บทที่ 463 นครเขตแดน
“นี่ยังแค่อยู่ในกำแพงเมืองนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่พบเห็นมาตลอดทางนี้ทำให้เขายิ่งเข้าใจที่แห่งนี้ได้อย่างชัดเจน
“ขนาดในกำแพงเมืองยังเป็นแบบนี้ นอกกำแพงเมือง…จะเป็นแบบใดกัน?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากรู้คำตอบข้อนี้ เขาบินทะยานไปพร้อมกับพวกจ้าวเทียนเจียวอยู่นานมาก ระหว่างทางยังไปจุดที่มีค่ายกลนำส่งอีกสามแห่ง อาศัยพลังการนำส่งถึงได้ข้ามผ่านระยะทาง ค่อยๆ เข้าไปใกล้ส่วนกลางในขอบเขตของกำแพงเมือง
ที่นี่ก็คือสถานที่ตั้งของนครเขตแดน
ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาเผชิญกับอันตรายอยู่หลายครั้ง ทว่าต่างก็หลบเลี่ยงได้อย่างรวดเร็วจึงไม่ต้องเจอกับวิกฤตที่ถึงขั้นไม่สามารถแก้ไขได้จริงๆ เพราะอย่างไรซะที่นี่ก็คือในกำแพงเมือง อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ระหว่างนครทะเลบูรพาและนครเขตแดน ในด้านของความปลอดภัยจึงถือว่ามีการรับประกันในระดับที่แน่นอน
ระหว่างทางป๋ายเสี่ยวฉุนยังได้เห็นเงาร่างของนักพรตจำนวนไม่น้อยปรากฏตัว คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนจับกลุ่มกันสามคนห้าคน น้อยคนนักที่จะเดินทางเพียงลำพัง อีกทั้งทุกคนต่างก็มีสีหน้าเย็นชา แฝงไว้ด้วยการระวังภัยขั้นสูงสุด หลังจากมองไกลๆ มาเห็นพวกป๋ายเสี่ยวฉุนคนส่วนใหญ่ก็มักจะเลี่ยงออกไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนและพวกจ้าวเทียนเจียวต่างก็พอจะสัมผัสได้ว่าเบื้องใต้สีหน้าเย็นชาของพวกเขาซุกซ่อนความเหนื่อยล้าเอาไว้ ภาพนี้ทำให้ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหนาวเหน็บอีกครั้ง
“ระดับความอันตรายของที่นี่เกินกว่าที่ข้าคิดไว้มากมายนัก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดผวาพรั่นพรึง เมื่อเดินทางไปข้างหน้า เมื่อยิ่งเข้าใกล้ที่ตั้งของนครเขตแดนมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
เวลาผันผ่าน เมื่อยิ่งเข้ามาใกล้นครเขตแดน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าพื้นดินยิ่งดำทะมึน พืชพรรณประหลาดก็ยิ่งมีมาก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ปีกที่บินอยู่บนท้องฟ้าหรือว่าสัตว์ดุร้ายที่อยู่บนพื้นดิน ลักษณะรูปร่างของพวกเขาก็เริ่มแปลกพิลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วล้วนมีลำตัวเป็นสีดำ
นอกจากสิ่งเหล่านี้ ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรับสัมผัสได้โดยตรงที่สุดก็คือปราณวิญญาณ…
ตลอดทางที่ผ่านมาเขาสัมผัสได้ว่าปราณวิญญาณที่เข้มข้นเริ่มลดน้อยลงไปทุกที จนถึงตอนนี้ปราณวิญญาณของที่นี่ก็เบาบางจนแทบมีเหลืออีกไม่มาก
พวกจ้าวเทียนเจียวปรับตัวกันไม่ค่อยได้ ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วกลับยังถือว่าดี เพราะอย่างไรซะหากเปรียบเทียบกันจริงๆ ปราณวิญญาณของที่แห่งนี้มองดูเหมือนเบาบาง ทว่าในความเป็นจริงแล้วมันก็พอๆ กับตอนที่เขาอยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนล่าง
สำหรับคนของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่เคยชินแต่กับปราณวิญญาณเข้มข้นมาตลอดชีวิต ที่นี่จึงทำให้ร่างกายของพวกเขารู้สึกย่ำแย่อย่างมาก
ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วกลับไม่เป็นอะไรมาก นี่เลยทำให้ใจเขาพอจะรู้สึกดีได้บ้าง
หลังจากผ่านไปอีกหลายวัน ในที่สุดเมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นก็มองไกลๆ ไปเห็นนครแห่งที่สองของพื้นที่แห่งนี้ นครเขตแดน!
