Skip to content

A Will Eternal 149

บทที่ 149 ก็ต้องดูแค่ว่าอาจารย์อาป๋ายต้องการหรือไม่

“นี่มันวิญญาณร้ายที่ไหน นี่มันผีอาฆาตชัดๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญหาย โกยอ้าวด้วยความรวดเร็ว หัวใจเต้นกระหน่ำ เมื่อครู่ตอนที่สบตากับเด็กหญิงผู้นั้น เขาสัมผัสได้ถึงวิกฤตความเป็นความตายชัดเจน ความรู้สึกนั้นรุนแรงอย่างถึงขีดสุด ราวกับว่าเลือดเนื้อทุกชุ่นกำลังกรีดร้อง

เขามีลางสังหรณ์ว่าหากตัวเองหนีได้ช้าย่อมต้องตายอยู่ที่นี่แน่นอน!

ความรู้สึกถึงความตาย ทำให้ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้ม ลมหายใจถี่ระรัว เส้นเลือดฝอยปรากฏอยู่ในดวงตา เวลานี้ความเร็วก็ยิ่งเร็วมากขึ้น ห้อทะยานไปยังจุดลึกของโลกกระบี่อุกกาบาต

เพียงแต่ว่าหนึ่งวันต่อมา เขาก็ยังคงเหลียวหลังกลับไปมองอยู่หลายครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีวิญญาณร้ายตามมา โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ปรากฏตัว เขาถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ

“เด็กหญิงชุดขาวผู้นั้นผิดปกติ! เดิมทีนางเป็นเหมือนวิญญาณร้ายตนอื่นๆ ทว่าพอกินยาประหลาดเม็ดนั้นเข้าไป ปราณตลอดทั้งร่างก็เปลี่ยนไปหมด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงภาพของเมื่อวันก่อน ในใจก็ยังหวาดหวั่นไม่หาย

“ข้าหลอมยาผิดตรงไหนกันแน่” ป๋ายเสี่ยวฉุนใบหน้าบูดบึ้ง ในใจคิดอยากยอมแพ้ ทว่าพอนึกขึ้นได้ว่ายาเม็ดนั้นสามารถดึงดูดสัตว์ร้ายได้จริง เขาก็อดเสียดายไม่ได้ เวลานี้จึงกัดฟันกรอด รุดหน้าเดินทาง ตามหาสัตว์ร้ายพลางศึกษาตำรับยาของตัวเองไปด้วย เวลาผ่านไปอีกสามวัน ในที่สุดหลังจากเขาแก้ไขตำรับยาของตัวเองได้แล้วก็ยังต้องใช้เจตนารมณ์อันแน่วแน่ยิ่งใหญ่ ถึงได้เปิดเตาหลอม เริ่มหลอมยาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ครั้งนี้ไม่มีฟ้าผ่า ไม่มีปรากฏการณ์ผิดปกติ ตอนที่กลิ่นหอมของยาลอยกำจายออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หลอมยาสีม่วงออกมาได้สี่เม็ด หยิบยาขึ้นมาแล้วเอาออกไปทดลองด้านนอกด้วยความระมัดระวัง ตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้วว่าหากล่อวิญญาณร้ายออกมาอีกครั้งก็จะโกยแนบทันที

ไม่นานความว่างเปล่ารอบด้านก็เกิดการบิดเบือน สัตว์ร้ายแต่ละตัวถูกดึงดูดออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่กล้าลงมือทันที แต่เลือกถอยหลังกรูดว่องไว มองรอบทิศอย่างระแวดระวัง

จนกระทั่งสัตว์ร้ายที่ถูกยาดึงดูดออกมามีเกินยี่สิบกว่าตัว ทว่ายังคงไม่มีวิญญาณร้ายปรากฏตัว ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตื่นเต้นฮึกเหิมขึ้นมา

“สำเร็จแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะร่า หยิบเอายันต์มาแปะไว้บนร่าง ตลอดทั้งร่างจึงมีแสงคุ้มกันปกคลุมไปทั่ว จากนั้นบุกถลาเข้าไปในกลุ่มสัตว์ร้าย เขาเคลื่อนไหวเร็วไว ผิวเนื้อหยาบหนา กระบี่ไม้ในมือกลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาว ลอดทะลุทะลวงไม่หยุดพัก เริ่มเปิดศึกกับสัตว์ร้ายยี่สิบกว่าตัวนี้

