บทที่ 42 ทดสอบเลื่อนขั้น
หออาจารย์โอสถอยู่ฝั่งทิศใต้ของเขาเซียงอวิ๋น รอบด้านแมกไม้เขียวชอุ่ม ทางเล็กปูด้วยหินสีเขียวเลื้อยลดคดเคี้ยว เชื่อมต่อกับเส้นทางหลักของเขาเซียงอวิ๋น สถานที่แห่งนี้ในเวลาปกติที่ไม่มีการทดสอบเลื่อนขั้นก็แทบจะไม่มีคนมาเยือน มีเพียงช่วงเวลาของการทดสอบเลื่อนขั้นเท่านั้นถึงจะมีคนมากมายมารวมตัวกัน
นอกจากลูกศิษย์ที่ต้องการทดสอบแล้ว ที่มากยิ่งกว่าก็คือสหายของคนเหล่านี้ หรือไม่ก็เป็นคนที่อยากเข้าร่วมแต่กลับไม่มีความมั่นใจมากพอ หวังว่าเมื่อได้มาสังเกตการณ์หลายรอบจะพอรู้อะไรได้มากขึ้น
หออาจารย์โอสถเมื่อมองไกลๆ ดูคล้ายคนหนึ่งคนกำลังนั่งขัดสมาธิ เหมือนของจริงมาก ด้านหน้าคนยังมีเตาหลอมยาขนาดมหึมาอยู่อีกหนึ่งเตา ด่านล่างเตาหลอมยานี้ว่างเปล่าราวกับถ้ำใหญ่ที่ถูกขุดออก สามารถให้คนเดินผ่านเข้าไปในลานหอได้
ในเวลานี้บนลานกว้างมีเตาหลอมยาวางไว้ยี่สิบเตา เตาเหล่านี้เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ไร้ซึ่งความแตกต่าง ด้านข้างของแต่ละเตามีถุงหนึ่งใบวางเอาไว้ ด้านในบรรจุพืชหญ้าที่จำเป็นสำหรับใช้หลอมยา
ตอนเช้าตรู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนกังวลว่าจะหลงทางอีก ดังนั้นจึงมาเช้ามาก แต่พอเขามาถึงที่นี่กลับพบว่ายังมีคนมาเช้ากว่าเขาอยู่หลายคน คนหลายสิบคนที่อยู่รอบด้านจับกลุ่มสองสามคนคุยกันเสียงเบา และยังมีอีกหลายคนที่นิสัยรักความสันโดษ นั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลำพัง
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากจะนั่งขัดสมาธิรอโง่ๆ ดังนั้นจึงกวาดสายตามองออกไปและเห็นสวีเป่าไฉ เมื่อเดินขึ้นหน้าไปสวีเป่าไฉเองก็สังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน จึงรีบประสานมือคารวะ พูดคุยสัพเพเหระกันขึ้นมา ซึ่งเรื่องที่คุยก็หนีไม่พ้นข่าวคราวของลูกศิษย์สำนักในช่วงนี้ที่สวีเป่าไฉไปรับรู้มา
“ศิษย์พี่ป๋าย ท่านได้ยินหรือยัง เมื่อครึ่งปีก่อนพวกเฉินเฟยสามคนออกไปข้างนอก ไม่รู้ว่าไปเจอศัตรูคู่อาฆาตที่ไหนเข้า โดนยำมาซะเละแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ตอนนี้ยังนอนแบ็บอยู่เลย แล้วก็ไม่รู้ว่าสามคนนี้คิดอะไรอยู่ถึงไม่ยอมบอกคนอื่นว่าไปโดนใครตีมา” สวีเป่าไฉพูดไปพลางประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนไปด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ กำลังคิดจะโม้สักสองสามคำ ทันใดนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มคนก็ดังเพิ่มขึ้น แถมเขายังรู้สึกเหมือนถูกคนจ้องมองด้วย จึงรีบหันหน้าไปมอง ก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังสาวเท้าเดินมาบนทางเส้นเล็ก
