บทที่ 306 เขาสวรรค์พิฆาตวัว!
เทือกเขาธาราทมิฬ ค่ายกลเมืองคูน้ำถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะกลับคืนสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว แต่กลับโอนเอนพร้อมถล่มลงได้ทุกเมื่อ เวลานี้นักพรตสำนักธาราทมิฬที่ถอนกำลังกลับมา และยังมีคนของสำนักธาราโอสถที่ถูกกักขังเอาไว้กำลังถ่ายทอดพลังวิญญาณไม่หยุดยั้งเพื่อประคับประคองการโคจรของค่ายกลเอาไว้
เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นนักพรตสำนักธาราทมิฬเอง แม้ว่าเวลานี้จะยังพยายามค้ำประคองค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ทว่าคนส่วนใหญ่กลับเงียบงัน ไม่มีใครพูดจา ความคิดในสมองของแต่ละคนต่างกันออกไป
ต่อให้พวกเขายังเหลือพลังรบครั้งสุดท้าย ต่อให้พวกเขามั่นใจว่าสามารถถ่วงเวลาสงครามครั้งนี้ให้ยืดยาวออกไปได้ ทว่า…สำหรับอนาคตของพวกเขา กลับเต็มไปด้วยความสับสนเลื่อนลอย
ยืดเวลาออกไปได้ แล้วจะอย่างไร…
เมื่อต้องเผชิญกับสองสำนักเทพโลหิตที่อยู่ด้านหน้า เมื่อต้องเผชิญกับพรรคพวกที่เหลืออยู่ของธาราโอสถที่อยู่ด้านหลัง
นักพรตทุกคนของสำนักธาราทมิฬล้วนเข้าใจดี…พวกเขา ไม่มีความหวังอีกแล้ว
และที่ยังคงสั่งให้ตัวเองยืนหยัด นั่นก็เป็นเพียงเพราะความภักดีที่มีต่อสำนัก รวมไปถึงความหวาดกลัวหากต้องแพ้พ่าย…
บุรพาจารย์หลายคนของสำนักธาราทมิฬเวลานี้ต่างก็บาดเจ็บสาหัส ทุกคนขมขื่น พวกเขาทอดสายตามองไกลออกไปยังสนามรบ เมื่อมองกันและกันแล้วต่างก็มองออกถึงความไม่ยินยอมของอีกฝ่าย
“ตอนนี้ ต่อให้พวกเราสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนได้โดยไม่สนว่าต้องสูญเสียมากเท่าไหร่ ก็ล้วนไม่มีความหมายอีกแล้ว”
“อย่าได้หวังว่าจะดับทำลายพวกเราได้ เทพโลหิตสองสำนัก…แม้จะรวมตัวกัน แต่ก็ไม่มีทางรวมกันได้นาน ขอแค่ถ่วงเวลาให้นานกว่านี้อีกหน่อย…ด้านหนึ่งสามารถทำให้พวกเขาพังพินาศกันไปเอง อีกด้านหนึ่งก็สามารถทำให้สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราหมดความอดทน จนเทพโลหิตสองสำนักสูญเสียโอกาสอันดีในการบุกไปฆ่ายังสำนักธารฟ้า…และจุดเริ่มต้นของทั้งหมดนี้ ก็คือการตายของป๋ายเสี่ยวฉุน!”
บุรพาจารย์สำนักธาราทมิฬเดิมทีก็ไม่ปรองดองกันอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่ออยู่ในสงคราม ความเห็นก็ยังมาแตกต่างกันอีก และเวลานี้เอง ในสำนักธาราทมิฬ ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ใบหน้าเป็นสีแดง หรือแม้แต่เส้นผมก็ยังแดงโร่พลันแค่นเสียงเย็นขึ้นมาหนึ่งครั้ง
“ถึงเวลาแบบนี้แล้วยังจะมัวมาโต้เถียงอะไรกันอีก ต่อให้สุดท้ายต้องยอมแพ้ แต่ก็ต้องทำให้เทพโลหิตสองสำนักเจ็บหนัก และก็ต้องทำลายการรวมตัวกันของพวกมัน จะปล่อยให้ข่าวที่พันหน้าส่งมาให้ก่อนตายเสียเปล่าไม่ได้!” เมื่อผู้เฒ่าคนนี้เอ่ยปาก คนอื่นๆ จึงพากันเก็บเสียง คนผู้นี้ก็คือบุคคลอันดับหนึ่งของบุรพาจารย์รุ่นนี้ในสำนักธาราทมิฬ บุรพาจารย์ชื่อหุน!