หลังจากสัตว์ร้ายแต่ละตัวตายไป นัยน์ตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทอประกายดีใจอย่างบ้าคลั่ง ปราณชีพจรดินแต่ละเส้นลอยเข้ามาอยู่ในขวดนักพรตอย่างรวดเร็ว ทำให้ของเหลวชีพจรดินสีเทาที่อยู่ในขวดนักพรตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ผ่านไปชั่วครู่ หลังจากสัตว์ร้ายรอบด้านถูกสังหารจนหมด ป๋ายเสี่ยวฉุนมองขวดนักพรตที่อยู่ในมือของตัวเอง ในใจเต็มไปด้วยความปิติยินดี เวลาเพียงแค่ครู่เดียวก็ได้รับผลพวกมากมายเทียบเท่ากับที่เขาได้รับเมื่อหลายวันก่อน

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก เปลี่ยนทิศทางไปอีกพื้นที่หนึ่งแล้วจึงหยิบยาออกมาอีกครั้ง รอคอยอย่างมีความหวัง ไม่นานสัตว์ร้ายหลายตัวก็ปรากฏกายขึ้นมา ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ ลงมือทันที

เวลาผันผ่าน ภายใต้การช่วยเหลือของยา ของเหลวสีเทาในขวดนักพรตของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน ระดับความเร็วในการเก็บรวบรวมครั้งนี้น่าตื่นตะลึงอย่างถึงขีดสุด ผ่านไปอีกหลายวัน วันนี้เป็นวันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาอยู่ในโลกกระบี่อุกกาบาตแห่งนี้ครบหนึ่งเดือนพอดี ในขวดนักพรตของเขาสะสมปราณชีพจรดินได้เกือบถึงแปดส่วนแล้ว

“เหลืออีกแค่สองส่วนสุดท้ายแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งห้าวเหิม เขาไม่รู้ว่าคนอื่นๆ สะสมได้ถึงระดับไหนแล้ว แต่เขารู้สึกว่าคนที่สามารถเก็บสะสมได้มากกว่าตัวเองไม่น่าจะมีมากนัก

ทว่านิสัยเขาเป็นคนชอบความมั่นคง เวลานี้เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะบุกโจมตีให้ครบสิบส่วนรวดเดียว!

“ข้าจำเป็นต้องใช้สัตว์ร้ายมากกว่านี้” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก กัดฟันพุ่งเข้าไปในจุดที่ลึกยิ่งกว่าเดิมของโลกกระบี่อุกกาบาต หลังจากหาพื้นที่ที่สามารถสัญจรไปได้รอบทิศทางแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยิบเอายาออกมาทีเดียวสองเม็ด คราวนี้เพื่อดึงดูดสัตว์ร้ายได้มากยิ่งกว่าเดิม เขาจึงถือโอกาสบีบยาให้แหลกละเอียดแล้วสาดไปทั่วทิศเสียเลย

ความว่างเปล่าที่ห่างออกไปไกลเกิดบิดเบือนอย่างรวดเร็ว สัตว์ร้ายแต่ละตัวคำรามออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือโดยพลัน ขณะที่เสียงตูมตามดังสะท้อนทั่วทิศ หลังจากสัตว์ร้ายแต่ละตัวสิ้นชีพลงไป ปราณชีพจรดินแต่ละเส้นก็ไหลมารวมอยู่ในขวดนักพรตของเขาไม่ขาดสาย

เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนบีบยาจนแหลกละเอียด อีกทั้งยังอยู่ในตำแหน่งนี้ แม้ว่าไม่ใช่จุดที่ลึกที่สุดของโลกใบนี้ แต่ก็เข้าใกล้มากแล้ว ดังนั้นปริมาณของสัตว์ร้ายในสถานที่แห่งนี้จึงมีมากถึงที่สุด หากใช้การค้นหา หรือว่าสัตว์ร้ายหลับลึก ต้องรอเข้าไปใกล้จึงจะปรากฏตัว ทว่าตอนนี้แต่ละตัวกลับฟื้นตื่นและปรากฎกายออกมาด้วยตัวเอง