หญิงสาวผู้นี้สวมชุดคลุมยาวของศิษย์ฝ่ายนอก แต่กลับไม่สามารถปกปิดทรวดทรงองค์เอวเอาไว้ได้ เอวเล็กบางดั่งกิ่งหลิว รูปร่างที่อยู่ภายใต้เค้าโครงโค้งมนเผยให้เห็นถึงความงามเลิศล้ำ โดยเฉพาะช่วงขาอ่อนที่เพรียวยาว ทั้งยังแน่นตึงเปรี๊ยะ ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ คนที่เฝ้ามองก็ยิ่งอยากจะมองให้ทะลุทะลวงเข้าไป
ใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้ยิ่งสวยเตะตาเตะใจ ผิวพรรณขาวผุดผาด อ่อนนุ่มราวกับว่าแค่เป่าหรือดีดก็บุบสลายได้ เนื้อตัวกระจายแรงดึงดูดที่ทำให้ศิษย์ผู้ชายยอมพลีกายถวายชีวิตออกมาทั่วร่าง
ถึงขนาดที่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของคนจำนวนไม่น้อยรอบกาย โดยเฉพาะสวีเป่าไฉที่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกดูหมิ่นขึ้นมาโดยพลัน
“ศิษย์พี่หญิงตู้หลิงเฟยนี่เอง…หนึ่งในสาวงามทั้งห้าของชายฝั่งทิศใต้ของเรา นางคือเทพธิดาในใจของข้า…อ๊า นางมองมาที่ข้าแล้ว!!” สวีเป่าไฉเลียริมฝีปาก นัยน์ตาเผยความหลุ่มหลง เอ่ยปากเสียงเบา คึกคักขึ้นมาทันควัน
“นางมองข้าต่างหาก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างเหยียดหยาม
เห็นเพียงว่าพอตู้หลิงเฟยเดินมาถึง พลันความดุร้ายก็เพิ่มขึ้นมาในดวงตาหงส์คู่นั้น นางจ้องถมึงทึงมายังป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที สำหรับความรู้ลึกซึ้งด้านพืชหญ้าของป๋ายเสี่ยวฉุน แม้ว่านางจะยอมนับถือ แต่สำหรับคนๆ นี้กลับมักจะมีความรู้สึกเกลียดชังอย่างอธิบายไม่ถูก นางทำเสียงหึเบาๆ หนึ่งทีก็เดินไปอีกด้าน
สวีเป่าไฉอยู่ในสภาพจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สายตาไม่คลาดไปจากเรือนร่างของตู้หลิงเฟย ไม่สนใจการดูหมิ่นของป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตายิ่งหลงใหลคลั่งไคล้เพิ่มมากขึ้น
‘ตู้หลิงเฟยนี่ก็มาทดสอบด้วย…’ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังเตาหลอมยี่สิบเตาที่อยู่บนลานกว้างไกลๆ สงบจิตสงบใจ
‘ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้มาแข่งกับนางสักหน่อย ครั้งนี้คือการทดสอบของสำนัก ไม่ได้เลือกอันดับหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ตามที่ผ่านเกณฑ์ล้วนสามารถเลื่อนขั้นได้สำเร็จ’
ไม่นานนักเฉินจื่ออ๋างก็ปรากฏตัว พอเขามาถึงแล้วมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลังเลเล็กน้อย อมยิ้มให้ป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วทักทายสองสามคำ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยิ้มตอบประสานมือคารวะ จากนั้นเฉินจื่ออ๋างก็ไปนั่งขัดสมาธิรออยู่ด้านข้าง
ยังมีจ้าวอี้ตัวที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยเห็นในจุดส่งมอบภารกิจด้วย ไม่นานสถานที่นี้ก็ค่อยๆ มีคนเพิ่มมากขึ้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูใหญ่ของหออาจารย์โอสถก็มีเสียงดังแอดแล้วเปิดออก ผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน ผู้เฒ่าคนนี้ศีรษะเต็มไปด้วยผมขาวโพลน สายตาลุ่มลึก ทันทีที่เดินออกมา คนทั่วบริเวณก็พากันเงียบเสียงลงโดยพลัน