“ใช้อาวุธล้ำค่า ตรวนธนูสวรรค์!”
นัยน์ตาของบุรพาจารย์ชื่อหุ่นเปล่งแสงเย็นเยียบ ไม่รอให้ทุกคนพูดมาก มือขวาก็ยกขึ้นชี้ไปยังนอกเมือง!
และเวลานี้เอง นอกเมืองคูน้ำ พื้นดินพลันสั่นสะเทือน ทั้งยังมีรอยปริแตกขนาดยักษ์มากมายหลายรอยแตกออก พริบตาเดียวก็แผ่ขยายยาวพอหลายร้อยจั้ง
พื้นดินคล้ายกลายมาเป็นน้ำทะเลที่เกิดลูกคลื่นขึ้นๆ ลงๆ ต่อเนื่อง ทำให้นักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนของเทพโลหิตแตกตื่น วินาทีที่พวกเขาพากันก้าวถอยหลัง เสียงร้องคำรามฮึ่มฮั่มก็พลันดังลอยมาจากใต้ดิน
เสียงคำรามนี้เขย่าคลอนจิตวิญญาณ ทำให้ทุกคนรอบด้านที่ได้ยินจิตใจเลื่อนลอย ร่างโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ ทั้งยังมีคนบางส่วนที่เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด หรือหากใครที่อยู่ใกล้หน่อย ศีรษะก็จะระเบิดโพล๊ะออกทันที คล้ายมิอาจทนรับพลังน่าตะลึงที่แฝงเร้นอยู่ในเสียงคำรามนี้ได้
เมื่อเสียงคำรามดัง ฟ้าดินเปลี่ยนสี!
แม้แต่นักพรตยาอายุวัฒนะและบุรพาจารย์ที่อยู่บนท้องฟ้าก็ยังหน้าถอดสี เมื่อมองไปจึงเห็นทันทีว่าพื้นดินปูดนูนขึ้นมา เสียงร้องครั่นครืนดั่งเสียงฟ้าผ่า บัดนี้ได้ระเบิดออกมาจากใต้ดินโดยตรง
พื้นแผ่นดินพังทลาย ดินโคลนเหลือคณานับสาดกระเซ็นไปสี่ทิศ พื้นดินที่อยู่ในรัศมีหลายร้อยเมตรถล่มยุบยวบลงไป ขณะที่คนมากมายยืนได้ไม่มั่นคง จิตใจสั่นคลอนอยู่นั้นเอง เสียงคำรามฮึ่มฮั่มที่ดังชัดเจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ก็แผ่กระจายไปแปดทิศ
โฮก!
วัวสวรรค์ตัวหนึ่ง…ที่สวมเกราะเหล็กสีดำจนดำสนิทไปทั้งร่าง ลำตัวยาวพอพันจั้งพุ่งพรวดออกมาจากในพื้นดิน วัวสวรรค์เกราะดำตัวนี้เมื่อมองจากที่ไกลๆ ดูคล้ายแมลงเปลือกแข็งขนาดมหึมาตัวหนึ่ง ทั้งยังมีเงาโค้งงอยาวๆ อีกสองข้างราวกับคีมเหล็ก ปล่อยประกายแสงสีดำน่าพิศวง
เพิ่งจะปรากฏตัว วัวสวรรค์เกราะดำตัวนี้ก็พุ่งตะลุยไปข้างหน้าทันที ทุกที่ที่ผ่าน นักพรตเทพโลหิตจำนวนมากเปล่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด มิอาจหลีกเลี่ยงได้แม้แต่นิด อีกทั้งบนร่างของวัวสวรรค์เกราะดำตัวนี้ยังระเบิด…พลังตบะในการสู้รบที่ไม่ด้อยไปกว่าบุรพาจารย์ขั้นก่อกำเนิดอีกด้วย!