ไม่นานสัตว์ร้ายของที่นี่ก็ไม่ใช่หลายสิบตัวอีกต่อไป แต่เป็นเกือบร้อยตัว อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นสัตว์ระดับกลาง บางครั้งก็มีสัตว์ร้ายระดับสูงปรากฏตัวขึ้นมาด้วย ซึ่งสัตว์ร้ายระดับสูงหนึ่งตัวจำเป็นต้องใช้ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจหลายคนร่วมมือกันถึงจะจัดการได้

ถึงขั้นที่ว่าเมื่อถึงท้ายที่สุด ความเร็วในการสังหารของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สมดุลกับจำนวนของสัตว์ร้ายที่เพิ่มขึ้นมา ไม่นานสัตว์ร้ายรอบด้านก็มีมากถึงสองร้อยกว่าตัว ทั้งยังเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง กลายเป็นจำนวนที่ว่าไม่ว่านักพรตคนใดมาเห็นเข้าก็ต้องคลุ้มคลั่งทั้งสิ้น

มีลูกศิษย์ของทั้งสี่สำนักสังเกตเห็นที่แห่งนี้แล้วจึงเร่งรุดเดินทางมา ตรงเข้าสังหารสัตว์ร้ายอยู่รอบนอก โดยเฉพาะชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดิมทีแค่ผ่านมาทางนี้ พอมองเห็นสัตว์ร้ายเข้าก็ชะงักฝีเท้า กวาดตามองทุกคนอย่างละเอียดหนึ่งรอบ หลังจากถอนสายตากลับมาก็เหยียบย่างเข้าไปในกลุ่มสัตว์แล้วลงมือทันที

ชายหนุ่มผู้นี้ลงมือโหดเหี้ยมถึงขีดสุด การปรากฏตัวของเขาทำให้ลูกศิษย์สำนักธาราโอสถพากันฮึกเหิม ป๋ายเสี่ยวฉุนมองออกไปไกลๆ ก็จำได้ทันทีว่าคนผู้นี้คือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งของสำนักธาราโอสถ ฟางหลิน

สัตว์ร้ายที่ตัวเองล่อออกมากลับถูกคนอื่นแย่งฆ่า ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตนเองไม่สามารถฆ่าได้หมดในเวลาอันรวดเร็ว จึงได้แต่ฮึดฮัดขัดใจหนึ่งเสียง ไม่ได้ให้ความสนใจอีก

ไม่นานนักพรตที่อยู่ในอาณาบริเวณนี้ก็มีมากถึงสี่สิบกว่าคน นั่นถึงทำให้การเพิ่มจำนวนของสัตว์ร้ายเกิดความสมดุล ทุกคนดีใจอย่างบ้าคลั่ง ร่วมมือกันสังหารสัตว์ร้ายต่อเนื่อง

โดยเฉพาะในนั้นมีลูกศิษย์ของสำนักธาราเทพอยู่จำนวนหนึ่งที่พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็พากันเขยิบเข้าใกล้ ภายใต้การช่วยเหลือดูแลของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงได้รับผลพวงมากยิ่งกว่าเดิม

ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม เขาเห็นว่าตอนนี้ของเหลวชีพจรดินในขวดนักพรตเพิ่มมากขึ้นถึงเก้าส่วนแล้ว ฆ่าสัตว์ร้ายเพิ่มอีกจำนวนหนึ่งก็จะสามารถแปลงออกมาเป็นตัวล่อปราณชีพจรดินได้ ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นกลางอากาศที่ห่างออกไปไกลพลันมีรุ้งยาวสิบกว่าเส้นคำรามเข้ามา

ร่างที่อยู่ในรุ้งยาวเหล่านี้สวมอาภรณ์เหมือนกัน ทั้งหมดล้วนเป็นลูกศิษย์ของสำนักธาราทมิฬ ผู้นำขบวนคือชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง รอบกายมีสายฟ้าโอบล้อม พละกำลังน่าตื่นตะลึง

การปรากฏตัวของเขาทำให้ลูกศิษย์สี่สำนักที่อยู่ตรงนี้หน้าเปลี่ยนสีกันไปหมด มีเพียงฟางหลินแห่งสำนักธาราโอสถเท่านั้นที่ไม่มองแม้แต่หางตา ยังคงสังหารสัตว์ร้ายรอบกายต่อไป

“เหลยซาน!”

“ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับสองของสำนักธาราทมิฬ เหลยซาน บัดซบ หากเขาปรากฏตัวแค่คนเดียวก็ยังพอว่า เหตุใดถึงพาคนมาด้วยมากมายถึงเพียงนี้!”

ขณะที่ลูกศิษย์ทุกคนรอบด้านหน้าเปลี่ยนสี พอเหลยซานมองเห็นว่าสถานที่แห่งนี้มีสัตว์ร้ายมากมายก็ยินดีอย่างบ้าคลั่งทันที เขาเองได้เจอคนสำนักเดียวกันระหว่างทาง ได้ยินมาว่าที่แห่งนี้เกิดกระแสสัตว์แปลกประหลาดขึ้นมา ถึงได้เร่งรุดมาที่นี่

“ข้าขาดอีกแค่สี่ส่วนก็สามารถสร้างตัวล่อปราณชีพจรดินได้แล้ว ฆ่าสัตว์ร้ายทุกตัวที่อยู่ที่นี่ก็จะสำเร็จแล้ว!” ขณะที่เหลยซานเงยหน้าหัวเราะร่า ลูกศิษย์สำนักธาราทมิฬที่อยู่ข้างกายเขาก็เข้าใจความหมายทันที ชายหนุ่มหน้ายาวคนหนึ่งเดินกระหยิ่มยิ้มย่องออกมาเอ่ยปากเสียงเย็นชา

“ลูกศิษย์คนใดก็ตามที่ไม่ใช่คนของสำนักธาราทมิฬ รีบไสหัวออกไปซะ สถานที่แห่งนี้เป็นของลูกศิษย์สำนักธาราทมิฬแล้ว!” คำพูดของเขาเพิ่งปล่อยออกมา ลูกศิษย์อีกสามสำนักที่เหลือซึ่งอยู่ในพื้นที่นี้ก็พากันจ้องมองไปด้วยความโกรธแค้น แต่ลูกศิษย์สำนักธาราทมิฬที่อยู่ตรงนี้อยู่ก่อนแล้วกลับยิ้มปริ่ม ไม่นานก็เข้าไปรวมตัวกับเหลยซาน จำนวนคนมากพอสามสิบกว่าคน

คนสามสิบกว่าคนนี้ เมื่ออยู่ภายใต้การนำของเหลยซานก็ทำการบังคับขับไล่ หากมีคนคิดต่อต้านก็จะถูกคนที่เหลยซานพามาด้วยตรงเข้าสังหาร เวลาแผล็บเดียวสถานที่แห่งนี้ก็เกิดจลาจลใหญ่

“เวลาสิบชั่วลมหายใจ ทิ้งขวดนักพรตของพวกเจ้าเอาไว้ แล้วไสหัวออกไปซะ!”

“ไม่ยอมจากไปก็เอาชีวิตทิ้งไว้ที่นี่” ทุกคนของสำนักธาราทมิฬดวงตาโชนแสง คนของสำนักธาราโลหิตที่อยู่ในที่แห่งนี้แปดเก้าคนมองหน้ากันไปมา แต่ละคนถอยหลังกรูด จากไปไกลทันควัน

ลูกศิษย์ของสำนักธาราโลหิตส่วนใหญ่ล้วนอยู่เพียงลำพัง เหมือนหมาป่าเดียวดาย ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่เหลยซานเองก็ยังไม่คิดจะบีบบังคับมากเกินไปนัก จึงปล่อยให้คนของสำนักธาราโลหิตจากไป

สำนักธาราโอสถจนใจ ทำได้เพียงถอยร่น เหลยซานลังเลเล็กน้อย เขาเองก็มองเห็นฟางหลินที่อยู่ในกลุ่มสัตว์ร้ายเช่นกัน สำหรับฟางหลินแล้วเขาไม่อยากมีเรื่องด้วย เขาสงสัยว่าสนามรบน่าหวาดกลัวที่เขาได้เห็นเมื่อครึ่งเดือนก่อนนั้นเป็นฝีมือของฟางหลินที่รบกับผู้อื่น

และเขาก็หวาดหวั่นกับศึกครั้งนั้นอยู่มาก จึงปล่อยลูกศิษย์สำนักธาราโอสถจากไปท่ามกลางอาการลังเล ส่วนทางฝ่ายของฟางหลิน เหลยซานก็ตัดสินใจแล้วว่าต่างฝ่ายต่างอยู่เป็นการดีที่สุด