สีหน้าเขาเป็นปกติ มือไพล่หลัง เดินเข้ามาทีละก้าวๆ แล้วยืนอยู่บนลานกว้าง ทอดสายตามองไปยังศิษย์ฝ่ายนอกทุกคน ผ่านไปพักหนึ่งถึงได้พยักหน้า ค่อยๆ เอ่ยปาก
“ข้าผู้แซ่สวี เป็นผู้จัดการทดสอบเลื่อนขั้นจากเด็กโอสถเป็นศิษย์โอสถในครั้งนี้”
“การทดสอบครั้งนี้ แบ่งออกเป็นคุณสมบัติด้านพืชหญ้าและการหลอมยา ผู้ที่เดินผ่านประตูนี้ได้ ผ่านคุณสมบัติด้านพืชหญ้า” ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าสวีคนนี้ไม่อยากจะพูดมากเท่าไหร่นัก พอพูดเรียบๆ จบสองประโยคก็หลับตาไม่สนใจผู้ใดอีก
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ไม่ได้ลงสนามเป็นคนแรก ไม่นาน ในกลุ่มคนก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา ชายหนุ่มผู้นี้หน้ายาว รูปลักษณ์ธรรมดา กำมือประสานให้ผู้เฒ่าสวีไกลๆ แล้วจึงเดินตรงดิ่งไปยังปากถ้ำที่มีรูปร่างเหมือนเตาหลอมยา
ชั่วขณะที่เขาเข้าไปใกล้ปากถ้ำแห่งนั้น ก็มีแสงเส้นหนึ่งปรากฏพรวดออกมาปกคลุมไปทั่วตัวเขา ไม่นานแสงนั้นก็หายไป เตาหลอมยานั่นสั่นสะเทือน ส่งเสียงหวึ่งๆ ดังก้องอยู่ห้าครั้ง
“ห้าครั้ง นี่หมายความว่าระดับความรู้ลึกซึ้งด้านพืชหญ้าอยู่ในเล่มที่ห้า…” ไม่เสียแรงที่บอกว่าสวีเป่าไฉรู้ไปหมดทุกเรื่อง ในเวลานี้เขาพูดกับป๋ายเสี่ยวฉุนเสียงเบา
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะมาที่นี่เขาไม่รู้มาก่อนว่าจะดันมีการทดสอบแบบนี้ พอทำเป็นสอบถามเรื่องเตาหลอมยาที่ทำมาจากหินนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นแล้ว ก็แอบรู้สึกว่าวัตถุชิ้นนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับป้ายศิลาของหอหมื่นโอสถ
‘ทีนี้จะทำไงดีล่ะเนี่ย…ผู้ที่ชื่นชอบโจวซินฉีเหล่านั้นกำลังตามหาข้าให้ควั่กไปทั่วภูเขาซะด้วย…’ ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย
ไม่นานก็มีคนทยอยกันเดินออกมา ส่วนใหญ่ล้วนดังห้าครั้ง ขณะที่คนๆ หนึ่งเดินเข้าไปในประตู เสียงที่ดังออกมามีสี่ครั้ง ผู้เฒ่าสวีสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที ม้วนตัวลูกศิษย์คนนั้นให้ถอยห่างออกไป
“ผู้เฒ่าสวี แต่ไรมามีความรู้พืชหญ้าเล่มที่สี่ก็สามารถเข้าร่วมทดสอบได้ไม่ใช่เหรอ” ลูกศิษย์ที่ถูกม้วนสีหน้าเปลี่ยน รีบเอ่ยปาก
“กฎเปลี่ยนแล้ว ต้องห้าเล่มถึงจะได้”
“นี่…” ชายหนุ่มอึ้งไปสักพัก กำมือประสานอย่างขมขื่น ไม่กล้าพูดอะไรมาก ทำได้เพียงแค่จากไป
ทุกคนที่อยู่รอบด้านมองเห็นอย่างนั้นก็มีคนไม่น้อยวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาเสียงเบา สวีเป่าไฉเองก็เผยความประหลาดใจ รีบหยิบสมุดเล่มเล็กหนึ่งเล่มออกมาแล้วจดบันทึกลงไป ป๋ายเสี่ยวฉุนมองปราดหนึ่ง พบว่าบนนั้นมีตัวอักษรขนาดจิ๋วเขียนเบียดกันแน่นขนัดไปหมด ล้วนเป็นการบันทึกเรื่องเล็กใหญ่ในสำนัก ความจริงจังเช่นนี้ของสวีเป่าไฉทำให้เขารู้สึกนับถือขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
