลจะเป็นเพียงสถานที่แห่งเดียวที่ยังคงมีสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัยในห้วงจักรวาล แต่เมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน สิ่งที่มองเห็นไม่ได้มีเพียงความมืดมิดอีกต่อไป แต่กลับมีดวงดาวดารดาษส่องแสงระยิบระยับ ดาวทุกดวงล้วนเป็นซากปรักหักพังที่ถูกจุดไฟสว่างไสว เมื่อให้เวลาที่มากพอแก่พวกมัน ท่ามกลางแสงสว่างและพลังชีวิตเหล่านี้ สิ่งมีชีวิตย่อมต้องหวนคืนกลับมาอีกครั้ง

ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลกลายมาเป็นสถานที่สงบสุขหนึ่งเดียวที่สิ่งมีชีวิตดำรงอาศัยในห้วงจักรวาล หลังจากหายนะของนี่ฝานผ่านพ้นไปได้ มันก็ได้ฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็ว

บัดนี้บนแผ่นดินผืนใหญ่ห้าแห่งไม่เหลือรอยแตกระแหงอีกแม้แต่รอยเดียว มหาสมุทรหย่งเหิงยังคงมีน้ำทะเลเปี่ยมล้นกว้างใหญ่ไพศาล ภูเขาทอดตัวเรียงรายอยู่บนพื้นดิน ทุ่งหญ้าราบเรียบแผ่กลิ่นอายของความมีชีวิตชีวา

ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งยังคงอยู่ แม้แต่ราชวงศ์จักรพรรดิแสเองที่แม้จะไม่มีจักรพรรดิแส ทว่าภายใต้ความต้องการของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังมีราชวงศ์ถูกสร้างขึ้นมาในตำแหน่งเดิม ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลจึงยังคงมีสามแคว้นคานอำนาจกันดังเดิม แต่สงครามและความเป็นปฏิปักษ์กลับหายไปแล้ว และเมื่อไม่มีภัยคุกคามจากนี่ฝานรวมถึงการกัดกร่อนที่มองไม่เห็น มารดาแห่งนิรันดร์กาลก็เริ่มฟื้นคืนพลัง

เมื่อมารดาแห่งนิรันดร์กาลเริ่มแข็งแกร่ง จักรพรรดิเซิ่งที่เป็นครึ่งก้าวผู้บงการก็คล้ายจะมีความหวังอย่างใหม่

ส่วนซ่งเชวียนั้นได้โดยสารพัดวิเศษไปเยือนซากปรักหักพังของโลกแห่งเซียนเพียงลำพัง เขาต้องการรอให้โลกแห่งเซียนกลับคืนมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เมื่อสรรพชีวิตก่อกำเนิด โชคชะตาของโลกปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาที่อยู่ที่นั่นก็จะได้เดินไปบนเส้นทางของผู้บงการที่เขายังเดินไปไม่ถึงปลายทาง

ต้าเป่ากลายมาเป็นจักรพรรดิขุยองค์ใหม่ ต้าเทียนซือที่แม้จะแก่ชรา แต่กลับกระตือรือร้นในการบริหารจัดการ ช่วยดูแลประคับประคองต้าเป่าร่วมกับราชาผียักษ์

หลี่ชิงโหวเก็บตัวไม่สนใจเรื่องวุ่นวายภายนอกอีก และได้ไปพักอาศัยอยู่บนภูเขาที่มีธารน้ำไสสะอาดไหลผ่าน ใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบอยู่กับบุรพาจารย์ธาราเทพ

แม้เขาจะปลีกตัวออกห่างจากงานบ้านงานเมืองของราชสำนัก แต่ตลอดทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแห่งนี้กลับไม่มีใครกล้าพูดอะไรให้เขาระคายหูแม้แต่ครึ่งคำ

ต่อให้เป็นมารดาแห่งนิรันดร์กาลเองก็ยังคอยส่งคำอวยพรมาให้เขาอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้หลี่ชิงโหวยังคงมีพลังชีวิตสมบูรณ์เปี่ยมล้น

พวกจางต้าพั่ง เสินซ่วนจื่อ สวีเป่าไฉที่พอมารดาแห่งนิรันดร์กาลแข็งแรงขึ้นก็พากันเลื่อนขั้นเป็นเทียนจุน ทุกคนใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลอย่างมีความสุขและพึงพอใจ โดยเฉพาะจางต้าพั่งที่พบเจอคู่บำเพ็ญเพียรของตัวเอง ส่วนสวีเป่าไฉก็ยิ่งมีภรรยาเคียงกายถึงสองคน…

ส่วนเถี่ยตั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันได้กลับคืนมามีบารมีของเพศผู้ผู้สง่างามดั่งเมื่อครั้งที่อยู่ในสำนักธาราเทพอีกครั้ง ด้านหลังจึงมีสัตว์ตัวเมียตามเป็นพรวน…

บุตรชายและบุตรสาวของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีโชควาสนาแตกต่างกันออกไป เสี่ยวเสี่ยวแต่งงานแล้ว นางแต่งให้กับนักพรตผู้หนึ่งที่มีลักษณะขี้อาย แต่กลับเป็นคนมุ่งมั่นจริงจัง คนทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข

แต่ที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนปวดหัวมากที่สุดก็คือเสี่ยวเป่า เขาที่เติบใหญ่ได้สืบทอดเอานิสัยทั้งหมดของป๋ายเสี่ยวฉุนมา ราวกับเป็นป๋ายเสี่ยวฉุนน้อยอย่างไรอย่างนั้น เขาคอยสร้างเรื่องก่อราวไปทั่วดินแดนเซียนนิรันดร์กาล และดูเหมือนว่าเจ้าเต่าน้อยจะถูกชะตากับเขามากเป็นพิเศษถึงได้สลัดป๋ายเสี่ยวฉุนทิ้ง วันๆ เอาแต่ติดตามเสี่ยวเป่า…

“ต้องเป็นเจ้าเต่าน้อยแน่ที่พาลูกข้าเสียคน…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ ที่ทำให้เขารู้สึกกล้ำกลืนมากที่สุดก็คือเสี่ยวเป่าดันชอบหลอมยาเหมือนกับเขา แถมพรสวรรค์ในด้านการหลอมยาก็เหมือนจะมีมากยิ่งกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเองเสียอีก อย่างยากระสันซ่าน ยาประสาทหลอน ฯลฯ …ก็ล้วนถูกเขาวิเคราะห์จนทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว ซ้ำเขายังเอาไปพัฒนาในทิศทางใหม่ โดยเริ่มหลอมยาจำนวนนับไม่ถ้วน…ที่ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังได้แต่ยิ้มพิพักพิพ่วน

ส่วนป๋ายฮ่าว ตอนนี้ด้านหนึ่งเขาก็คอยอยู่เคียงข้างอาจารย์ของตัวเองในราชสำนักจักรพรรดิขุยพลางแสวงหาเส้นทางการเป็นผู้บงการของตน ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คอยให้การปกป้องคุ้มครองป๋ายเสี่ยวเป่า

หลังจากที่สองตัวป่วนอย่างเจ้าเต่าน้อยและเสี่ยวเป่าพากันไปก่อเรื่องก็ล้วนเป็นป๋ายฮ่าวที่คอยแอบไปตามเช็ดตามล้างให้…ตอนนี้เหตุการณ์สงบสุข เขาเองก็ไม่ค่อยสนใจในด้านการหลอมไฟสักเท่าไหร่แล้ว กลับกลายเป็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องมาคอยเป็นกังวลเรื่องชีวิตคู่ของป๋ายฮ่าวซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็จนใจเพราะป๋ายฮ่าวเอาแต่ใช้ข้ออ้างว่าต้องปกป้องเสี่ยวเป่ามาปฏิเสธ พอหลายครั้งเข้า ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงจำต้องมอบหมายเรื่องนี้ให้แก่ป๋ายเสี่ยวเป่าที่มีพรสวรรค์ด้านการหลอมยาเหนือบิดาอย่าง “เข้มงวดและระมัดระวัง” ส่วนเจ้าเต่าน้อย แน่นอนว่าย่อมต้องถูกเรียกให้มารับฟังด้วย…พอได้รับคำสั่ง ตัวป่วนคู่นี้จึงดวงตาเป็นประกาย ราวกับมีเป้าหมายใหม่ในชีวิต

ท่ามกลางความเงียบสงบและผาสุกนี้ การมีซ่งจวินหว่าน โหวเสี่ยวเม่ย โจวจื่อโม่และกงซุนหว่านเอ๋อร์อยู่เคียงกายทำให้จิตใจที่สงบสุขของป๋ายเสี่ยวฉุนบังเกิดความอบอุ่น ตลอดทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็ดูเหมือนจะเป็นไปตามที่เขาวาดหวังไว้ นั่นคือไม่มีการรบราฆ่าฟันกันเกิดขึ้นอีก

เพียงแต่ว่าในใจของเขากลับยังคงมีความเสียใจอยู่อย่างหนึ่ง

วันนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมายืนอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่งด้านหลังนครจักรพรรดิขุย สถานที่แห่งนี้คือที่พักของเขา เมื่อแสงอาทิตย์อัสดงที่อาบไล้ลงสู่พื้นดินตกกระทบลงบนร่างของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หันหน้าไปมองยังทิศทางหนึ่งที่ไกลแสนไกลช้าๆ

“ควรจะไปที่นั่นได้แล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ แล้วจึงก้าวเดินไปยังทิศไกล หายไปจากยอดเขา เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง…ก็มาอยู่ตรงชายแดนแห่งหนึ่งของราชวงศ์จักรพรรดิแสในปัจจุบัน ซึ่งตรงจุดที่อยู่ใกล้กับอำเภอแห่งหนึ่งมีวัดโบราณวัดหนึ่งตั้งอยู่