ไม่เหมือนกับนครทะเลบูรพา ระดับความยิ่งใหญ่ของนครเขตแดนแห่งนี้ยิ่งมีมากกว่า กำแพงเมืองสี่เหลี่ยมที่ใช้อิฐสีดำสนิทก่อขึ้นมาเปล่งประกายแสงสีดำปกคลุมไปทั่วสี่ทิศ พอจะมองเห็นได้รำไรว่าบนกำแพงเมืองยังมีเงาร่างของคนที่กำลังเดินเรียงแถวกันอยู่…
อาวุธขนาดมโหฬารที่มองดูแล้วดุร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้มีให้เห็นอยู่ทั่วทุกที่ในนครเขตแดนแห่งนี้
อีกทั้งยังมองออกด้วยว่าก้อนอิฐทุกก้อนของที่นี่ต่างก็สลักตราประทับเอาไว้ หลังจากที่ผสานรวมกับตลอดทั้งเมืองจึงกลายมาเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ยักษ์
แม้ว่าค่ายกลนี้จะไม่ได้เปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แบบ ทว่ากลับมีส่วนหนึ่งที่เปิดอยู่ตลอดเวลาทำให้มันเคลื่อนโคจรปกคลุมรัศมีหมื่นลี้ตลอดทั้งปี เป็นเหมือนตราประทับขนาดใหญ่ยักษ์ที่กลายมาเป็นด่านที่สองในกำแพงเมืองแห่งนี้!
หากกำแพงเมืองสูญสิ้นประสิทธิผล ถ้าเช่นนั้นที่นี่…ก็จะกลายมาเป็นกำแพงเมืองอีกแห่งหนึ่ง เพราะในนครแห่งนี้มีนักพรตอยู่เยอะมาก ทุกอย่างเตรียมพร้อมครบครัน ความมากมหาศาลของทรัพยากรในที่แห่งนี้ก็ยากจะพรรณนาได้ สามารถพูดได้ว่าทั้งหมดที่มีอยู่ในนครเขตแดน นอกจากเพื่อให้เป็นเมืองตัวแทนของกำแพงเมืองแล้ว ยังเป็นที่ให้บริการต่อกำแพงเมืองด้วย!
โดยเฉพาะเวลานี้คือช่วงพลบค่ำพอดี เมื่อมองไปไกลๆ นครเขตแดนแห่งนี้ก็เหมือนกลายมาเป็นสัตว์ดุร้ายขนาดมหึมาที่กำลังนอนหมอบอยู่บนพื้น นอกจากความเย็นยะเยียบน่าสะพรึงกลัวแล้ว ยังให้ความรู้สึกเหมือนถูกศัตรูธรรมชาติจับจ้องจนคนจิตใจสั่นไหวตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ ราวกับว่าในนครแห่งนี้มีปราณดุร้ายที่น่าหวาดกลัวแฝงเร้นอยู่!
“ข้างหน้านี้ก็คือนครเขตแดนแล้ว พวกเราไปพักผ่อนกันข้างในก่อนแล้วค่อยเตรียมการเดินทางในช่วงที่สอง การเดินทางในช่วงที่สองนี้ย่อมมีอันตราย ทุกคนควรเตรียมใจไว้ให้พร้อม” เมื่อเข้ามาใกล้นครเขตแดน จ้าวเทียนเจียวก็เอ่ยกำชับกับทุกคน พวกเฉินเยว่ซานเองก็มีสีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ในใจร้องคร่ำครวญพร้อมถอนหายใจเฮือกๆ ไม่หยุด
และพื้นดินโดยรอบนครเขตแดนแห่งนี้ก็เกลื่อนกลาดไปด้วยโครงกระดูก โครงกระดูกเหล่านี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงก็เผยกลิ่นอายของความเปลี่ยวร้างโดดเดี่ยวออกมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองหนึ่งครั้งก็เห็นโครงกระดูกที่อยู่บนพื้นดินเหล่านั้น ซึ่งบางส่วนเป็นกระดูกที่แตกต่างไปจากกระดูกของนักพรต โครงกระดูกเหล่านี้ไม่เหมือนของสัตว์ร้าย แต่น่าจะเป็นของสิ่งมีชีวิตเผ่ามนุษย์ เพียงแต่ว่ากระดูกค่อนข้างหนาใหญ่กว่ามาก เห็นได้ชัดว่าต่างไปจากของคนทั่วไปคล้ายกระดูกของยักษ์ร่างเล็กมากกว่า
และระดับความแข็งแกร่งเหนียวทนทานของกระดูกที่ว่านี้ก็น่าตะลึงอย่างมาก เมื่อมองไปจะเห็นว่าบนซากโครงกระดูกเหล่านั้นกลับแทบไม่มีรอยปริแตกปรากฏให้เห็นเลย
นี่ทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหล่นลงดังโครมอีกครั้ง
“หรือว่า กระดูกเหล่านี้เป็นของชนพื้นเมืองนอกแดนทุรกันดาร?”
