Skip to content

A Will Eternal 450

บทที่ 450 คาถาคำว่าชนะ

เสินซ่วนจื่อลมหายใจสะดุด ซ่งเชวียที่อยู่ข้างกันก็มองเซ่อ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าประโยคแรกหลังจากที่จ้าวเทียนเจียวผู้สูงส่งมาถึงห้องของป๋ายเสี่ยวฉุนจะเป็นคำพูดเช่นนี้! ไม่เพียงแต่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ตะลึง แม้แต่คนติดตามสองคนของจ้าวเทียนเจียวก็ยังอึ้งงัน

ยิ่งได้ยินว่าค่าตอบแทนที่จ้าวเทียนเจียวพูดถึงคือวิญญาณสัตว์ฟ้าด้วยแล้ว คนทั้งสี่ก็ใจเต้นระรัว วิญญาณสัตว์ฟ้าดวงหนึ่งสามารถแลกยาก่อกำเนิดหนึ่งเม็ดมาจากสำนักได้ มูลค่าของมันมากมหาศาลอย่างถึงที่สุด

และขณะที่คนทั้งสี่มองอึ้งกันอยู่นั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นโดยไม่ลุกขึ้นยืน เวลานี้เขากลับขมวดคิ้วเป็นปมพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

“ศิษย์พี่จ้าว ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นท่านเป็นเหมือนสหายคนหนึ่ง ทั้งยังเห็นว่าท่านสอบถามด้วยความจริงใจ ถึงได้ยินดีช่วยเหลือท่าน ทว่าท่านกลับยกเรื่องค่าตอบแทนขึ้นมาพูด ท่านคิดว่าข้าป๋ายเสี่ยวฉุนยอมช่วยเพราะเห็นแก่ค่าตอบแทนของท่านงั้นรึ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็นชาคล้ายโกรธมาก ทั้งยังสะบัดปลายแขนเสื้ออีกหนึ่งที

“วิญญาณสัตว์ฟ้า…หึ หากข้าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการครอบครอง แน่นอนว่าย่อมหาทางช่วงชิงมาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้วิธีการเช่นนี้ ศิษย์พี่จ้าว ท่านกลับไปซะเถอะ ข้าผู้แซ่ป๋ายไม่ส่ง!” ใบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนมืดดำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

คำพูดของเขาดังออกมาทำเอาลมหายใจของเสินซ่วนจื่อและซ่งเชวียชะงักค้าง ผู้ติดตามสองคนที่อยู่ด้านหลังจ้าวเทียนเจียวก็อึ้งตะลึงไปครู่ พวกเขาไม่เคยเห็นคนรุ่นเดียวกันกล้าพูดจาเช่นนี้กับจ้าวเทียนเจียวมาก่อน หลังจากตั้งสติได้แล้วก็หมายจะตวาดกลับด้วยความเดือดดาล ทว่าจ้าวเทียนเจียวกลับหันขวับมาหาแล้วยกมือขวาขึ้นห้ามปรามพวกเขาทั้งสองคน

เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง นัยน์ตาแฝงความหมายเร้นลึก ผ่านไปครู่ใหญ่อยู่ๆ จ้าวเทียนเจียวก็ยิ้มออกมา ซึ่งน้อยครั้งนักที่รอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้าของเขา ขณะเดียวกันกับที่ยกยิ้ม เสียงของจ้าวเทียนเจียวก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“พี่ชายผู้โง่เขลาบุ่มบ่ามเอง ขอศิษย์น้องอย่าถือโทษโกรธเคือง”

รอยยิ้มนี้แฝงไว้ด้วยความจริงใจ ทำเอาผู้ติดตามสองคนที่อยู่ด้านหลังเขาใจเต้นกระหน่ำ พวกเขาติดตามจ้าวเทียนเจียวมานานมากแล้วก็ยังไม่เคยเห็นจ้าวเทียนเจียวยิ้มมาก่อน ตอนนี้จึงรู้สึกเหลือเชื่อจนเริ่มกริ่งเกรงป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ แล้วลุกขึ้นยืน

“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้คิดจะเล่นตัวเพื่อต่อรองราคาอะไรกับท่านหรอกนะ ข้าช่วยท่าน ไม่ได้ต้องการการตอบแทนแบบครั้งเดียวจบ ข้าต้องการการตอบแทนที่ยาวนานและมากกว่านั้น ข้าต้องการเป็นเพื่อนกับท่าน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าคำพูดประโยคนี้ของตัวเองร้ายกาจอย่างมาก รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองไม่น้อย

เสินซ่วนจื่อและซ่งเชวียมองหน้ากันไปมา จ้าวเทียนเจียวอึ้งไปชั่วครู่ ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนในรอยยิ้มของเขาก็ยิ่งมีความจริงใจเพิ่มมากขึ้น หลังจากส่ายหัวจึงถือโอกาสนั่งลงตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน

“ข้าชอบเฉินเยว่ซาน เสี่ยวฉุน เจ้าว่าข้าควรจะทำอย่างไรดี?”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็นั่งลงเช่นกัน ก่อนจะหยิบเอาเหล้าวิเศษออกมาวางตรงกลาง เสินซ่วนจื่อรู้งานรีบขยับตัวมารินเหล้าให้พวกเขาจนเต็มจอก ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงหยิบจอกเหล้าขึ้นมาจิบหนึ่งคำ ทำตาเลื่อนลอย

จ้าวเทียนเจียวไม่ได้เร่งเร้า เขาเองก็หยิบเหล้าขึ้นมาดื่มหนึ่งอึกแล้วรอคำตอบจากป๋ายเสี่ยวฉุน

ผ่านไปครู่ใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนจัดระเบียบแนวความคิดในสมองที่ตัวเองใคร่ครวญมาตลอดทั้งสามวันเสร็จเรียบร้อย สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายคล้ายยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคผล แล้วจึงเอ่ยเนิบช้า

“ความรักในโลกมนุษย์เปลี่ยนพันแปลงหมื่น ความคิดหลากหลายร้อยรัดมิอาจเข้าใจ น้อยคนนักที่จะอธิบายคำว่ารักได้อย่างชัดเจน เพราะมันเกี่ยวข้องกับเรื่องราวมากมาย เกี่ยวข้องกับนิสัย การกระทำ ตำแหน่งฐานะ เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ เชื่อมโยงกับเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ เหลือคณานับ”

“ท่านชอบคนคนหนึ่งมองดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย ทว่าจะทำอย่างไรให้นางชอบท่านเหมือนกัน นี่ก็คือวิชาความรู้อย่างหนึ่ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนวางจอกเหล้าลง เอ่ยเนิบนาบไม่เร่งร้อน

“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะเหยียบเข้าสู่โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็ประสบเคราะห์กรรมแห่งรัก และภายหลังก็ต้องผ่านสมรภูมิรักทั่วทุกสารทิศมาหลายสิบปี ได้รับจดหมายรักมาทั้งหมดสามหมื่นเจ็ดพันเก้าร้อยแปดสิบเอ็ดฉบับ ปฏิเสธคำวิงวอนขอรักจากสตรีมากหน้าหลายตา ได้เห็นความรักความรื่นรมย์ ทั้งเห็นสาวงามมานับไม่ถ้วน จนถึงกระทั่งบัดนี้ไม่ขอพูดว่ามองโลกแห่งรักได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่าก็พอรู้พอเข้าใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งครั้ง คางเชิดขึ้นน้อยๆ น้ำเสียงที่ใช้ก็ล่องลอยไม่อยู่นิ่งคล้ายแฝงไว้ด้วยความคิดที่พิเศษบางอย่าง

เสินซ่วนจื่อเบิกตากว้าง ซ่งเชวียกลับแอบหยามเหยียดอยู่ในใจ เบะปากใส่ หลังจากคนทั้งสองมองหน้ากันไปมาต่างก็รู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนช่างขี้โอ่ยิ่งนัก ในใจคนทั้งคู่จึงรู้สึกดูแคลนไม่น้อย

จ้าวเทียนเจียวกระแอมหนึ่งครั้ง ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง

ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเอาแขนเสื้อลง นัยน์ตาเผยประกายวิบวับ แล้วอยู่ๆ ก็หันมาจ้องตาทั้งคู่ของจ้าวเทียนเจียว

“ต่อไปนี้ที่ข้าจะพูดคือเคล็ดลับที่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนสรุปมาจากประสบการณ์ครึ่งชีวิตซึ่งไม่เคยเผยแพร่ให้แก่ผู้ใด ใครก็ตามที่ทำได้จะต้องทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมและเมฆพัดตลบ หากมันตกไปอยู่ในมือของคนใจคด จะต้องทำให้นักพรตหญิงจำนวนนับไม่ถ้วนอกสั่นขวัญหาย หวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก หรืออาจถึงขั้นพลังชีวิตมอดดับไปเลย…ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนจงจำไว้ว่าห้ามเอาออกไปพูดเด็ดขาด!”

“สมรภูมิรักก็เหมือนสมรภูมิรบ เมื่ออยู่บนสมรภูมิรบสิ่งที่ต้องการคือชัย เมื่ออยู่บนสมรภูมิรักสิ่งที่ต้องการคือชนะ!”

“ดังนั้นเคล็ดลับจากประสบการณ์ครึ่งชีวิตของข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรวมกันอยู่ในคำเดียว คำคำนี้ก็คือ ‘ชนะ’!” อยู่ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้น แถมพลังอำนาจก็ถูกกระพือขึ้นมาเล็กน้อย

“คำว่าชนะ เมื่อแยกอักษรออกมาก็คือตาย ปาก เดือน เปลือกหอย เรียบ!

(คำว่าชนะของภาษาจีนเขียนว่า 赢 ซึ่งตัวอักษรคำนี้เมื่อแยกออกมาจะได้อักษรอีกห้าตัวได้แก่ 亡ตาย 口 ปาก 月 เดือน 贝เปลือกหอย 凡เรียบ)

“ตายเป็นตัวแทนของจิตสำนึกในช่วงวิกฤตคับขันมาเยือน ปากเป็นตัวแทนว่าท่านต้องมีความสามารถในการสื่อสารที่ดี เดือนเป็นตัวแทนของช่วงเวลาอันเป็นกุญแจสำคัญ เปลือกหอย (ในสมัยโบราณประเทศจีนใช้เปลือกหอยแทนเงินตรา) หมายความว่าท่านต้องมีหินวิเศษ เรียบหมายถึงท่านต้องมีหัวใจที่เรียบนิ่ง เมื่อถึงเวลาสำคัญต้องสงบสุขุม”

ประโยคนี้ออกมาจากปากของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้จ้าวเทียนเจียวหน้าเปลี่ยนสีทันที

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ คราวนี้เสินซ่วนจื่อก็ถึงกับหน้าถอดสี

ซ่งเชวียแอบใคร่ครวญตามไปด้วยอย่างอดไม่ได้ ส่วนผู้ติดตามสองคนของจ้าวเทียนเจียวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่คล้ายกระจ่างแจ้ง

ชีวิตนี้ของพวกเขายังไม่เคยได้ยินข้อคิดแบบนี้มาก่อน อีกทั้งยิ่งคิดลงลึกก็ยิ่งรู้สึกว่า…มันเหมือนจะมีเหตุผลมาก!

“นี่คือเคล็ดลับที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนซึ่งข้าเทพแห่งความรักป๋ายเสี่ยวฉุน…เป็นผู้สรุปออกมาเอง ชื่อว่าคาถาคำว่าชนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบลงไปบนพื้นเสียงดังป้าบ เสียงนี้พอดังเข้าหูของทุกคนก็ทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาสั่นสะเทือนทันที

“นี่…” ในสมองของเสินซ่วนจื่อมีแต่คาถาคำว่าชนะ ตอนที่มองมายัง

ป๋ายเสี่ยวฉุนในใจได้ถูกเขย่าคลอนไปเรียบร้อย

ซ่งเชวียอึ้งตะลึงอย่างสมบูรณ์แบบ เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนอย่างไรกันแน่ถึงสรุปเรื่องพวกนี้ออกมาได้ด้วย…

ลมหายใจที่หยุดชะงักของจ้าวเทียนเจียวกลับคืนสู่สภาพปกติอีกครั้ง เขามองนิ่งมายังป๋ายเสี่ยวฉุน บัดนี้เขาเชื่อแล้วจริงๆ ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้สร้างความตะลึงพรึงเพริดได้อย่างแท้จริง แม้คาถาคำว่าชนะจะสั้น แต่กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนมีสายฟ้าแลบปลาบ มีเสียงอสนีบาตดังครืนครั่นอยู่ในสมอง รู้สึกเหมือนตนประจักษ์แจ้งขึ้นมาในบัดดล

“สามารถนำความรักในโลกมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้มาสรุปรวมเป็นคำเดียว…วิชาของคนผู้นี้…ลึกล้ำถึงเพียงไหนกันหนอ?” จ้าวเทียนเจียวสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งครั้งแล้วจึงรีบลุกขึ้นคารวะโค้งตัวต่ำให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าพัดในมือของเขาที่ตอนนี้กำลังโบกพัดอย่างเนิบช้าถูกหยิบออกมาจากตรงไหน ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งราวกับว่าทุกอย่างนี้ล้วนอยู่ในความคิดของเขาอยู่แล้ว

อันที่จริงแล้วคาถาคำว่าชนะนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้คิดขึ้นมาด้วยตัวเองเสียทั้งหมด ซึ่งต้องบอกว่าเย่จั้งตัวปลอมมีประโยชน์อย่างมากในเรื่องนี้ เพราะอย่างไรซะปีนั้นตอนที่อยู่ในสำนักธาราโลหิต

เย่จั้งตัวปลอมก็เคยผ่านประสบการณ์แห่งรักมานับไม่ถ้วน…แม้ทุกช่วงเวลาต้องหลั่งน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ทว่าหากไม่เพราะเย่จั้งตัวปลอมมีวิธีการเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็คงไม่มีทางทำสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า

“นี่เป็นแค่ข้อสรุปคร่าวๆ เท่านั้น คาถาคำว่าชนะที่บอกกับพวกเจ้าไปนี้ขอแค่พวกเจ้าเข้าใจ สมรภูมิรักก็จะชนะได้เหมือนสมรภูมิรบ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคางขึ้น กล่าวเนิบช้าพร้อมนัยน์ตาเผยความหมายลึกล้ำคล้ายกำลังย้อนทวนความทรงจำ

“ตอนนี้ข้าจะอธิบายให้ท่านฟังถึงรายละเอียดของคาถาคำว่าชนะนี่ก็แล้วกัน!”