วัดเก่าแก่วัดนี้ไม่ใหญ่นัก ตรงหน้าประตูมีต้นเฟิง (ต้นเมเปิล) อยู่สองต้น แม้ใบเฟิงสีแดงจ้าจะหล่นร่วงลงมาในบางครั้ง แต่เมื่อมองไปก็ยังคงงดงามไร้ที่ติ ทำให้คนที่มองอดเคลิบเคลิ้มไปกับมันไม่ได้

โดยเฉพาะเมื่อแสงตะวันรอนยามสายัณห์สาดส่อง ตลอดทั้งผืนฟ้าจึงเหมือนถูกอาบย้อมไปด้วยสีส้มอมแดง ยามที่แสงอาทิตย์ตกกระทบลงบนหลังคากระเบื้องของวัดก็ราวกับว่าวัดทั้งวัดถูกห่มทับไว้ด้วยจีวร…

สถานที่เบื้องหน้านี้สงบร่มเย็นอย่างยิ่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่หน้าวัดหลับตาลง หูฟังเสียงท่องคัมภีร์ที่ดังแว่วมาจากด้านใน นั่นคือเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นเสียงที่ฟังนุ่มนวลยิ่ง เป็นเสียงที่แฝงเร้นไว้ด้วยความเคารพเลื่อมใส แฝงไว้ด้วยความยึดมั่นถือมั่น…

เมื่อดังเข้าหู ก็เหมือนกับว่าเสียงนั้นกำลังบอกเล่าถึงอดีตที่ผ่านพ้นมา

แสงอาทิตย์ยามโพล้เพล้ตกกระทบลงบนร่างของเขา ราวกับจะผสานรวมเขาให้กลืนเป็นหนึ่งเดียวกับสีส้มอมแดงของแสงอาทิตย์อัสดงที่โอบล้อมอยู่รอบกาย

ชั่วขณะนั้นเวลาเหมือนกลายมาเป็นนิจนิรันดร์ ลมสารทฤดูโชยมากระทบกาย พัดให้เส้นผมของป๋ายเสี่ยวฉุนปลิวไสว และยิ่งพัดเป่าให้ใบเฟิงที่ร่วงหล่นครูดไปตามพื้นส่งเสียงแกรกกราก ราวกับว่าใบไม้ร่วงพวกนี้ฟังบทสวดคัมภีร์เข้าใจ แล้วก็เพราะไม่ต้องการเห็นหญิงสาวที่อยู่ในวัดต้องท่องคัมภีร์อย่างเดียวดายจึงอาศัยพลังของลมมาเริงระบำขับขานอยู่เป็นเพื่อนนาง

เนิ่นนานต่อมา…

ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้น ดวงตาฉายแววของการทวนความทรงจำ ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้งก่อนจะยกเท้าก้าวเดินขยับเข้าไปในวัด ผลักประตูหนาหนักสีแดงกระดำกระด่างเพราะผ่านกาลเวลามานานให้เปิดออกช้าๆ แล้วจึงเห็นว่าท่ามกลางแสงตะเกียงสีนวลตาในโถงใหญ่มีรูปปั้นของมารดาแห่งนิรันดร์กาลรูปหนึ่งตั้งตระหง่าน รวมไปถึง…เงาร่างของหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าท่องคัมภีร์อยู่หน้ารูปปั้นมารดาแห่งนิรันดร์กาล หันหลังให้กับเขา

หญิงสาวคนนั้นสวมอาภรณ์เรียบง่ายธรรมดา เส้นผมสีนิลยาวเคลียบ่า เวลานี้กำลังก้มหน้า ร่างทั้งร่างของนางคล้ายกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับวัดแห่งนี้…

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองอยู่เงียบๆ ฟังอยู่เงียบๆ ภาพเบื้องหน้าและเสียงสวดคัมภีร์เบาๆ ที่ดั่งอยู่ข้างหูได้วาดเค้าโครงภาพเหตุการณ์ที่มีตะเกียงดวงหนึ่ง วัดโบราณหลังหนึ่งอยู่เคียงกายไปชั่วชีวิตขึ้นมาในสมองของเขา

เนิ่นนานต่อมา หญิงสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นของมารดาแห่งนิรันดร์กาลคล้ายจะสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของเขา นางไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงแต่เรือนกายกลับสั่นเทาเบาๆ ไม่หยุด หยาดน้ำตาไหลกลิ้งลงมาข้างแก้ม หยดกระทบลงบนพื้น และภายใต้แสงตะเกียงที่สาดส่อง หยาดน้ำตาก็ได้ผลิบานขึ้นเป็น…ดอกรักแห่งการย้อนทวนความทรงจำ

(ดอกรักในที่นี้ไม่ใช่ดอกรักของบ้านเรา แต่เป็นดอกฉิงฮวา ดอกไม้แห่งความรักของจีน 情花 หรือดอกลำโพง)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!