บทที่ 430 ข้าก็ทำได้
เมื่อกงซุนหว่านเอ๋อร์ข้ามผ่านสายรุ้งสีน้ำเงินเข้าสู่สายรุ้งสีคราม ในหุบเขาหมื่นภูเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเยือกไปทั้งร่าง ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ ลืมขึ้น นัยน์ตาเผยแววเลื่อนลอย
ท่ามกลางความเลื่อนลอยนั้นพอจะเห็นได้ว่าในลูกตาดำของเขามีเงาร่างของมนุษย์หินแวบผ่านไปมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนเหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่นัยน์ตาถึงได้ค่อยๆ ฉายให้เห็นถึงสติที่เริ่มกลับคืนมา จนกระทั่งผ่านไปครึ่งก้านธูป เขาถึงได้สูดลมหายในเข้าลึก สติฟื้นคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์แบบ เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองนอนหลับไปยาวนานมากๆ จนแม้แต่สมองก็ยังเคลื่อนไหวได้ไม่คล่องตัว
“สำเร็จหรือเปล่าเนี่ย” ป๋ายเสี่ยวฉุนนวดคลึงหว่างคิ้ว ลุกขึ้นยืนบนภูเขาหิน หลังจากยืดเส้นยืดสายเรียบร้อยก็รับสัมผัสตบะของตัวเองอีกเล็กน้อย ย้อนนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำความเข้าใจก่อนหน้านั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตนถือว่าทำสำเร็จหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะย้อนนึกเช่นไรในสมองของเขาก็มีแต่ความว่างเปล่า
“เอ่อ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อยแล้วจึงยกมือขวาขึ้นทำมุทราตามวิธีการโคจรของคาถาคนขุนเขา วินาทีที่เขาทำมุทรานั้น ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันสั่นเยือก เขาเบิกตากว้าง สัมผัสได้ว่าบัดนี้ในร่างกายของตัวเองมีพลังรุนแรงระลอกหนึ่งที่ระเบิดออกมา
เวลาเดียวกันนั้นในลูกตาดำทั้งสองข้างของเขา ร่างของมนุษย์หินก็กำลังก่อตัวกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเสร็จสมบูรณ์ พลังระเบิดในร่างของเขาก็ไต่มาถึงจุดสูงสุด ราวกับว่าร่างกายของเขากลายมาเป็นพันธนาการทำให้พลังระเบิดนี้ไม่สามารถแผ่ออกไปได้คล้ายลูกกลมที่ถูกสูบลมจนพอง ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงอ้าปากออกทันที
ชั่วขณะที่เขาอ้าปาก เสียงฮึ่มๆ ที่ไม่เหมือนเสียงของเขากลับคำรามดังออกมาจากปากเขา หลังเสียงคำรามนั้นก็ตามมาด้วยนอกร่างของเขาที่มีเงาขนาดใหญ่ยักษ์เงาหนึ่งปรากฏขึ้น เงานี้…สูงพอสิบจั้ง หากมองไกลๆ จะเห็นได้ว่านั่นคือมนุษย์หินร่างมหึมาตนหนึ่ง…ที่เรือนกายกึ่งโปร่งใส!
เมื่อเสียงคำรามดังขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระโดดผลุง นัยน์ตาของเขาเผยเจตจำนงที่พลุ่งพล่านเกรี้ยวกราด พลังระเบิดในร่างทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัว มือขวาจึงกำเป็นหมัดแล้วต่อยโครมลงไปกลางอากาศที่กั้นขวางระหว่างยอดเขาอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างกัน
ฟ้าดินสั่นสะเทือน แรงมหาศาลระลอกหนึ่งระเบิดออก เพียงแค่หมัดเดียวที่ต่อยผ่านอากาศกลับทำให้ภูเขาลูกนั้นโยกคลอนแล้วแตกทลายออกเป็นเสี่ยงๆ กระจัดกระจายไปรอบด้าน พลังโจมตีรุนแรงซัดครั่นครืนออกไปสี่ทิศ ทำให้ทะเลเมฆหมอกถูกม้วนตลบ หากมองมาไกลๆ จะเห็นว่ามีน้ำวนขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นโดยมีป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นจุดศูนย์กลาง
ความแข็งแกร่งของอานุภาพนี้ เรียกได้ว่าไม่ด้อยไปกว่า…ก่อกำเนิดขั้นต้นทั่วไป!!