ถึงขั้นที่ว่ายังเหนือล้ำยิ่งกว่าในบางระดับ และยังมีควันสีดำปริมาณมากแผ่กระจายออกมาจากในร่างกายของมัน กัดกร่อนทุกสรรพสิ่ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นแล้วความใจหายใจคว่ำ มองแมลงเปลือกแข็งสีดำขนาดมหึมาตัวนั้น เขาถึงกับสำลักลมหายใจ สัตว์ดุร้ายที่ร่างกายใหญ่โตเขาเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว ทว่าแมลงที่ใหญ่มโหฬารขนาดนี้ กลับไม่เคยเห็นมาก่อน
“วัวสวรรค์เกราะดำ!!” บนท้องฟ้า ในบรรดานักพรตยาอายุวัฒนะของสำนักธาราเทพ มีคนจำมันได้ทันที
“วัวสวรรค์เกราะดำ หนึ่งในอาวุธล้ำค่าสองชิ้นใหญ่ของสำนักธาราทมิฬ ในที่สุดก็เอาออกมาใช้แล้ว!” ดวงตาทั้งคู่ของบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพเปล่งแสงวาบ ขณะที่แค่นเสียงเย็นก็ยกมือขวาขึ้นทำมุทราแล้วชี้ฉับไปที่ท้องฟ้า
“อัญเชิญกระบี่เขาสวรรค์…แห่งสำนักธาราเทพ!”
ในชั้นเมฆบนท้องฟ้ามีเสียงคำรามแผดยาวที่เขย่าฟ้าคลอนดินไม่ต่างกันดังลอยมา เสียงแผดยาวนี้ไม่เหมือนเสียงของคน แต่เหมือนเป็นเสียงกรีดผ่าอากาศที่เกิดจากความเร็วสูงสุดมากกว่า!
พริบตาเดียว แสงสีเงินจัดจ้าบาดตาเส้นหนึ่งพลันแลบปลาบพุ่งดิ่งลงมาจากท้องฟ้า นั่นก็คือ…กระบี่สีดำเล่มหนึ่ง!!
กระบี่นี้มองดูเหมือนธรรมดาอย่างมาก มีลักษณะโค้งงอน้อยๆ ทำมาจากเขาทั้งแท่งของมังกรนิล มองดูไม่สะดุดตา แต่ในความจริงแล้วกลับไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด และที่ยิ่งพิเศษไปกว่านั้น…คือแสงสีเงินน่าครั่นคร้ามสิบเส้นที่อยู่บนตัวของกระบี่!
นั่นหมายความว่า…กระบี่เล่มนี้ ถูกหลอมพลังจิตมาแล้วสิบครั้ง ต่อให้เป็นเหล็กหรือทองแดงห่วยๆ ถูกหลอมพลังจิตสิบครั้งก็ยังเรียกได้ว่าเป็นอาวุธแหลมคมที่หาได้ยาก จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระบี่เขาสวรรค์ที่พอ
หลอมพลังจิตแล้วสิบครั้ง กระบี่เล่มนี้…จึงได้เหนือล้ำเกินกว่าคำว่าอาวุธล้ำค่า ไต่ไปเกือบถึงระดับครึ่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์!
อาวุธวิเศษแบ่งออกเป็นอาวุธยิ่งใหญ่ อาวุธล้ำค่า และอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ขณะเดียวกันในทุกระดับก็จะแบ่งออกอีกเป็นสามชั้นคือฟ้า ดิน มนุษย์ ในประเภทของอาวุธล้ำค่าที่สามารถกลายมาเป็นวัตถุปกป้องสำนัก ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นอาวุธล้ำค่าชั้นฟ้า!