มองเห็นว่าลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตและสำนักธาราโอสถล้วนจากไปแล้ว ลูกศิษย์สำนักธาราเทพต่างก็หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดดาล ทว่าคนของอีกฝ่ายมีมากเกินไป ฝ่ายตนเองมีไม่ถึงสิบคน หากมีเรื่องกันขึ้นมา ตัวเขาเองอาจจะไม่เป็นไร แต่คนอื่นย่อมตายอนาถอย่างแน่นอน

“พวกเราไปกันเถอะ ก็แค่กระแสสัตว์ไม่ใช่หรือ อีกเดี๋ยวอาจารย์อาจะสร้างใหม่ให้พวกเจ้าเอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน กำลังจะจากไป ทว่าตอนนี้เอง เหลยซานมองมาไกลๆ เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันหัวเราะขึ้นมา

แต่ละคนของสำนักธาราโลหิตล้วนเหี้ยมโหด เขาไม่อยากบีบบังคับกันเกินไปนัก สำนักธาราโอสถมีฟางหลินอยู่ด้วย เขาไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว แต่สำนักธาราเทพ เหลยซานกวาดสายตามองหนึ่งครั้ง เห็นแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียว คนอื่นๆ ล้วนเป็นพวกฝีมือธรรมดา พอนึกถึงคำแนะนำเกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีอยู่ในแผ่นหยกของสำนัก นัยน์ตาของเหลยซานก็ฉายแววดูหมิ่นออกมา

“คนของสำนักธาราเทพจะจากไปก็ได้ แต่ต้องทิ้งขวดนักพรตของพวกเจ้าเอาไว้! มิเช่นนั้นพวกเจ้าก็อย่าคิดจะจากไปเด็ดขาด!” แววสังหารในดวงตาเหลยซานสะท้อนวาบ ทุกคนของสำนักธาราเทพล้วนหน้าถอดสี ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งโมโหเดือดเข้าไปใหญ่

“แย่งสัตว์ร้ายของข้า ยังคิดจะแย่งขวดนักพรตของข้าอีก พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!”

“พวกเจ้าต่างหากที่รังแกตัวเอง คิดจะโทษก็โทษที่พวกเจ้าไม่มีคนแข็งแกร่ง!” เหลยซานแค่นเสียงเย็นชา สะบัดร่างออกมา ตรงดิ่งเข้าหาสำนักธาราเทพ ลูกศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักธาราทมิฬต่างก็แสยะยิ้มชั่วร้ายพุ่งถลาเข้ามาใกล้

“อาจารย์อาป๋าย!”

“พวกเราจะทำยังไงกันดี อาจารย์อาป๋าย!” ลูกศิษย์ของสำนักธาราเทพแต่ละคนร้อนรน ในดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนมีเส้นเลือดฝอย เขายกมือขวาขึ้นมากะทันหัน ในมือมียาสีดำเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเม็ด ซึ่งนั่นก็คือยาที่ดึงดูดวิญญาณร้าย

“เมื่อข้าโยนยาเม็ดนี้ออกไปแล้ว พวกเจ้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนดวงตาแดงก่ำ เอ่ยปากด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ลูกศิษย์สำนักธาราเทพทุกคนที่อยู่ข้างกายเขา แต่ละคนพอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบยาออกมาก็สูดลมหายใจเฮือก สีหน้าหวาดกลัวมากยิ่งกว่าตอนที่สำนักธาราทมิฬพุ่งเข้าหาก่อนหน้านี้เสียอีก ไม่คิดจะรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจบก็พากันเร่งความเร็วถึงขีดสุด ระเบิดความเร็วยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา ถอยหลังกรูดเตรียมหลบเลี่ยงอย่างพร้อมเพรียงกัน

“นั่นก็คือ…ยากระสันซ่านที่เล่าลือกันน่ะหรือ?”

“สวรรค์ หรือว่ายานี่ก็ใช้กับสัตว์ร้ายพวกนี้ได้ด้วย!”

“อาจารย์อาป๋ายช่างเป็นเทพในร่างคนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะมีผลกับสัตว์ร้ายหรือไม่ ก็ต้องดูแค่ว่าอาจารย์อาป๋ายต้องการหรือไม่…รีบไปเถอะ ช้ากว่านี้จะแย่เอาได้!”

———–

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!