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอยู่ในใจ จ้าวเทียนเจียวที่อยู่ข้างกันก็มองเห็นโครงกระดูกเหล่านั้นเช่นกัน เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก
“กำแพงเมืองเคยถูกตีแตกมาก่อน นครเขตแดน…ก็เคยมีสงครามเกิดขึ้น แม้ว่าจะผ่านมานานมากแล้ว ทว่าทุกอย่างที่อยู่ที่นี่กลับยังถูกเก็บเอาไว้ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็นกับตาตัวเองว่าสงครามครั้งนั้นโหดเหี้ยมมากเพียงใด!”
“ทว่านักพรตอย่างพวกเรา นอกจากตามหาเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรของตัวเองแล้ว ขณะเดียวกันก็ต้องปกป้องสำนัก ปกป้องโลกที่อยู่อาศัย จะไม่ยอมให้คนของแดนทุรกันดารเหยียบเข้ามาในมหาสมุทรทงเทียนได้แม้แต่ครึ่งก้าว”
นัยน์ตาของจ้าวเทียนเจียวฉายความเด็ดเดี่ยว เฉินเยว่ซานที่อยู่ข้างกายเขาเมื่อหันมามองจ้าวเทียนเจียวในยามนี้ดวงตาของนางก็ฉายประกายสดใส และคนทั้งสองก็บินนำเข้าไปยังนครเขตแดนก่อนใคร
พวกผู้ติดตามของจ้าวเทียนเจียวก็ทยอยกันบินตามไป ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ตามไปเป็นคนสุดท้าย
ทว่าความปลงอนิจจังในใจของเขาต้องมีมากกว่าใครอย่างแน่นอน
“ทำไมต้องรบราฆ่าฟันกันด้วย…”
“ช่างเถอะ พอได้รู้ถึงความอันตรายของที่แห่งนี้ข้าก็รู้สึกว่าตู้หลิงเฟยพูดถูกแล้ว ข้าควรจะหาสถานที่แห่งหนึ่งปิดด่านไปสักสิบปี จากนั้นค่อยเอาวิญญาณคนฟ้าหนึ่งดวงกลับไปแลกวิญญาณสัตว์ฟ้าหนึ่งส่วน แค่นี้ก็ได้แล้ว” หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจได้ก็สูดลมหายใจเข้าลึก เพิ่มความเร็วในการทะยานไปข้างหน้า อีกทั้งสีหน้าท่าทางก็เคร่งขรึมอย่างยิ่ง ต่อให้ใจเขาจะหวาดกลัวมากแค่ไหนก็จะไม่ยอมเผยออกมาให้ใครเห็นเด็ดขาด
แถมขณะที่ตามหลังจ้าวเทียนเจียวไป ป๋ายเสี่ยวฉุนยังแสดงความเห็นด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง
“ศิษย์พี่จ้าวพูดถูกแล้ว นักพรตอย่างพวกเราควรจะทำเช่นนี้”
จ้าวเทียนเจียวหัวเราะฮ่าๆ ไม่นานท่ามกลางการห้อตะบึงนี้คนทั้งกลุ่มก็เข้าไปใกล้นครเขตแดน หลังจากหยิบเอาแผ่นหยกประจำตัวออกมาให้ตรวจสอบถึงได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าไปในนครเขตแดน
เมื่อทอดสายตามองออกไปไกล ตลอดทั้งนครเขตแดนนั้นกว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง ตอนนี้เมื่อเดินเข้ามาแล้วความยิ่งใหญ่ของมันก็ยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบ บนถนนมีนักพรตจำนวนไม่น้อยเดินไปเดินมา แต่กลับไม่ยินเสียงเอะอะอึกทึกมากเท่าใดนัก ราวกับว่าทุกคนต่างก็ไม่ยินดีจะเอื้อนเอ่ยคำใดให้มากความ
นอกจากนี้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนยังเห็นว่าในนครเขตแดนมีทรัพยากรหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นยา อาวุธ ยันต์ วัตถุนานาประเภทมีให้เห็นครบถ้วน อีกทั้งในด้านราคาก็ไม่ถือว่าเกินจริงไปมากเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะพวกยาที่ราคายังถือว่าถูกกว่าข้างนอกเสียด้วยซ้ำ
นอกจากนี้แล้วป๋ายเสี่ยวฉุนยังเห็นค่ายทหารในนครเขตแดนด้วย!!
นักพรตจำนวนมากที่ตั้งค่ายอยู่ที่นั่นนอกจากบนร่างของพวกเขาจะแผ่ปราณดุดันออกมาแล้ว ยังมีความพิเศษที่เหมือนกันอีกอย่างหนึ่งก็คือบนอาภรณ์ของพวกเขาต่างก็ประทับรูปฝ่ามือสีเลือดข้างหนึ่งเอาไว้!
ตราฝ่ามือนี้คล้ายแฝงเร้นไว้ด้วยพลังค่ายกลบางอย่าง ทำให้พวกเขาทุกคนมองดูเหมือนผ่านภูเขาซากศพและมหาสมุทรโลหิตกันมาแล้ว พวกป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นนักพรตค่ายทหารเหล่านี้เดินผ่าน อีกทั้งยังได้เห็นว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในเมืองนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นนักพรตของกองทัพก็มักจะต้องแสดงสีหน้าให้ความเคารพอย่างสูงสุด
“พวกเขาก็คือนักพรตสำนักสาขาของศาลาเลือดเหล็กที่มาตั้งค่ายอยู่ที่นี่ ซึ่งต่างไปจากส่วนหลักของศาลาเลือดเหล็กที่อยู่ในกำแพงเมือง พวกเขาแค่ออกไปทำศึกนอกกำแพงเมืองบ้างเป็นบางครั้ง ทว่าเวลาส่วนใหญ่มักจะคอยให้การพิทักษ์อยู่ที่นี่”
จ้าวเทียนเจียวหันมาพูดกับป๋ายเสี่ยวฉุนเบาๆ ดวงตาของเขาที่มองไปยังพวกนักพรตศาลาเลือดเหล็กเผยความเลื่อมใสศรัทธาและความรอคอย
“ออกไปนอกกำแพงเมืองบางครั้ง?” หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองพวกนักพรตที่ตั้งค่ายอยู่ที่นี่อย่างละเอียดก็แอบตกใจกับตัวเอง เขาครุ่นคิดว่าคนเหล่านี้มองดูแล้วล้วนไม่ธรรมดา แต่กลับออกไปนอกกำแพงเมืองแค่บางครั้ง ถ้าเช่นนั้น…ในนครแห่งที่สามซึ่งอยู่ด้านหลังสุด นักพรตกองหลักของศาลาเลือดเหล็กที่ออกไปทำศึกนอกกำแพงเมืองเป็นประจำควรจะต้องน่ากริ่งเกรงมากเพียงใด
ท่ามกลางความตื่นเต้นนี้ คนทั้งกลุ่มก็เจอโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ไว้พักผ่อนและเตรียมการสำหรับการเดินทางในวันที่สอง จ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซานจากไปเพราะต้องการไปเยี่ยมพบผู้อาวุโสที่ปักหลักอยู่ในเมืองนี้ ด้วยตัวตนของพวกเขาแน่นอนว่าย่อมมีคุณสมบัตินี้
เดิมทีจ้าวเทียนเจียวก็เชิญชวนป๋ายเสี่ยวฉุนให้ไปด้วยกัน
ทว่าพอคิดๆ ดูแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าควรจะออกไปทำความคุ้นเคยกับนครแห่งนี้ดีกว่า ดังนั้นหลังจากเอ่ยคำปฏิเสธเขาจึงออกมาจากโรงเตี๊ยมเช่นกัน
ยามสนธยาผ่านพ้น ไม่นานท้องฟ้าก็มืดดำ ต่อให้เป็นราตรีที่มืดมิด ทว่าในนครแห่งนี้ก็ยังมีนักพรตมากมายเดินทางไปมา ร้านค้าทุกร้านยังคงเปิดทำการ
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เดินอยู่บนถนนมองกลุ่มคนรอบกาย มองร้านค้าที่จุดโคมไฟสว่างโร่ ทว่าหูของเขากลับไม่ค่อยได้ยินเสียงอะไรดังลอยมา ราวกับว่าทุกคนที่อยู่ที่นี้ไม่ค่อยพูดกันเท่าไหร่นัก หรือถ้าพูด คนส่วนใหญ่ก็มักจะพูดเบาๆ
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง



