บทที่ 411 เจ้า…เจ้าพูดถึงข้าอยู่รึ?
“มีหรือไม่มี!” เฝิงโหย่วเต๋อมองเห็นสีหน้าของอวิ๋นเต้าจื่อก็ขมวดคิ้วมุ่น เสียงดังขึ้นมาอีกเล็กน้อย
“มีขอรับ…เขาเป็นลูกศิษย์ที่มากับคนกลุ่มก่อนหน้านี้…” อวิ๋นเต้าจื่อไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ เฝิงโหย่วเต๋อถึงได้ถามหาป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้จึงรีบพยักหน้ารับ รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย
“ข้านึกออกแล้ว เขานี่เอง เจ้ารีบไปนำตัวเขา…ไม่สิ ไปเชิญเขามา จำไว้ว่าต้องมีมารยาทให้มากๆ ด้วย” เฝิงโหย่วเต๋อหัวเราะฮ่าๆ รีบสั่งความทันที ตอนนี้เขาเองก็นึกออกแล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคือใคร นึกได้ว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายใช้ความเร็วแซงหน้าตัวเอง ตอนนั้นเฝิงโหย่วเต๋อรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก ทว่าตอนนี้ท่าทีกลับเปลี่ยนไป รู้สึกว่าอย่างไรซะป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ก็เป็นคนที่สามารถทำให้บุคคลยิ่งใหญ่จับตามองได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว…
“หา?” อวิ๋นเต้าจื่อเบิกตากว้าง สมองเกิดเสียงอึงอล หน้าเปลี่ยนสีทันใด แถมหน้าผากยังเริ่มมีเหงื่อผุดซึม เขารู้สึกไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะเฝิงโหย่วเต๋อถึงกับพูดคำว่าเชิญออกมา ความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนี้ทำให้อวิ๋นเต้าจื่อยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดวิตก
“หืม? ยังไม่รีบไปอีก?”
เฝิงโหย่วเต๋อเห็นว่าหลังจากที่อวิ๋นเต้าจื่อได้ยินชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหงื่อแตกพลั่กทันที ในใจสงสัย สายตาจึงเริ่มดุดัน
“ท่านเจ้าศาลา…ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…เขา…เขามาไม่ได้แล้วขอรับ เขาไปทำภารกิจแล้ว” อวิ๋นเต้าจื่อฝืนใจตอบรับ ทว่าในใจกลับสบถด่าหลี่หยวนเซิ่ง อันที่จริงก่อนหน้านี้ครั้งแรกที่เขาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็จำอีกฝ่ายได้ทันที และที่สุดท้ายป๋ายเสี่ยวฉุนถูกศาลาปราบมารเลือกตัวมาก็เป็นเพราะฝีมือของอวิ๋นเต้าจื่อเอง
ตามข้อตกลงระหว่างเขาและหลี่หยวนเซิ่ง ขอแค่เขาเล่นงานให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตายได้ ถ้าเช่นนั้นผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับก็มีมากมาย เรื่องแบบนี้อวิ๋นเต้าจื่อไม่ได้เพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก ในสายตาของเขา แค่ลูกศิษย์คนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้เป็นตัวประกันแล้วอย่างไร อยู่ในศาลาปราบมาร เขาต้องการให้ใครตาย คนคนนั้นก็ย่อมต้องตายตามที่เขาต้องการ
ทว่าตอนนี้ อวิ๋นเต้าจื่อกลับใจสั่นรัว
“ภารกิจ?” เฝิงโหย่วเต๋ออึ้งไปเล็กน้อย เขามองอวิ๋นเต้าจื่อหนึ่งครั้ง ความดุดันในดวงตายิ่งคมกริบเหมือนใบมีด ตัวเขาเป็นถึงเจ้าศาลาปราบมาร แม้ปกติจะไม่ค่อยสนใจเรื่องราวในศาลาเท่าไหร่นัก ทว่าก็รู้เรื่องต่ำช้าในศาลาปราบมารเป็นอย่างดี รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องไปล่วงเกินใครไว้แน่นอน มิฉะนั้นอวิ๋นเต้าจื่อก็คงไม่มีสีหน้าเช่นนี้
“ไปทำภารกิจอะไร?” น้ำเสียงของเฝิงโหย่วเต๋อเริ่มไม่สบอารมณ์
“ไป…ไปทำภารกิจสังหารชายบ้ากามนามว่าจั่วเหิงเฟิงขอรับ…” อวิ๋นเต้าจื่อหน้าม่อย รีบตอบออกมาอย่างรวดเร็ว
“ไปทำภารกิจที่ไหน บอกมาตามความจริง!” เฝิงโหย่วเต๋อหนังตากระตุก จ้องเขม็งไปที่อวิ๋นเต๋าจื่อ พูดเน้นย้ำทีละคำ น้ำเสียงที่ใช้ก็เริ่มเย็นเยียบตามไปด้วย
“ไป…ไปที่ถ้ำของตี้ซาเหล่าไกว้ ( เหล่าไกว้ (老怪)คำเรียกขานของคนที่ทำตัวประหลาด หรือภาษาในเกมจะหมายถึงตัวสัตว์ประหลาดที่เป็นบอสตัวสุดท้าย)
เจ้า…เจ้าจั่วเหิงเฟิงผู้นี้คือลูกศิษย์คนใหม่ที่ตี้ซาเหล่าไกว้เพิ่งจะรับเข้ามา…” คราวนี้อวิ๋นเต้าจื่อคับแค้นใจอย่างถึงที่สุดจริงๆ ในใจพาลเกลียดแค้นหลี่หยวนเซิ่ง ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนได้รับความไม่เป็นธรรม คิดในใจว่าในเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งถึงขนาดดึงดูดความสนใจจากเจ้าศาลาได้แบบนี้ ก็บอกกันแต่แรกสิ…
“ว่าไงนะ!!” ลูกตาของเฝิงโหย่วเต๋อแทบจะถลนออกมาจากเบ้า สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งก็มีลมพายุพัดทำลายสิ่งของที่จัดวางอยู่ในตำหนักใหญ่ให้ระเบิดดังตูม พายุคลั่งลูกนี้ทำลายทุกอย่างพินาศวอดวายกลายมาเป็นซากธุลี พลานุภาพสยบและลมพายุที่แผ่กระจายออกไปรอบด้านทำให้อวิ๋นเต้าจื่อตัวสั่นเทา
“เจ้าให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปที่ถ้ำของตี้ซาเหล่าไกว้ซึ่งเป็นนักพรตก่อกำเนิดเพื่อฆ่าลูกศิษย์ของเขา?!” ไฟโทสะของเฝิงโหย่วเต๋อพวยพุ่งสะท้านฟ้า
“รีบให้เขากลับมา เขาไม่จำเป็นต้องทำภารกิจอะไรทั้งนั้น!!” เฝิงโหย่วเต๋อคำรามเดือดดาล ตบะก่อกำเนิดแผ่ออก เสียงประดุจฟ้าผ่าดังก้องไปทั่วทั้งศาลาปราบมาร
“ไม่…ไม่ทันแล้วขอรับ เขาไปได้สิบกว่าวันแล้ว ดูจากเวลาตอนนี้ก็น่าจะไปถึงนานแล้ว…อีกทั้งข้า…ข้ายังจัดการกับแผ่นหยกของเขา เมื่อออกไปจากสำนัก แผ่นหยกนั่นก็ใช้ไม่ได้อีก…” อวิ๋นเต้าจื่อตกใจกับไฟโทสะของเฝิงโหย่วเต๋อจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง รีบลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวคำนับ พูดด้วยเสียงครวญคร่ำ