และในเวลานี้เอง จ้าวอี้ตัวก็ลุกขึ้น หลังจากเดินเข้าประตูไป เสียงดังสนั่นสะเทือนติดต่อกันถึงหกครั้ง ผู้เฒ่าสวีเองก็ลืมตาขึ้นมา หลังจากพยักหน้าน้อยๆ แล้ว จ้าวอี้ตัวจึงกำหมัดประสานเหยียบย่างออกมาจากประตู
ดวงตาทั้งคู่ของเฉินจื่ออ๋างเป็นประกาย แต่ไหนแต่ไรมาเขากับจ้าวอี้ตัวเขม่นกันมาตลอด เวลานี้จึงทำเสียงหึเย็นชาหนึ่งที เมื่อเหยียบเข้าไปในประตูก็มีเสียงดังสนั่นออกมาหกครั้งเช่นเดียวกัน
หลังจากปะทะสายตากับจ้าวอี้ตัวหนึ่งครั้งแล้ว เฉินจื่ออ๋างจึงนั่งสมาธิอยู่ข้างเตาหลอมยาเตาหนึ่ง
มองเห็นว่าทั้งสองคนล้วนมีเสียงดังหกครั้ง ผู้คนรอบด้านต่างพากันอิจฉาขึ้นมา และในเวลาเดียวกันนี้ สายตาของตู้หลิงเฟยเองก็เป็นประกายวาบเช่นกัน ลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ประตู เมื่อนางเดินเข้าไป เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังหกครั้ง ผู้ที่เฝ้ามองอยู่รอบด้าน แต่ละคนก็ยิ่งรู้สึกอิจฉามากขึ้น
“เฉินจื่ออ๋าง จ้าวอี้ตัว แล้วก็ตู้หลิงเฟย พวกเขาสามคนอยู่ในฝ่ายนอกล้วนเป็นบุคคลที่โดดเด่นของรุ่น พืชหญ้าทั้งห้าเล่มล้วนกุมความรู้ไว้ได้ทั้งหมด และยังกุมความรู้เรื่องสัตว์วิเศษเล่มที่หนึ่งไว้ได้ด้วย การทดสอบคราวนี้ สามารถรับรองได้เจ็ดถึงแปดส่วนเลยว่าจะต้องเลื่อนขั้นได้เป็นศิษย์โอสถ”
“การเลื่อนขั้นศิษย์โอสถของที่ผ่านๆ มา ผู้ที่มีความรู้ลึกซึ้งด้านพืชหญ้าได้ถึงป้ายศิลาที่หก ขอแค่ตอนหลอมยาแสดงออกได้ไม่แย่นัก ส่วนใหญ่ก็ล้วนเลื่อนขั้นได้สำเร็จ”
ในขณะที่คนรอบด้านกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอด ไม่สนใจพวกที่ชื่นชอบโจวซินฉีเหล่านั้นอีกแล้ว ขณะกำลังจะเดินขึ้นหน้าไป พลันบนทางภูเขาที่ห่างออกไปก็มีเงาร่างหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เงานี้คือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ชายผู้นี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่นัยน์ตากลับเปล่งประกายแวววาวมีชีวิตชีวา คนยังไม่ทันมาถึง เสียงก็ดังลอยไปทั่วทิศ
“ข้าหานเจี้ยนเย่ปิดด่านไปเจ็ดปี ในที่สุดก็ศึกษาความรู้พืชหญ้าได้สำเร็จ ออกด่านคราวนี้ ไม่เพียงแต่ต้องได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์โอสถ แต่จะต้องได้เป็นศิษย์โอสถอันดับหนึ่งของการเลื่อนขั้นครั้งนี้ด้วย!” น้ำเสียงเขาแฝงไว้ด้วยความอวดดี ขณะที่เสียงดังก้องเงาร่างก็เปล่งแสงวาบ ถลาพรวดทะยานดิ่งไปยังประตูเตาหลอมยา
ผู้เฒ่าสวีไม่ได้ให้ความสนใจ ยังคงหลับตาอยู่เหมือนเดิม แต่ทุกคนที่อยู่รอบด้านพอได้ยินชื่อหานเจี้ยนเย่นี้แล้ว แต่ละคนกลับเผยความประหลาดใจออกมา
“หานเจี้ยนเย่ ใครน่ะ ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”
“ดูจากอายุของเขา น่าจะเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของเมื่อเจ็ดแปดปีที่แล้ว…อยากจะเป็นลูกศิษย์โอสถอันดับหนึ่งในครั้งนี้ ช่างยากยิ่งนัก”
ขณะที่คนรอบด้านถกเถียงกันอยู่นั้น หานเจี้ยนเย่เข้าไปใกล้ประตูด้วยสีหน้าลำพองใจ แฝงไปด้วยความมั่นใจอย่างถึงที่สุด เหยียบย่างเข้าไปด้านใน และทันทีที่เขาก้าวเข้าประตูไปนั้น พลันเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นก็ดังออกมา
หนึ่งครั้ง สองครั้ง…ห้าครั้ง หกครั้ง เจ็ดครั้ง…ยังไม่ทันที่ทุกคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง เสียงดังสนั่นครั้งที่แปดก็ดังสะท้อนกลับไปมาอยู่ในเตาหลอมยานี้
ดวงตาทั้งคู่ของผู้เฒ่าสวีเปิดพรึ่บขึ้นทันใด ขณะที่มองไปยังชายวัยกลางคน บนใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มบางๆ ในดวงตามีความชื่นชม
“พืชหญ้าห้าเล่ม สัตว์วิเศษสามเล่ม ไม่เลว!”
หานเจี้ยนเย่ฮึกเหิม กำมือประสานให้กับผู้เฒ่าสวี ขณะที่หมุนตัวกลับไปมองพวกตู้หลิงเฟย ความโอหังในดวงตาก็ยิ่งชัดเจน สะบัดปลายเสื้อแขนหนึ่งที เลือกเตาหลอมยาที่อยู่ตรงกลางสุด นั่งขัดสมาธิลงไปอย่างมาดมั่น
มาถึงเวลานี้ ทุกคนที่อยู่รอบด้านถึงได้พากันสูดลมหายใจเข้าลึก เปล่งเสียงแห่งความตกตะลึง
“เสียงดังสนั่นแปดครั้ง นี่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อศึกษาพืชหญ้าได้สำเร็จ และบรรลุถึงสัตว์วิเศษเล่มที่สามแล้วเท่านั้น!”
“คนๆ นี้เมื่อครู่กล่าวว่าจะต้องกลายเป็นศิษย์โอสถอันดับหนึ่งในครั้งนี้ ดูท่าแล้วใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในกลุ่มคน มองเห็นภาพนี้เดิมทีก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอพบว่าคนรอบด้านล้วนพากันตกตะลึง กลับรู้สึกไม่อยากเชื่อ
“ก็แค่สัตว์วิเศษเล่มสามไม่ใช่เหรอ คนพวกนี้จะแตกตื่นอะไรกันเกินเหตุขนาดนี้?” เขาถามสวีเป่าไฉอย่างแปลกใจ จำได้ว่าป้ายศิลาของสัตว์วิเศษเล่มที่สามมีคนผ่านด่านได้นับพันคน ต่อให้เป็นป้ายศิลาแผ่นที่สิบก็มีคนหลายร้อยที่ผ่านกันมาแล้ว
สวีเป่าไฉกลอกตา ในใจเต็มไปด้วยความดูหมิ่น แต่พอมองหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่กล้าเปิดเผยออกมา หลังจากกระแอมไอหนึ่งทีถึงได้เอ่ยปาก
“ศิษย์พี่ป๋าย เรื่องนี้ท่านไม่เข้าใจ กุมความรู้พืชหญ้าห้าเล่มได้สำเร็จก็ยากอยู่แล้ว ส่วนเล่มสัตว์วิเศษก็ยิ่งเป็นการเพิ่มความยากบนความยาก สามารถบรรลุได้ถึงหกเล่มเดิมทีก็ทำให้คนอิจฉาอยู่แล้ว ผู้ที่ได้ถึงแปดเล่มย่อมทำให้ทุกคนตื่นตะลึงแน่นอน ท่านนึกว่าใครก็เป็นเหมือนโจวซินฉี เจ้าเต่าน้อย สองคนที่เป็นสุดยอดความภาคภูมิใจนั่นน่ะเหรอ ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาหรอก คนที่ผ่านพืชหญ้าห้าเล่ม สัตว์วิเศษห้าเล่มมาได้ ในบรรดาลูกศิษย์ฝ่ายนอกนับพันของเขาเซียงอวิ๋น ทุกวันนี้ยังมีไม่ถึงห้าสิบคนเลย!”
“ห้าสิบคนนี้นะ มีใครบ้างที่ไม่ใช่มังกรไม่ใช่หงส์ในกลุ่มคน คนในป้ายศิลาของหอหมื่นโอสถที่ท่านเห็นน่ะเยอะก็จริง แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นรายชื่อตลอดหนึ่งพันปีมานี้ต่างหาก แถมในนั้นยังมีคนไม่น้อยที่ปัจจุบันเป็นศิษย์ฝ่ายในซึ่งทิ้งรายชื่อของพวกเขาเอาไว้ในปีนั้น!”
“อีกอย่างการทดสอบเลื่อนขั้นประเภทนี้ บรรลุถึงระดับห้าก็สามารถเข้าร่วมได้ คนผู้นี้บรรลุระดับแปดถึงจะมา เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นไปตามที่เขาว่าไว้ นั่นคือจะเป็นที่หนึ่งของศิษย์โอสถ คว้าเอาคะแนนคุณความดีห้าพันคะแนน” ในคำพูดของสวีเป่าไฉมีน้ำเสียงดูถูกอยู่ไม่มากก็น้อย แต่สิ่งเหล่านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สนใจ เขามองสวีเป่าไฉอย่างถูกอกถูกใจ จี้ถามหนึ่งประโยค
“เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าโจวซินฉีกับเจ้าเต่าน้อยคือสุดยอดแห่งความภาคภูมิใจ ร้ายกาจขนาดนี้เชียวรึ?”
“แน่นอนสิ โดยเฉพาะเจ้าเต่าน้อยนั่นยิ่งน่าตะลึงนัก เป็นผู้ที่คว้าอันดับหนึ่งของสิบป้ายมาได้เป็นครั้งแรกในช่วงพันปีมานี้ ศิษย์พี่ป๋ายข้าแนะนำว่าท่านอย่าทะเยอทะยานจนเกินตัวจะดีกว่า” ในใจสวีเป่าไฉก็ยิ่งเหยียดหยาม เพิ่งพูดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะฮ่าๆ ยิ่งมองสวีเป่าไฉยิ่งถูกใจ ตบไหล่เขาหนึ่งทีก็เดินออกไป
สวีเป่าไฉอึ้งงัน มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเดินไปทางประตู แม้ว่าในใจจะรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่มากนัก เพราะยังไงซะป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีชื่อเสียงในด้านความรู้พืชหญ้าอยู่บ้าง เคยชนะตู้หลิงเฟยมาก่อน มาเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ย่อมเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
แต่ภาพที่เห็นต่อมา ทำให้ลูกตาของสวีเป่าไฉแทบจะถลนออกมาจากเบ้า มองเห็นเพียงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก้าวยาวๆ เข้าไปในประตู พอแสงสว่างวาบขึ้นหนึ่งครั้ง เสียงดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินก็ดังออกมาเป็นระลอก
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…หกครั้ง เจ็ดครั้ง แปดครั้ง!
ทุกคนที่อยู่รอบด้านเงียบกริบ แต่เสียงดังสนั่นยังไม่หยุดลง ดังลอยออกมาเป็นครั้งที่เก้า จนถึง…ครั้งที่สิบ!
ตึง!
ชั่วพริบตาที่เสียงสะเทือนเลือนลั่นนั้นดังเป็นครั้งที่สิบ ดวงตาทั้งคู่ของผู้เฒ่าสวีเบิกพรวดขึ้น นัยน์ตามีประกายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน มองตรงไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้เป็นตัวเขาเองก็ยังอึ้งตะลึงงัน
ต้องเข้าใจว่าลูกศิษย์ฝ่ายนอกนับพันของเขาเซียงอวิ๋นทุกวันนี้ ผู้ที่บรรลุพืชหญ้าและสัตว์วิเศษได้รวมทั้งหมดสิบเล่ม เดิมทีก็มีไม่มาก คนเหล่านี้เข้าร่วมการทดสอบกันไปตั้งนานแล้ว สำหรับคนที่มีความอดทน รอให้บรรลุทั้งพืชหญ้าและสัตว์วิเศษได้สำเร็จทั้งหมดแล้วถึงค่อยมาทดสอบ เขาก็เพิ่งเคยเห็นวันนี้เป็นครั้งแรก
แม้แต่โจวซินฉีเองก็เข้าร่วมการทดสอบเลื่อนขั้นตอนที่ถึงแค่ป้ายศิลาที่เก้า
ตู้หลิงเฟยเบิกตากว้าง มองเหม่อไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในประตู แม้นางจะรู้ว่าความรู้ด้านพืชหญ้าของป๋ายเสี่ยวฉุนสูงกว่าตนเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็นึกภาพไม่ออกว่าเขาไม่ใช่เพียงแค่สูงกว่าเล็กน้อย แต่บรรลุถึงระดับน่าตกตะลึงอย่างขั้นสูงสุดของทั้งพืชหญ้าและสัตว์วิเศษ
ในสมองของนางพลันมีเสียงดังหวึ่งๆ ขึ้นมา อึ้งงันค้างไปทั้งตัว ในสมองปรากฏภาพตอนนั้นที่ประลองกับป๋ายเสี่ยวฉุนลอยขึ้นมา ตนเองเสนอให้แข่งความรู้ด้านพืชหญ้า อีกฝ่ายถามตนเองอย่างระมัดระวังว่าอยู่อันดับที่เท่าไหร่ ท่าทางกระอักกระอ่วนใจเช่นนั้น แถมตอนสุดท้ายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตกลงยังทำหน้าม่อยคอตกนั่นอีก
“ป๋าย เสี่ยว ฉุน!!” ตู้หลิงเฟยกัดฟันกรอด เวลานี้นางเพิ่งจะเข้าใจ ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนตอนนั้นจะต้องยิ้มจนแทบจะมีดอกไม้ผลิบานออกมาอย่างแน่นอน
เฉินจื่ออ๋างและจ้าวอี้ตัวก็สูดลมหายใจเฮือกเช่นกัน ขณะที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเผยความสะท้านสะเทือน อึ้งค้างอยู่ตรงนั้น
ส่วนหานเจี้ยนเย่ที่ปิดด่านมาหลายปี ในเวลานี้ร่างกายสั่นสะท้าน จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง ในสมองมีเสียงดังอื้ออึง ราวกับคลื่นลูกใหญ่โหมซัดสาด เขามองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นศัตรูตัวฉกาจในชีวิตตนเองไปเสียแล้ว
“ข้อสำคัญของการเลื่อนขั้นเป็นศิษย์โอสถคือการหลอมยา แม้ว่าคนๆ นี้จะแข็งแกร่ง แต่ข้าไม่เชื่อว่าในด้านการหลอมยา เขาจะมาเทียบชั้นข้าได้ เพื่อได้เป็นที่หนึ่งของการทดสอบครั้งนี้ ข้าต้องปิดด่านมาเจ็ดปีเชียวนะ!!”
ในเวลาเดียวกันนั้น ลูกศิษย์ฝ่ายนอกรอบด้านที่กำลังมองมา แต่ละคนสูดหายใจแรงๆ เปล่งเสียงตื่นตะลึงที่ดุเดือดยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้ออกมา ถึงขั้นที่ว่ามีคนไม่น้อยร้องเสียงหลงเลยด้วยซ้ำ
“ได้ถึง…สิบครั้ง นี่แสดงว่าเขาผ่านสัตว์วิเศษทั้งห้าเล่มของหอหมื่นโอสถแล้ว ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของทั้งเขาเซียงอวิ๋นที่สามารถทำได้ถึงจุดนี้ มีไม่ถึงห้าสิบคนเลยนะ!”
“เจ้าหมอนี่อดทนเก่งจริงๆ ผ่านป้ายศิลาทั้งสิบของหอหมื่นโอสถมาแล้ว แต่เพิ่งจะมาทดสอบเลื่อนขั้น!”
————-