“ตาย ปาก เดือน เปลือกหอย เรียบ อักษรคำแรกก็คือคำว่าตาย นี่หมายความว่าท่านต้องมีจิตสำนึกถึงวิกฤตที่แข็งแกร่ง ต้องใส่ใจความรู้สึกถึงวิกฤตและย้ำเตือนตัวเองตลอดเวลา!

เพราะอย่างไรซะศิษย์พี่หญิงเฉินก็ทั้งสวยทั้งเก่ง พรสวรรค์ยอดเยี่ยม รูปโฉมก็ยิ่งงามพิลาศ ผู้หญิงเช่นนี้อย่าได้เห็นว่าตอนนี้นางยังไม่มีคู่บำเพ็ญเพียร ท่านควรต้องรู้ว่าตลอดทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา คนที่แอบชอบนางย่อมมีไม่น้อย!

ไม่พูดถึงเรื่องไกลตัว เอาแค่บนเรือลำนี้ก็มีคนมากมายยิ่งนักที่ชื่นชอบนาง หากท่านไม่มีความรู้สึกถึงวิกฤต ย่อมพ่ายแพ้ยับเยิน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องตาจ้าวเทียนเจียวนิ่ง ประโยคนี้คล้ายไม้ที่ฟาดแสกหน้า ทำให้จ้าวเทียนเจียวที่เดิมทียังรู้สึกประจักษ์แจ้งพลันตัวสั่นเยือก เขาสนใจเฉินเยว่ซานมากจริงๆ แต่เนื่องด้วยปัญหาเรื่องนิสัยของตัวเขาเองจึงไม่รู้ว่าควรจะบอกกล่าวแก่นางอย่างไร และยิ่งไม่รู้ว่าควรจะตามจีบนางเช่นไร ด้วยความจนใจ ทั้งยังได้เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนมีหญิงงามอิงแอบคลอเคลีย ดังนั้นถึงได้มาขอคำปรึกษาจากป๋ายเสี่ยวฉุน

เคยตื่นตะลึงไปกับจดหมายรักของป๋ายเสี่ยวฉุน อีกทั้งเมื่อครู่ก็สะท้านสะเทือนไปกับคาถาคำว่าชนะ ตอนนี้เขาจึงเชื่อมั่นในตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเต็มที่ พอมาได้ยินประโยคนี้เลยร้อนรนขึ้นมาทันที

“ข้าควรจะทำอย่างไร!!” จ้าวเทียนเจียวพูดขึ้นอย่างร้อนใจ

“ไม่ต้องรีบร้อน ข้ายังพูดไม่จบ ท่านต้องรู้สึกถึงวิกฤตให้ได้ตลอดเวลา จำไว้ว่าความรู้สึกเช่นนี้ห้ามเผยออกมาภายนอกเด็ดขาด ต้องเก็บไว้ในใจเท่านั้น ดังนั้นท่านต้องรู้สถานการณ์ให้แน่ชัดว่าเวลาของท่าน…เหลืออีกไม่มากแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวด้วยความจริงใจ ทั้งยังมองจ้าวเทียนเจียวด้วยสายตาลึกล้ำ

จ้าวเทียนเจียวสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ พยายามทำให้ตัวเองสงบลง

เมื่อเห็นว่าจ้าวเทียนเจียวสงบใจได้แล้ว ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยแววชื่นชม เขาพยักหน้าแล้วจึงพูดต่อ

“อันดับที่สอง ในเมื่อท่านชอบศิษย์พี่หญิงเฉิน ข้าไม่ต้องถามก็รู้ว่าท่านต้องยังไม่ได้บอกนางแน่นอน แถมยังไม่ลงมือทำอะไรด้วย แบบนี้ไม่ได้นะ บอกรักน่ะไม่ต้องรีบร้อน แต่ท่านต้องทำความคุ้นเคยกับนางให้มาก เวลาพูดก็ต้องมีท่วงทำนองที่น่าสนใจ ข้อนี้สำคัญมาก แต่ท่านวางใจเถอะ ข้าจะสอนท่านเองว่าควรพูดอย่างไร”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!