“เจ้า…เจ้า…” เฝิงโหย่วเต๋อรู้สึกเย็นเยือกไปทั้งใจ คล้ายถูกฟ้าผ่าในวันที่ท้องฟ้าสดใส เหงื่อเย็นๆ ไหลท่วมไปทั้งร่าง ตี้ซาเหล่าไกว้ผู้นั้นคือนักพรตก่อกำเนิดช่วงท้ายเช่นเดียวกัน ทั้งยังรวบรวมพวกคนที่ฝึกบำเพ็ญตบะด้วยตัวเองเอาไว้เป็นจำนวนมาก แถมคนผู้นี้ยังมีความชื่นชอบพิสดาร พอนึกถึงความชื่นชอบของอีกฝ่าย ใจของเฝิงโหย่วเต๋อก็หวั่นวิตก คิดว่าหากทูตทงเทียนไม่ได้เรียกตัวเข้าพบก็ว่าไปอย่าง แต่หากเรียกพบแล้วรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนตายอนาถอยู่ด้านนอก ผลร้ายที่จะตามมาคงยากที่จะประเมินได้
และพอนึกว่าบุคคลยิ่งใหญ่คนนั้นแม้แต่บุรพาจารย์ครึ่งเทพก็ยังให้ความเคารพยำเกรง เฝิงโหย่วเต๋อก็ตัวสั่นเยือกๆ ดวงตาแข็งค้างแดงก่ำ หลังจากสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง อยู่ๆ เขาก็แผดเสียงคำรามดังสนั่น
“เพราะเจ้าคนเดียว!!” เวลานี้ความเดือดดาลของเขาพุ่งทะลุเพดาน เฝิงโหย่วเต๋อจึงเงื้อมมือตบฉาด เสียงตูมดังหนึ่งทีร่างของอวิ๋นเต้าจื่อก็ลอยกระเด็นออกไปนอกตำหนักใหญ่ ส่วนร่างของเขาก็บินพรวดตามไป หลังจากมาหยุดอยู่กลางอากาศก็ตะเบ็งเสียงดังไปทั่วทั้งศาลาปราบมารด้วยดวงตาแดงฉาน
“นักพรตศาลาปราบมารทุกคนรีบมารวมตัวกันภายในเวลาสิบชั่วลมหายใจ!”
“เปิดใช้เรือรบปราบมารให้ข้า!!”
“เปิดค่ายกลนำส่งเกาะหย่งต้งเต็มกำลัง ขยายขอบเขตไปให้กว้างไกลมากที่สุด!! เดี๋ยวนี้!!!” เฝิงโหย่วเต๋อตะโกนดังอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาศาลาปราบมารสั่นสะเทือนกันไปทั่ว ทุกคนที่ได้ยินพากันหน้าถอดสี ไม่กล้าชักช้า พร้อมใจกันบินออกมา พริบตาเดียวนักพรตนับหมื่นของศาลาปราบมารก็มาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ คารวะเฝิงโหย่วเต๋ออย่างพร้อมเพรียง
เวลาเดียวกันนั้น เรือรบน่าครั่นคร้ามหลายลำที่ยาวหลายหมื่นจั้งก็ถูกเคลื่อนย้ายมาด้วย พวกมันลอยตัวอยู่กลางอากาศ เมื่อมองไป เรือรบนับสิบลำนั้นน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด เป็นสีดำสนิทตลอดทั้งลำ ทำให้คนมองขนพองสยองเกล้า
ยังไม่สิ้นสุด ค่ายกลนำส่งไปยังเกาะหย่งต้งบัดนี้ก็ได้โคจรอย่างเต็มกำลัง เมื่อเสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว ความเคลื่อนไหวของศาลาปราบมารจึงดึงดูดความสนใจจากศาลาอื่นๆ ได้ทันที ซึ่งแม้แต่ผู้นำแดนฟ้าที่มองมาจากบนเขาเจ็ดสีก็ยังมีท่าทีตกใจ
ทว่ายังไม่ทันรอให้พวกเขาได้สอบถาม เฝิงโหย่วเต๋อก็พานักพรตหนึ่งหมื่นกว่าคนของศาลาปราบมารขึ้นไปบนเรือรบ อาศัยพลังนำส่งที่ต่อให้ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลก็ไม่คิดเสียดาย…พาคนทั้งหมดส่งตัวจากไป
เสียงกัมปนาทดังสะเทือน แสงของค่ายกลกะพริบแวววาว เนื่องจากจำนวนคนที่ถูกนำส่งมีมากเกินไป ทำให้นักพรตของสายรุ้งอีกสามแดนต่างก็มองเห็นกันหมด ทุกคนตะลึงค้างไปตามๆ กัน
“สายรุ้งแดนฟ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“นั่น…นั่นมันศาลาปราบมารของสายรุ้งแดนฟ้าไม่ใช่รึ? นำส่งคนมากขนาดนี้ หรือว่าจะไปดับทำลายสำนักใดสำนักหนึ่ง?”