นี่คือการระเบิดของพละกำลัง คือวิธีการโคจรพลังกล้ามเนื้อประเภทหนึ่ง หรืออาจจะพูดได้ว่าคือวิชาลับอย่างหนึ่งของพลังกล้ามเนื้อ!
เหมือนกับตรวนสลายลำคอ ชนาเขย่าภูเขา ผนึกมิวางวายของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ต่างก็เป็นเวทลับ!
หลังจากปล่อยหนึ่งหมัดออกไป ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นเทิ้ม เงาของมนุษย์หินเรือนกายใหญ่โตที่อยู่นอกร่างเขาพลันพร่าเลือน พริบตาเดียวก็หายวับไป ร่างป๋ายเสี่ยวฉุนโงนเงนเล็กน้อย ทว่านัยน์ตากลับเผยความตื่นเต้นอย่างคาดไม่ถึง
“ไม่เหมือนกับวิชาอมตะมิวางวาย แม้ว่าจะไม่สามารถร่ายใช้ได้นานหลายครั้งอย่างตรวนสลายลำคอและชนาเขย่าภูเขา ทว่าการระเบิดของพลังคาถาคนขุนเขานี้กลับเป็นวิชาที่ทรงพลังมากที่สุดวิชาหนึ่ง ระดับความเหี้ยมหาญของมันเหนือล้ำเกินกว่าตรวนสลายลำคอเสียอีก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง หมัดเมื่อครู่นี้ให้ความรู้สึกเหมือนนำพลังทั้งหมดในร่างกายมาเรียงซ้อนเข้าด้วยกัน เมื่อต่อยออกไป ร่างจึงโล่งไปไม่น้อย
แม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่ากลับแลกมาด้วยหนึ่งหมัดที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทำให้ทะเลเมฆหมอกซัดตลบอบอวล!
“ฮ่าๆ ในที่สุดข้าก็ฝึกสำเร็จแล้ว นับจากนี้ไปคาถาคนขุนเขานี้ก็คือท่าไม้ตายของข้าแล้ว หึหึ ต่ำกว่ารวมโอสถลงไป ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไร้พ่าย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองร้ายกาจอย่างมากจึงบินออกไปตรงทางออกของหุบเขาหมื่นภูเขาด้วยความลำพองใจ
ไม่นานก็มาถึงทางออกของหุบเขาหมื่นภูเขา ตอนที่เขาปรากฏตัวอยู่นอกหุบเขาก็หันขวับไปมองสือซานนักพรตที่นักอยู่บนหินก้อนใหญ่ทันที ใจอยากจะร่วมแบ่งปันกับอีกฝ่ายเสียหน่อย แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะมองตบะของอีกฝ่ายไม่ออก แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ว่าบนร่างของสือซานมีปราณของมนุษย์หิน และดูเหมือนว่าเขาเองก็น่าจะฝึกคาถาคนขุนเขาเช่นกัน
ทว่าขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหันมามองสือซานกลับเห็นว่าสือซานกำลังเงยหน้ามองไปยังทิศทางของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา…ตาไม่กะพริบ
“ศิษย์พี่สือ ข้าฝึกสำเร็จแล้วนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
“อืม” สือซานสีหน้าเคร่งขรึม ยังคงมองไปยังทิศทางของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา ตอบรับป๋ายเสี่ยวฉุนแบบส่งๆ
“ศิษย์พี่สือ ข้าฝึกคาถาคนขุนเขาสำเร็จแล้วนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจจึงพูดขึ้นมาอีกรอบ
“อ้อ ยินดีด้วย” สือซานยังคงไม่ได้ถอนสายตากลับมา สีหน้าของเขายิ่งเคร่งเครียดมากกว่าเดิม ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ความรู้สึกที่ว่าทั้งๆ ที่ตนฝึกท่าไม้ตายได้สำเร็จแต่กลับไม่มีใครมาร่วมแสดงความยินดีด้วย ทำให้เขาอดที่จะหันไปมองทางกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราบ้างไม่ได้ อยากจะรู้ว่าที่นั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงทำให้สือซานที่เป็นคนเงียบขรึมตลอดเวลามีสีหน้าเคร่งเครียดแบบนี้ได้
และวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไป เขาก็เห็นทันทีว่าบนสายรุ้งสีครามนั้นเวลานี้มีดาวดวงหนึ่งที่เปล่งประกายแสงพร่างพราวจนน่าตกใจ แสงนั้นเจิดจ้าบาดตา โดยเฉพาะเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมองนิ่งที่ดาวดวงนั้นในสมองของเขาก็มีชื่อกงซุนหว่านเอ๋อร์ลอยขึ้นมาทันที
“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน รีบหยิบแผ่นป้ายหนึ่งออกมาแล้วจ่ายคะแนนคุณความดีเพื่อมองภาพเหตุการณ์อย่างละเอียด เมื่อมองไปเขาก็ต้องเบิกตากว้างทันใด เพราะมองเห็นว่าบนสายรุ้งสีคราม กงซุนหว่านเอ๋อร์กำลังประมือกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง!
ชายหนุ่มผู้นั้นสวมชุดยาวสีน้ำเงิน ตบะรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ สีหน้าของเขาไร้อารมณ์ นอกร่างล้อมวนไปด้วยสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน ขณะที่กำลังประมือกับกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ร่ายเวทอภินิหารเหนือคนระดับเดียวกันออกมา!
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้แค่กงซุนหว่านเอ๋อร์ชี้นิ้วทีเดียว ชายหนุ่มผู้นั้นก็ร่างสั่นสะท้าน เสียงตูมดังทีเดียวร่างของเขากลับแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่
และก็ยิ่งทำให้นักพรตทุกคนของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่กำลังจับตามองการต่อสู้ครั้งนี้สะท้านสะเทือนกันไปหมด ต้องรู้ว่ารูปปั้นที่อยู่บนสายรุ้งสีครามนั้นคือรูปปั้นของผู้ที่ผ่านด่านนี้ไปก่อนหน้านี้ทิ้งเอาไว้
หรือจะพูดให้ชัดกว่านั้น คนผู้นี้ก็คือสุดยอดศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่อยู่ในอันดับแปดบนสายรุ้งสีม่วงของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา!
หากคิดจะฝ่าสายรุ้งสีคราม จำเป็นต้องรบชนะรูปปั้นของคนก่อนหน้านี้ เพราะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะทำให้เหยียบเข้าสู่สายรุ้งสีม่วงได้ บัดนี้เมื่อกงซุนหว่านเอ๋อร์รบชนะรูปปั้นนั้น รูปปั้นของกงซุนหว่านเอ๋อร์จึงก่อตัวขึ้นมา และตั้งตระหง่านอยู่บนสายรุ้งสีครามทันที
นี่หมายความว่าหากคนต่อจากนั้นต้องการฝ่าด่านสายรุ้งสีครามก็จำเป็นต้องเอาชนะรูปปั้นของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก่อนถึงจะได้ เวลาเดียวกันนั้น ร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็หายตัวไป มาปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่บนสายรุ้งสีม่วงแล้ว!
แทบจะวินาทีเดียวกับที่นางเหยียบเข้ามาอยู่ในสายรุ้งสีม่วง ดวงดาวที่เป็นของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ลอยจากสายรุ้งสีครามขึ้นมาปรากฏอยู่บนสายรุ้งสีม่วง กลายมาเป็น…ดวงดาวดวงที่เก้า!
ภาพเหตุการณ์นี้ดึงดูดให้เกิดเสียงฮือฮาและเสียงอุทานด้วยความตกตะลึงจากคนจำนวนนับไม่ถ้วน ต้องรู้ว่ากระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารารุ่นนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาบนสายรุ้งสีม่วงมีเพียงแค่ดาวแปดดวงเท่านั้น ทว่าตอนนี้กลับมีดวงที่เก้าโผล่ขึ้นมา!