ส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์…ต่อให้เป็นเพียงแค่ชั้นมนุษย์ที่ต่ำที่สุดก็ยังถือว่าเป็นหนึ่งในพลังแฝงของสำนัก ไม่มีทางเอาออกมาใช้กันง่ายๆ มีเพียงช่วงเวลาที่สำนักเผชิญกับความเป็นความตายเท่านั้นถึงจะเอาออกมา
เวลานี้กระบี่เขาสวรรค์เยื้องกรายลงมา ทำให้นักพรตสำนักธาราเทพทุกคนล้วนฮึกเหิม ไชโยกู่ร้องอย่างพร้อมเพรียงกัน
“กระบี่เขาสวรรค์ของสำนักเรา!! กระบี่เขาสวรรค์ปรากฏ ผ่าดาราบั่นจันทรา!!”
“บารมีกระบี่เขาสวรรค์ เขย่าคลอนทั้งแม่น้ำและภูเขา!!”
“หลอมพลังจิตสิบครั้ง ล้ำค่าอย่างหาอะไรเปรียบไม่ได้!!” เสียงดุจดั่งคลื่นยักษ์ที่ดังสะท้อนสนั่นหวั่นไหว ไม่เพียงแต่สำนักธาราทมิฬเท่านั้นที่ใบหน้ามืดดำ แม้แต่คนของสำนักธาราโลหิตเองก็ยังมีสีหน้าน่าเกลียด รู้สึกเหมือนถูกสำนักธาราเทพแย่งเอาหน้าไป
บุรพาจารย์หลายคนของสำนักธาราโลหิตพากันฮึดฮัดเบาๆ ตอนที่มองไปยังกระบี่เขาสวรรค์นั่นต่างก็สูดลมหายใจเข้าลึก โดยเฉพาะพอเห็นเส้นสีเงินน่ากริ่งเกรงทั้งสิบเส้น ในใจก็ยิ่งอิจฉาแปล๊บ พวกเขาเคยศึกษาอาวุธล้ำค่าของสำนักธาราเทพมาก่อน สำหรับกระบี่เขาสวรรค์นี้ พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าเหตุใดสำนักธาราเทพถึงได้มีบุญวาสนายิ่งใหญ่ ถึงขนาดสามารถหลอมพลังจิตออกมาได้สิบครั้งโดยไม่ล้มเหลว
“นี่อาจจะเป็น…วัตถุชิ้นเดียวที่หลอมพลังจิตสิบครั้ง…ของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตะวันออกตอนล่าง” ปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตทอดถอนใจ
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ฮึกเหิม มองกระบี่เขาสวรรค์นั่น โดยเฉพาะพอมองเห็นลายเส้นสีเงินสิบเส้นบนนั้น เขาก็ยิ่งคึกคักห้าวเหิม ไพล่นึกไปถึงหม้อกระดองเต่าของตัวเอง
หม้อนี้แม้ว่าเวลาที่เขาเอามาใช้จะมีไม่มาก แต่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว นั่นคือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ต่อให้จนถึงตอนนี้เขาก็ยังวาดฝันว่าสักวันหนึ่ง ตัวเองจะสามารถสร้างอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งที่หลอมพลังจิตได้ถึงหนึ่งร้อยครั้ง พอจินตนาการว่าหากตัวเองทำสำเร็จขึ้นมาจริงๆ ตอนที่หยิบออกมาคงทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนตะลึงพรึงเพริดและริษยา เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเร้าอารมณ์
“ต้องมีวันนั้นแน่นอน!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังคึกคักอยู่นั้น เถี่ยตั้นที่อยู่ในสนามรบเดิมทีกำลังพุ่งตะลุยชนทุกสิ่งที่ขวางหน้า ตอนนี้ร่างพลันชะงักกึก เงยหน้าขึ้นพรวด ไม่ได้มองกระบี่เขาสวรรค์ แต่จ้องเขม็งไปยังแมลงเปลือกแข็งสีดำตัวนั้น ดวงตาทั้งคู่ของมันเผยความกระหายใคร่ แต่กลับฝืนสะกัดกลั้นความวู่วามที่อยากจะพุ่งเข้าไปเขมือบกลืนอีกฝ่ายเอาไว้ มันรู้ดีว่าระหว่างตัวเองและแมลงเปลือกแข็งสีดำนั่นยังห่างชั้นกันไกลนัก
เพียงแต่ในใจมันร้อนรน หลังจากกลอกตาหนึ่งรอบจึงย่อร่างให้เล็กลงอย่างเงียบเชียบ ค่อยๆ เข้าไปใกล้ทิศทางที่แมลงเปลือกแข็งสีดำอยู่
เวลานี้ เนื่องจากการเยื้องกรายลงมาของกระบี่เขาสวรรค์ ม่านแสงเปล่งประกายระยิบระยับ ดุจดั่งสายฟ้าสีเงินยวงที่แลบปลาบท่ามกลางเส้นสีดำ เมื่อเข้ามาใกล้ก็ก่อให้เกิดเสียงกรีดผ่าอาการแหลมดังเสียดแทงแก้วหู แฝงไว้ด้วยเจตจำนงของการบุกทลาย เส้นโค้งงอเปล่งแสงวับวาวหนึ่งเส้นก่อตัวกันขึ้นมาเป็นเส้นสายยาวเหยียดขนาดยักษ์ยาวพอหลายร้อยจั้ง ประหนึ่งสายรุ้งสีเงินเส้นหนึ่งที่ตวัด…ฟันฉับลงมา!
วัวสวรรค์เกราะดำสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เงยหน้าขึ้นคำรามเสียงอื้ออึงใส่กระบี่เขาสวรรค์ที่ทะยานดิ่งลงมาจากท้องฟ้าคล้ายเห็นศัตรูตัวฉกาจ ทั้งยังระเบิดควันสีดำออกมาโอบล้อมทั่วร่าง เมื่อควันนั้นแผ่ขยายออกไปข้างนอกอย่างต่อเนื่องก็พลันทำให้เรือนกายของมันขยายขนาดใหญ่ขึ้นไปอีก!
เรือนกายใหญ่พันจั้งที่น่าตะลึงนั้นแม้ว่าจะพร่าเลือนเล็กน้อย ทว่ากลับก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างสมจริงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งพลังอำนาจก็ยังระเบิดตูมออกมาในนาทีนี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านเห็นแล้วสูดลมหายใจเฮือกๆ
ด้วยความหวาดผวา วัวสวรรค์เกราะดำขนาดมหึมาตัวนี้ต้านทานกระบี่เขาสวรรค์ที่ฟันลงมาอย่างจัง!
เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว โลกทั้งใบสั่นคลอน แสงจัดจ้าของกระบี่เขาสวรรค์กลายมาเป็นแสงสีตระการตาในสนามรบ เมื่อกระบี่ตวัดฟันลงมา เส้นโค้งงอสีเงินจึงฟาดฟันเข้าใส่เรือนกายของวัวสวรรค์เกราะดำ แค่สัมผัสเบาๆ ก็ตวัดคืนกลับเดิมอีกครั้ง
ทว่าเพียงแค่สัมผัสครั้งเดียว ลายเส้นบนกระบี่เขาสวรรค์เปล่งวาบอยู่ไม่กี่ที วัวสวรรค์เกราะดำตัวนั้นก็กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เรือนกายชั้นนอกพังทลายหดเล็กลงไปเรื่อยๆ เผยให้เห็นร่างกายที่แท้จริงซึ่งอยู่ภายในที่เวลานี้เผยความหวาดกลัวออกมาทางสีหน้า กำลังจะหลบเลี่ยง แต่กลับทำไม่ได้…ขณะที่สายตาทุกคนมองมาด้วยความเหลือเชื่อนั้น ร่างกายของมันก็พลัน…ขาดออกเป็นสองท่อน!
เลือดสดระเบิดกระจาย…หัวกับร่างหลุดแยกออกจากกัน เผยให้เห็นแกนในที่คล้ายกับหุ่นเชิด และยังมีผลึกสีดำก้อนหนึ่งที่ปล่อยพลังล่อลวงใจ!
กระบี่ยังไม่ทันตวัดฟัน ที่ฟันลงไปนั้น…คือพลังของเส้นสีเงินจากการหลอมพลังจิตสิบครั้ง!!