ขณะที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น เสียงฮือฮาแตกตื่นในแดนฟ้ายิ่งดังมากกว่าที่ใด หลี่หยวนเซิ่งเองก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย เขามองภาพเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยอาการตาค้างอ้าปากกว้าง แอบรู้สึกได้ถึงความกระวนกระวายใจแปลกๆ
ขณะที่คนทั้งศาลาปราบมารเคลื่อนพลนำส่งไปยังเกาะหย่งต้ง ในเกาะหย่งต้งเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กำลังเดินทางด้วยความระมัดระวัง เตรียมจะละทิ้งภารกิจครั้งนี้ ตอนนี้กำลังห้อตะบึงกลับไปยังทิศทางที่ตั้งของค่ายกลนำส่ง
ตามความเร็วของเขา หากทุ่มสุดกำลังที่มี คาดว่าเวลาประมาณสามวันก็น่าจะไปถึง ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ถอนหายใจอยู่ในใจ เขาไม่รู้ว่าหลังจากตัวเองละทิ้งภารกิจแล้วกลับไปยังสำนักจะมีการลงโทษอะไรรอตนอยู่
“ต่อให้จะลงโทษอย่างไรก็คงไม่ถึงขั้นเอาชีวิตน้อยๆ ของข้าไปจริงๆ หรอกมั้ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง ตอนนี้เขากำลังบินไปด้านหน้าด้วยหน้าตาบูดบึ้ง ทว่าอยู่ๆ ฝีเท้าของเขาก็พลันชะงัก มองไปยังทิศไกล แล้วก็เห็นทันทีว่าตรงนั้นมีรุ้งยาวสามเส้นกำลังห้อตะบึงเข้ามา
คนที่อยู่ในรุ้งเส้นยาวก็คือชายหนุ่มที่ผิวพรรณขาวสะอาดสะอ้านคนหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้หล่อเหลาอย่างมาก ในมือยังถือพัดหนึ่งเล่ม สวมชุดยาวสีแดงแปร๊ด มองดูแล้วไม่ธรรมดา เพียงแต่ว่าดวงตาทั้งคู่ค่อนข้างมืดมน ไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่นัก ราวกับว่าถูกสุรามอมเมาจนไม่มีสติ
ข้างกายเขามีผู้เฒ่าสองคน ทั้งสองคนนี้ต่างก็มีตบะรวมโอสถช่วงกลาง สีหน้าของพวกเขาเย็นชา ติดตามมาด้านหลังชายหนุ่ม
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปมองพวกเขา พวกเขาก็หันมาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน ต่างคนต่างอึ้งไปครู่ ที่นี่เป็นสถานที่รกร้าง ยากที่จะพบเจอนักพรตสักคน หลังจากที่มองหน้ากันไปมาดวงตาจึงเริ่มเคร่งขรึม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งระแวดระวังตัง โดยเฉพาะหลังจากที่เขาเห็นชายหนุ่มผู้นั้น ใจเขาก็ร่วงหล่นดังโครม
คนผู้นี้ก็คือจั่วเหิงเฟิงในภารกิจที่เขาได้รับมา ในแผ่นหยกภารกิจของเขามีภาพวาดที่เหมือนกับอีกฝ่ายอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ไม่คิดเลยว่าจะเจอเข้าจริงๆ …ภารกิจนี้มีปัญหาจริงดังคาด นักพรตสร้างฐานรากแต่ข้างกายกลับมีรวมโอสถสองคนคอยติดตาม บัดซบเอ๊ย ข้าเป็นถึงบุรพาจารย์น้อยของสำนักสยบธาร เวลาออกไปไหนมาไหนยังไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ หลังจากกะพริบตาปริบๆ แล้วจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอีกฝ่าย หมายจะจากไปอย่างรวดเร็ว