และหากเหยียบลงบนสายรุ้งสีม่วง ตามกฏของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราคือสามารถเสนอของรางวัลที่ไม่เกินกว่าเหตุอย่างหนึ่งกับสำนักได้!
เวลาเดียวกันนั้น ดวงตาของนักพรตทุกคนที่จ่ายคะแนนคุณความดีเพื่อสังเกตการณ์ต่อสู้ในครั้งนี้ก็พลันพร่าลาย ไม่สามารถมองเห็นอย่างชัดเจนได้อีก นี่คือกฎที่กำหนดเอาไว้ กระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราสามารถดูการประลองหกชั้นแรกของสายรุ้งได้ มีเพียงสายรุ้งสีม่วงนี้เท่านั้นที่นอกจากผู้มีคุณสมบัติได้เหยียบเข้าไปแล้ว คนนอกจะมิอาจมองเห็นได้แม้แต่นิดเดียว
มีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าการประลองบนสายรุ้งสีม่วงนั้นเป็นเช่นไรกันแน่ ทว่าไม่นานเมื่อกงซุนหว่านเอ๋อร์กลับจากสายรุ้งสีม่วงและอันดับรายชื่อของนางคืออันดับที่เก้า การคาดเดาเหลือคณานับก็แผ่ออกไปทั่วทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา
แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ต่อให้กงซุนหว่านเอ๋อร์หยุดชะงักอยู่ที่อันดับเก้า การปรากฏตัวของนางในครั้งนี้ก็แสดงออกให้เห็นถึงความสามารถที่เหนือล้ำโดดเด่น สร้างความฮือฮาให้แก่ทั้งสำนัก โดยเฉพาะหลังจากที่นางออกจากกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา เจ้าสำนักที่อยู่บนสายรุ้งหมื่นดวงดาวก็ประกาศโองการฉบับหนึ่งทันที
“กงซุนหว่านเอ๋อร์ อนุมัติคำร้องขอของเจ้า ยกเลิกฐานะตัวประกัน อนุญาตให้เป็นลูกศิษย์อันเป็นหัวใจสำคัญของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา!”
เมื่อโองการนี้ออกมาก็สร้างความครึกโครมให้เกิดขึ้นอีกมากมาย คนจำนวนนับไม่ถ้วนเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้กงซุนหว่านเอ๋อร์ผู้นี้ก็คือตัวประกัน ท่ามกลางคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเซ่อไปทันใด
เขาเพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรกว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์ผู้นี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก ทว่าในใจกลับเจ็ดจี๊ดๆ รู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ไพล่นึกไปถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น ทำให้ความระแวดระวังเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม
“ไม่เห็นจะเก่งตรงไหนเลย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ หนึ่งประโยค เดินออกมาจากหุบเขาหมื่นภูเขา ตลอดทางที่เดินไปไม่มีใครให้ความสนใจเขาอีกแล้ว ทุกคำพูดคุยล้วนเป็นเรื่องของกงซุนหว่านเอ๋อร์
ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งเจ็บจี๊ด จนกระทั่งกลับมาถึงแดนฟ้า พอมองเห็นว่านักพรตทุกคนของสายรุ้งแดนฟ้าล้วนพูดคุยกันด้วยเรื่องของกงซุนหว่านเอ๋อร์ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินกลับเข้าถ้ำด้วยความหงุดหงิด นั่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่กับตัวเอง
“ข้าก็ทำได้ คราวก่อนข้าก็ไปถึงสายรุ้งสีน้ำเงินแล้ว แต่ว่าผีพวกนั้นมีเยอะเกินไปนี่นา ต้องคิดหาวิธีใหม่…ทางที่ดีที่สุดคือพอผีพวกนั้นปรากฏตัวก็จะต้องถูกเก็บมารวมไว้ที่เดียวกันและไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ แบบนี้ข้าจะก็สามารถผ่านไปได้อย่างสบายๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก
หลายวันหลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตามีเส้นเลือดฝอยเล็กน้อย ทว่าสีหน้ากลับห้าวเหิม