แต่ขณะที่เขากำลังจะจากไป จั่วเหิงเฟิงผู้นั้นกลับมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ดวงตาทั้งคู่ของเขาพลันสว่างวาบ กรีดพัดในมือออกโดยไม่รู้ตัว หลังจากพัดโบกอยู่สองสามครั้ง มุมปากก็เผยรอยยิ้มหื่นกระหาย
“ไม่ได้เจอนักพรตที่ท่าทางนุ่มนิ่มอย่างนี้มานานมากแล้ว ผิวพรรณขาวกระจ่างราวหิมะ หุ่นไม่อ้วนไม่ผอม ที่น่าชื่นชมยิ่งกว่านั้นก็คือใบหน้ามีความอ่อนเยาว์…หากเปลี่ยนมาใส่ชุดสตรีคงงามล้ำไม่เป็นรองใครแน่นอน” เสียงหัวเราะของจั่วเหิงเฟิงดังลอยมา มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาเร่าร้อน
สำหรับคำพูดของจั่วเหิงเฟิง แรกเริ่มป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่เข้าใจ แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกทะแม่งๆ เมื่อหันกลับไปแล้วมองเห็นว่าดวงตาทั้งคู่ของจั่วเหิงเฟิงฉายแววเร่าร้อนออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ชาหนึบไปทั้งหนังหัวทันที
“เจ้า…เจ้าพูดถึงข้าอยู่รึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนงุนงงเล็กน้อย แอบรู้สึกเหมือนว่าสายตาของอีกฝ่ายสามารถเปลื้องผ้าตนได้อย่างไรอย่างนั้น มองจนเขารู้สึกแปลกๆ
“ผู้อาวุโสทั้งสองท่าน จับตัวคนผู้นี้เอาไว้ นี่ก็คือของขวัญวันเกิดที่ข้าจะมอบให้แก่ท่านอาจารย์!” จั่วเหิงเฟิงเลียริมฝีปาก หลังจากหัวเราะฮ่าๆ ก็ใช้พัดในมือชี้มาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน
ผู้เฒ่ารวมโอสถช่วงกลางสองคนนั้นขมวดคิ้วน้อยๆ ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนพวกเขาพอจะมองออกอยู่บ้าง หากเปลี่ยนมาเป็นช่วงเวลาอื่น พวกเขาคงเลือกหลีกเลี่ยงกันไป แต่ตอนนี้ในเมื่อจั่วเหิงเฟิงพูดว่าต้องการคนผู้นี้ไปเป็นของขวัญ หลังจากพวกเขามองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างละเอียดแล้วก็จำต้องยอมรับว่าคนผู้นี้สอดคล้องกับรสนิยมของตี้ซาเหล่าไกว้จริงๆ
ดังนั้นเมื่อคนทั้งสองมองหน้ากันไปมา นัยน์ตาจึงฉายแววเย็นเยียบแล้วบินกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
“ที่รักตัวน้อย ไม่ต้องรีบร้อน พวกเรายังมีเวลาพูดคุยหัวร้อต่อกระซิกกันอีกมาก” จั่วเหิงเฟิงตื่นเต้น นัยน์ตายิ่งเปล่งประกายระยิบระยับ แถมใบหน้ายังเริ่มเป็นสีแดงซ่าน
เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาทันใด เขาสำลักลมหายใจ เบิกตาถลน คำรามกร้าวเดือดดาล
“ข้าเป็นผู้ชายนะโว้ย!!!”
“ข้ารู้ อีกเดี๋ยวพี่ชายจะสอนงานเจ้าเอง งามหยาดเยิ้มอย่างเจ้านี่ไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อยๆ ในถิ่นรกร้างแบบนี้หรอกนะ” จั่วเหิงเฟิงหัวเราะคิกคัก ระหว่างที่เขาพูด ผู้เฒ่ารวมโอสถสองคนนั้นก็เข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมเสียงอากาศระเบิด